เมื่อถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงลมหนาวค่อยๆ แรงขึ้น
“ฮัดชิ่ว!” โหวเหลียงจามเขากระชับหนังแกะรอบๆ ตัวเขาแน่น
พวกเขาหลบหนีไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนหนีออกจากเขาเทียนเสิน มุ่งหน้าไปทางเหนือและไปทางตะวันออก ข้ามทะเลสามนั่วเจียแล้วเลี้ยวไปทางทิศใต้เส้นทางที่คดเคี้ยวทำให้รู้สึกเวียนหัว
อย่างไรก็ตามหมิงเวยบอกว่าสิ่งนี้จะเพิ่มความยากลำบากในการไล่ล่าในช่วงเวลาที่ล่าช้าไม่สามารถกำจัดการไล่ล่าได้ โหวเหลียงอดไม่ได้ที่จะเสียใจหากเขารู้มาก่อนว่า…
“ท่านเสียใจทีหลังหรือไม่หากอยู่ข้างกายซูถูก็คงไม่ต้องโดนลงโทษด้วย”
โหวเหลียงกระแอมไอและหัวเราะแห้งๆ “แม่นางพูดอะไรน่ะข้าเป็นคนจงหยวนจะอยู่ที่หูตี้ให้คนอื่นเขาบังคับได้อย่างไร” ด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกรงขามนี้ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาจงรักภักดีมาก หมิงเวยเหมือนจะยิ้ม แต่ไม่ยิ้ม นางไม่พูดแทงใจเขาอีก
โหวเหลียงมองดูแผนที่ดวงดาวในมือของนางแล้วถามว่า “แม่นางหมิง ท่านบอกว่าตนเองไม่รู้ทางไม่ใช่หรือพวกเราจะไม่หลงทางใช่หรือไม่”
หมิงเวยเก็บแผนที่ดวงดาวแล้วตอบไปว่า “หากท่านให้ข้าดูทิวทัศน์เพื่อจดจำเส้นทางก็อาจไม่แน่ใจ แต่ถ้าอาศัยวิถีดวงดาวไม่มีทางพลาดแน่”
พูดจบนางก็เรียกตัวฝู “เป็นอย่างไรบ้างมีอาหารแห้งเพียงพอหรือไม่”
ตัวฝูตบหน้าอก “คุณหนูวางใจได้เลยเจ้าค่ะ มีปลาแห้งกับเนื้อแห้งเพียงพอสำหรับพวกเราให้ทานระหว่างทาง”
หมิงเวยพยักหน้า “ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้าอีกสิบวันเราจะไปถึงเป่ยเทียนเหมิน เมื่อกลับไปที่กวนจงถนนสายนี้พวกเราหยุดพักไม่ได้อีกแล้วอะไรที่ต้องเตรียมควรเตรียมให้เรียบร้อยภายในคืนนี้”
ความหมายของคำว่าหยุดไม่ได้อีกแล้วคือนอกจากนอนแล้วคือรีบเดินทางเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว พวกนางสองคนน่ะไม่เป็นไร แต่สีหน้าของโหวเหลียงดูขมขื่นเล็กน้อย
เขาคือนักปราชญ์ของแท้! ที่รู้เคล็ดวิชาเพียงเล็กน้อยเขาขี่ม้ามาหลายวันจนรู้สึกว่าก้นไม่ใช่ของตนเองอีกต่อไปแล้ว
หมิงเวยเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ท่านขี่ม้าของข้าซะ!”
โหวเหลียงตกใจ ม้าของนาง ม้าสิงโตหยกน่ะหรือ โหวเหลียงถามเสียงสั่น
“ข้า ข้าขี่ได้หรือขอรับ”
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเป็นม้าที่คุณชายมอบให้ แค่พูดถึงสายพันธุ์ของม้าก็เป็นพันธุ์ขึ้นชื่อที่หายาก ในทุ่งหญ้านี้โหวเหลียงเข้าใจถึงความหมายของม้าที่ดีหากมีอะไรเกิดขึ้นโอกาสในการหลบหนีจะเพิ่มขึ้น
“แม่ แม่นาง…” โหวเหลียงรู้ตัวเองดีว่าเป็นคนไม่ดีนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เกิดอารมณ์หนึ่งขึ้นในหัวใจ
หมิงเวยพูดติดตลกว่า “คนอย่างท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักช่วงหนึ่งเถอะ”สีหน้าของโหวเหลียงกระดากใจเล็กน้อย ทั้งสามคนเก็บของและนอนริมทะเลสาบ
หมิงเวยถูกงูขาวปลุกให้ตื่นกลางดึก “นายท่าน มีคนมาเจ้าค่ะ!”
