ตอนที่ 146.1 งานเลี้ยงนักการทูตจาง (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ฉิงเสวี่ยและเจินจูผงะเมื่อได้ยินว่าไต้ซือจำเจ้านายตนเองได้ 

 

ไต้ซืออู้เต๋อเห็นว่านางไม่ตอบ จึงลูบหนวดพลางยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “เป็นอย่างไร ช่วงนี้ฉินอ๋องร่างกายแข็งแรงดีใช่ไหม!” 

 

น้ำเสียงนี้ราวกับพบคนคุ้นเคยจึงทักทายเสียอย่างนั้น 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นชะงัก “ไต้ซือรู้จักฉินอ๋อง?” 

 

ไต้ซืออู้เต๋อยิ้มพลางเอ่ย “อย่าลืมล่ะ ว่าฉินอ๋องตอนเด็กๆ โตมาจากที่ใด!” 

 

พลันมีแสงวาบในหัว อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจเรื่องราวบางส่วนขึ้นมาทันใด ทว่ากลับเกิดความสงสัยมากขึ้น จึงโบกมือเป็นสัญญาณให้ฉิงเสวี่ยและเจินจูรอก่อน 

 

ไต้ซืออู้เต๋อยื่นแขนออกมา ทำท่าทางเพื่อบอกทาง อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจ จึงตามเขาไปแหวกม่านไผ่ด้วยกัน  

 

เดินอ้อมไปในทางเดินของวิหาร เส้นทางคดเคี้ยวนำไปสู่ความเงียบสงบ เดินเข้าสู่บรรดาหมู่แมกไม้ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นห้องนั่งฌาณ 

 

ภายในห้องนั่งฌาณ บนผนังแขวนด้วยรูปพระพุทธเจ้าปางตรัสรู้ที่ประดับด้วยทองคำเปลว และบทสวดที่บรรจงเขียนด้วยพู่กันฉวัดเฉวียนงดงาม หน้าต่างทิศใต้เป็นทรงแปดเหลี่ยมสลักลายพระโพธิสัตว์ปางนั่งบัว ด้านล่างของหน้าต่างเป็นตั่งไม้กฤษณาสำหรับนั่งพักหนึ่งตัว บนตั่งมีโต๊ะขาสั้นวางอยู่ บนโต๊ะเล็กนั้นวางชุดชาสีม่วงไว้หนึ่งชุด 

 

บรรยากาศเรียบง่าย หรูหรา มีชีวิตชีวาทว่าสงบสุข 

 

สถานที่แห่งนี้คือที่ที่ไต้ซืออู้เต๋อพักอาศัยและสวดมนต์ขณะอยู่ที่วัดหวาอัน ชื่อเสียงของไต้ซืออู้เต๋อโด่งดัง ไม่ว่าจะธุดงค์ไปที่ใด เจ้าอาวาสในวัดนั้นจะต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อมาถึงวัดหวาอันก็เช่นกัน พักอาศัยในห้องนั่งฌาณที่ดีที่สุดในวัด 

 

ไต้ซืออู้เต๋อและอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งอยู่สองฝั่งของโต๊ะชุดชาตัวเล็ก เขารินชาผูเอ่อร์สองแก้ว ด้วยใบหน้านุ่มนวลอยู่ตรงข้ามกับอวิ๋นหว่านชิ่น ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงราวกับคนละคน พลางบอกใบ้ “นี่คือชาผูเอ่อร์ที่อาตมาได้รับมาจากไร่ชาในเขตยูนนานตอนที่ไปธุดงค์ที่นั่นน่ะ แม้จะไม่สูงส่ง เทียบไม่ได้กับของในจวนอ๋อง แต่น่าจะพอดื่มได้อยู่นะ” 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจิบหนึ่งอึก รสชาติกลมกล่อมหอมหวาน ปลายลิ้นติดรสขมเล็กน้อย เมื่อขมสิ้น รสหวานกลับมายาวนาน หลังจากชาลงท้องไป ทำให้รู้สึกสดชื่น จึงเอ่ย “ข้าว่าดีกว่าของราชสำนักมากเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็มีจิตวิญญาณมากกว่า”  

 

“ใบชาเพียงเล็กน้อย จะมีจิตวิญญาณอะไรได้เล่า” ไต้ซืออู้เต๋อยกคิ้วที่หงอกขาวขึ้น 

 

“ตั้งแต่เขตยูนนานจนถึงเมืองหลวง ระยะทางพันลี้ ผ่านฝนผ่านหนาว ข้ามถนนตรอกซอกซอยนานับ ทั้งยังผ่านโลกผ่านสังคมมามากมาย ในแต่ละวันยังได้ฟังไต้ซือสวดมนต์ท่องคาถาอีก ใบชานี้จะไม่มีจิตวิญญาณได้อย่างไรกันเจ้าคะ” 

 

อู้เต๋อยกยิ้มขึ้น 

 