นางปลุกตัวฝู และโหวเหลียงจากนั้นก็ถามไปว่า “มีกี่คน เป็นทหารไล่ตามหรือไม่”
“ประมาณสิบกว่าคนเจ้าค่ะ น่าจะเป็นทหารไล่ตามอยู่ห่างจากพวกเราสิบกว่าลี้”
ด้วยระยะห่างนี้สำหรับทหารม้าแล้วต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งถึงจะตามมาทัน แต่ก็ไม่ต่างจากการอยู่ตรงหน้าเท่าไรนัก
ตัวฝูพูด “คุณหนู พวกเรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”
“ไม่ทันแล้ว” หมิงเวยคร่ำครวญเล็กน้อย “พวกเจ้าหนีไปเดี๋ยวนี้ไปทางใต้ ถึงเป่ยเทียนเหมินแล้วค่อยว่ากัน”
ตัวฝูรีบถาม “แล้วคุณหนูล่ะเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้ม “ในเมื่อซูถูไม่คิดจะปล่อยมือข้าเลยอยากให้อะไรเขาเป็นที่ระลึกสักหน่อย”
“แต่ว่า…”
หมิงเวยผลักนาง “รีบไปเถอะไม่มีเวลามากแล้ว”
…………
ช่วงนี้หยางชูนอนไม่ค่อยหลับ ไม่รู้เป็นเพราะว่าหมิงเวยจากไปนานเลยเป็นกังวลหรือเปล่า เขามักจะฝันว่าเห็นนางถูกคนพาลไล่ตามฆ่า นางไปทำการค้ากับกองคาราวานคงไม่หรอกน่า
เขาคิดเช่นนั้น แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ตื่นมากลางดึกทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเลยขึ้นไปรับลมบนหลังคา
ทันทีที่เขาปีนขึ้นไปก็เห็นหนิงซิวนั่งอยู่ตรงนั้น
“ศิษย์พี่ ท่านกำลังทำอะไรหรือ”
หนิงซิวเหลือบมองเขาและพูดว่า “ดูดาว”
หยางชูนั่งลงข้างเขา “เสวียนชื่ออย่างพวกท่าน วันๆ ทำอะไรแปลกๆ ต่างจากคนอื่น การดูดาวจะตรวจจับความโชคร้ายได้จริงหรือ”
“แน่นอน” หนิงซิวพูดเสียงเรียบ “หลายวันมานี้เจ้ารู้สึกกระสับกระส่ายอยากให้ข้าพยากรณ์ให้หรือไม่”
“ศิษย์พี่ท่านดูออกหรือ”
สีหน้าของหนิงซิวยังคงไร้อารมณ์ “ดึกดื่นไม่นอน แต่ออกมาเดินเล่นจะดูไม่ออกได้อย่างไร”
หยางชูรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเขาคิดว่าไม่มีผู้ใดสังเกต เขาจึงพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ข้าฝันร้าย…”
“ฝันร้ายว่าอะไร”
หยางชูอธิบายคร่าวๆ แล้วพูดว่า “อาจเป็นเพราะนางไม่ได้กลับมานานเกินไป ข้าเลยกังวลเกินไปใช่หรือไม่”
ท่าทีของหนิงซิวดูจริงจังมาก “ตอนนี้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับนาง มีโชคชะตาซึ่งกันและกันเลยมีความรู้สึกไว ฝันร้ายเช่นนี้เกรงว่าจะเป็นลางร้าย จำเป็นต้องพยากรณ์!”