ตั้งแต่ทั้งสองคนนั่งลงไป เขามองไปยังหญิงสาวตรงหน้าอยู่ตลอด ธุดงค์มาที่วัดหวาอันไม่นาน ก็ได้ยินว่าเรื่องการสมรสของฉินอ๋อง ตอนนั้นยังตกใจอยู่เล็กๆ เดิมทีคิดว่าจากสถาพร่างกายของฉินอ๋อง เรื่องการสมรสน่าจะต้องยืดออกไปอีกหน่อย ตอนแรกยังคิดว่าเป็นลูกสาวของสมุหนายกอวี้คนนั้น คิดไม่ถึงจะได้ยินว่าไม่ใช่คุณหนูตระกูลอวี้ ทว่ากลับเป็นลูกสาวตระกูลอวิ๋นที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นมาเป็นเจ้ากรม ทั้งยังเป็นฉินอ๋องที่ทูลขอให้ฮ่องเต้พระราชการการอภิเษกสมรสนี้อีกต่างหาก ทั้งยังมอบรางวัลใหญ่ในงานล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ร่วงให้กับแม่นางอวิ๋นต่อหน้าสาธารณะชน สถานการณ์วุ่นวายไม่น้อย พอได้ยินเช่นนี้ ไต้ซืออู้เต๋อยิ่งประหลาดใจไปกันใหญ่ ไม่สมกับนิสัยของฉินอ๋องเอาเสียเลย 

 

ในวันนี้พอมองดูชายาเอกฉินอ๋องอีกครั้ง เขาก็คลายความสงสัยไปได้แล้ว 

 

ฉินอ๋องมีนิสัยเก็บกดและยับยั้งชั่งใจได้ดี อารมณ์ดั่งบึงมืดดำ ลุ่มลึกไม่อาจคาดเดา เก็บทุกๆ เรื่องไว้ในใจ ไม่แบ่งปันให้คนอื่นเสียเท่าไรนัก 

 

ทว่าชายาเอกฉินอ๋องผู้นี้เป็นคนเปิดเผยและใจกว้าง รอบกายเปล่งประกายและราวกับมีสายลมเย็นสบายโอบล้อม บนศีรษะมีพระจันทร์ส่องแสง ความสง่างามรวมกับความไร้เดียงสาเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว ไร้ความแตกแยก บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดฉินอ๋องก็เป็นได้ 

 

“ไต้ซือยังไม่ได้บอกข้าเลย ท่านรู้จักกับฉินอ๋องหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ลืมเรื่องหลัก 

 

ไต้ซืออู้เต๋อยิ้มอย่างสดใสเข้าไปทุกที เอ่ยด้วยความหมายแฝงลึกซึ้ง “เช่นนั้นโยมก็ยอมรับแล้วว่า โยมคือเมียที่เพิ่งแต่งงานกันของเด็กนั่นแล้วหรือ” 

 

เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตัดสินทันทีว่าอู้เต๋อไม่เพียงแต่รู้จักฉินอ๋อง ความสัมพันธ์ยังไม่ผิวเผินอีกต่างหาก จะมีสักกี่คนที่สามารถเรียกฉินอ๋องว่า ‘เด็กนั่น’ ได้อีก 

 

รอยยิ้มของไต้ซืออู้เต๋อค้างไว้ที่ริมฝีปาก ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “เมื่อฉินอ๋องอายุสามขวบได้รับพิษ สี่ขวบเข้าวัดเซียงกั๋ว หลังจากนั้นสามปี อาตมาธุดงค์มาที่เมืองหลวงพอดี ได้รับคำเชิญจากศิษย์พี่ของสำนักราชครูกู้ พักอยู่ที่วัดเซียงกั๋วของราชสำนักอยู่พักหนึ่ง ตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ ราชครูกู้ก็เรียกอาตมาไปคุยเป็นการส่วนตัว บอกว่าในวัดหลวงนี้มีองค์ชายอยู่คนหนึ่ง เนื่องจากได้รับพิษร้ายแรงจากในวัง ชีวิตตกอยู่ในอันตราย จึงย้ายออกมาอยู่นอกวัง และอาศัยอยู่ในวัดเซียงกั๋วแห่งนี้แล้วสามปี” 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า เพียงเพื่อที่จะได้ยินไต้ซืออู้เต๋อกล่าวต่อ สีหน้าของเขาเผยความคิดถึงอยู่บางส่วน “อาตมาเดินเล่นอยู่ในลานวัด พอเดินถึงลานผักที่อยู่ในสวนด้านหลัง ได้เห็นเณรน้อยรูปหนึ่งถือจอบอยู่ในอ้อมแขน แขนเสื้อพับขึ้นสูง กางเกงดึงขึ้นถึงหัวเข่า และแก้มแดงไปหมด เขาสวมเสื้อจีวรและรองเท้าผ้าของพระ นอกจากที่ไม่ได้ตัดผม เขาก็ไม่ต่างจากเณรทั่วไป มีลูกศิษย์ของฆราวาสยากจนหลายคนอยู่ในวัดโดยไม่ตัดผม อาตมาจึงไม่ได้เอะใจอะไร ทว่าเมื่อดูอย่างละเอียด เขาขุดงูออกจากต้นอ่อนในสวน เขาฟาดงูลงบนหินทีละตัวจนหมดสติไป จากนั้นก็นำมันใส่เข้าไปในแขนเสื้อ แล้วก็ขุดดินต่อไป อาตมาสงสัยจึงสังเกตอยู่หลายวัน พบว่าเณรน้อยเก็บสะสมงูแทบทุกวัน งูเป็นหนึ่งในสัตว์เลื้อยคลานที่อ่อนไหวและฉลาดแกมโกงที่สุดในใต้หล้า ต้องใช้ความอดทน สมาธิและการโต้ตอบที่ว่องไวอย่างมากในการจับงู คุณสมบัติพิเศษเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเด็กชายอายุหกหรือเจ็ดขวบจะพึงมี ต้องควบคุมสัณชาตญาณและทำการกระทำที่น่าเบื่อเหล่านี้ซ้ำๆ ในทุกวัน เป็นสิ่งที่ทำให้อาตมาใจหาย”