หยางชูรู้สึกประหม่า “เป็นเช่นนั้นหรือพยากรณ์อย่างไร”
หนิงซิวหยิบเหรียญทองแดงออกมาสองสามเหรียญ “การทำนายลางร้ายขึ้นอยู่กับความจริงใจ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจรูปแบบนี้มากเกินไปเจ้านึกถึงนางในใจแล้วโยนมัน”
“อ้อ” หยางชูหยิบเหรียญทองแดงเขานึกถึงนางในใจแล้วโยนเหรียญออกไป…
“ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงซิวหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาทีละเหรียญแล้วพูดว่า “ทางที่ดีเจ้าควรไปหูตี้”
หยางชูตกใจ “ร้ายแรงมากเลยหรือ”
“ร้ายแรงมาก” หลังจากนั้นไม่นานหยางชูก็ยืนขึ้นทันที และตะโกนว่า “อาสวน!”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาบ่าวรับใช้ที่อยู่เวรกลางคืนรีบวิ่งมาหา “คุณชาย! พี่ใหญ่สวนออกไปด้านหน้าท่านมีคำสั่งอะไรหรือขอรับ”
“ดึกดื่นป่านนี้เขาจะไปด้านหน้าทำไมรีบไปตามเขามา!”
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ชายเพิ่งออกจากลานบ้านทางด้านอาสวนก็รีบเข้ามาหาเมื่อได้ยินว่าคุณชายอยากพบเขาจึงถามด้วยความแปลกใจ “คุณชายได้ยินข่าวแล้วหรือขอรับ”
หยางชูลงมาจากหลังคา “ได้ยินเรื่องอะไร”
อาสวนตอบ “ขุนศึกที่เดินทางไปหูตี้ และคนอื่นๆ กลับมาแล้วขอรับ”
หยางชูตัวสั่น “พวกเขากลับมาแล้ว แล้วแม่นางหมิงล่ะ”
“ข้าน้อยกำลังจะรายงานให้คุณชายทราบ” อาสวนมีสีหน้าลำบากใจ “เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับแม่นางหมิงขอรับ”
…………
“องค์ชาย มีคนอยู่ริมทะเลสาบขอรับ!”
ซูถูได้ยินรายงานก็ตวัดแส้ “ไป!”
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาได้ไล่ตามหมิงเวยจากเขาเทียนเสินไปจนถึงทะเลสาบนั่วเจีย เมื่อวานเขาได้เบาะแสที่แน่ชัดเพื่อที่จะจับนางเขาจึงไล่ตามนางมาทั้งคืน เมื่อเห็นว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร
เขาควบม้าไล่ตามมาไม่นานก็มาถึงทะเลสาบ
ทะเลสาบนั่วเจียกลางดึกมีหมอกหนากองไฟที่ไหม้เพียงครึ่งหนึ่งกับกระโจมที่ตั้งอยู่เงียบๆ เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีผู้ใดออกมาดูการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้
ซูถูเริ่มสงสัยและถามผู้ใต้บังคับบัญชาว่า “พวกเขาไปแล้วหรือยัง”
นักรบหูเหรินกำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมของเด็กดังขึ้นในกระโจม “ท่านแม่ ไม่!”
จากนั้นเสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นแล้วยังมีเสียงสาปแช่งของบุรุษซึ่งล้วนแล้วเป็นภาษาหู
ใบหน้าของซูถูเปลี่ยนไปเขาตะโกนขึ้นว่า “ผู้ใดอยู่ข้างในออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เกิดเงาสั่นไหวขึ้นในกระโจมในเมื่อมีเด็กก็ต้องมีผู้ใหญ่ จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น เป็นเสียงของหมิงเวยที่พูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “องค์ชายเจ็ด อ้อ ไม่สิ บางทีตอนนี้คงต้องเรียกท่านว่าหัวหน้าเผ่าหูแล้ว ทั้งแปดเผ่ารวมเป็นหนึ่งเดียว หูเหรินบนทุ่งหญ้าล้วนคือประชาชนของท่านใช่หรือไม่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านเต็มใจที่จะมอบอะไรบางอย่างให้ประชาชนหรือไม่”
……………