ตอนที่ 206-1 ประชาชานร่วมเรียกร้องที่หน้าประตูวัง

ชายาเคียงหทัย

การที่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่เป็นถึงประมุขแห่งแคว้น มาหายตัวไปจากในวังทั้งๆ ที่กลางวันแสกๆ แน่นอนว่าย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงและวังหลวงต่างประกาศห้ามออกนอกเคหาสถานและเข้าค้นบ้านเรือนต่างๆ ไปทั่ว คงไม่ต้องพูดถึงคนในของวังหลวงที่รู้ข่าว ต่างก็พากันแตกตื่น

 

 

แม้แต่ไทเฮาที่ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในวัง ไม่ข้องแวะเรื่องราวทางการเมืองเองก็ยังต้องออกมา แน่นอนว่ายังมีฮองเฮาและหลิ่วกุ้ยเฟยตามมาด้วย โดยมีหัวหน้าองครักษ์และหัวหน้าขันทีที่คอยรับใช้ประจำพระองค์ รวมถึงเสนาบดีหลิ่วที่เข้าเฝ้าพระองค์เป็นคนสุดท้ายก่อนฮ่องเต้หายตัวไป คุกเข่าอยู่กับพื้น

 

 

ไทเฮาเอ่ยต่อว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “กลางวันแสกๆ อยู่ดีๆ ฮ่องเต้จะทรงหายตัวไปได้อย่างไรพวกเจ้ามัวแต่ทำอันใดกันอยู่! ในวังเลี้ยงพวกเจ้าไว้ทำประโยชน์อันใดกัน”

 

 

ทุกคนไฉนเลยจะกล้าเอ่ยเถียง ทำได้เพียงพร้อมใจกันร้องขอชีวิตเท่านั้น ในบรรดาคนเหล่านี้ เสนาบดีหลิ่วรู้สึกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์มากที่สุด เขาเพียงขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อหารือธุระบางอย่างเท่านั้น ฮ่องเต้หายตัวไปเช่นนี้ เกี่ยวอันใดกับเขากัน แต่นั่นเพราะเขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบฝ่าบาทก่อนพระองค์หายตัวไป จึงย่อมมิอาจพ้นความผิดในเรื่องนี้ไปได้

 

 

“ไปค้นดูโดยละเอียด! จะต้องช่วยฮ่องเต้กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้! ส่วนชีวิตของพวกเจ้า ไว้ฮ่องเต้กลับมาได้ก่อนค่อยว่ากัน!” ไทเฮาเอ่ยสั่งการเสียงเย็น

 

 

ทุกคนต่างรับคำพ่ะย่ะค่ะ

 

 

เมื่อไทเฮาทรงได้ระบายโทสะออกมาแล้ว ถึงได้หันไปทอดพระเนตรเสนาบดีหลิ่วที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก่อนตรัสถามว่า “ท่านเสนาบดี ฮ่องเต้พบเจ้าเป็นคนสุดท้าย พระองค์ได้ตรัสอันใดกับเจ้าบ้าง”

 

 

เสนาบดีหลิ่วเอ่ยว่า “ทูลฮองเฮา แค่เพียงปรึกษาเรื่องในราชสำนักเท่านั้น มิได้มีเรื่องอันใดพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มีหรือไทเฮาจะทอดพระเนตรไม่ออกว่าเสนาบดีหลิ่วกำลังปกปิดพระองค์อยู่ จึงเอ่ยด้วยสายพระเนตรนิ่งเย็นว่า “พูดให้ละเอียด”

 

 

เสนาบดีหลิ่วมีท่าทีลังเลเล็กน้อย “ด้วยเพราะเรื่องราชการในยามเช้า ทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเป็นอย่างมาก แต่ก็มิได้เอ่ยเรื่องสำคัญอันใดเป็นพิเศษ ตรัสแต่เพียงว่าไว้ออกว่าราชการยามเช้าพรุ่งนี้ค่อยหารือกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มิใช่เพราะเสนาบดีหลิ่วมีใจคิดอยากปิดบังไทเฮา แต่ด้วยเพราะการจัดการกับตระกูลสวีนั้นถือเป็นความลับ ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่มีราชโองการลงมา ก็จะไม่มีทางให้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด มิเช่นนั้นถึงเวลาคนที่เดือดร้อนคงจะเป็นตระกูลหลิ่วของพวกเขาแทน

 

 

ไทเฮาทอดพระเนตรสำรวจเสนาบดีหลิ่วด้วยความสงสัย เสนาบดีหลิ่วปล่อยให้พระองค์สำรวจด้วยสีหน้าสบายๆ และใสซื่อ จิ้งจอกเฒ่าที่คร่ำหวอดอยู่ในราชสำนักมาตลอดชีวิต หากต้องการปกปิดอันใดแล้ว จะมีรูรั่วให้คนมองออกหรือ

 

 

ท้ายที่สุดไทเฮาจึงทำให้เพียงโบกมือให้ทุกคนถอยออกไปด้วยความหงุดหงิด เมื่อทุกคนต่างถอยออกไปกันหมดแล้ว หมัวมัวที่รับใช้ข้างกายไทเฮาถึงได้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ไทเฮาเพคะ ท่านว่าเรื่องของฝ่าบาท…”

 

 

ไทเฮาหลับพระเนตรลงเพื่อผ่อนคลาย เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าถอยกลับไปใช้ชีวิตที่วังหลังเสียนานแล้ว ไฉนเลยจะยุ่งวุ่นวายอันใดได้มาก เรื่องเหล่านี้คงต้องให้ฮองเฮากับขุนนางในราชสำนักเป็นคนจัดการ ยามนี้หลีอ๋องอยู่ที่ใด”

 

 

หมัวมัวเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังจากที่หลีอ๋องเจรจาสงบศึกกับฝ่าบาท ก็รับปากว่าปีนี้จะกลับเมืองหลวงมาร่วมอวยพรวันเกิดไทเฮาเพคะ ลองนับเวลาดูแล้ว ยามนี้ท่านหลีอ๋องน่าจะกำลังเดินทางกลับมาแล้วเพคะ”

 

 

ไทเฮาพยักหน้า “ดีมาก ส่งจดหมายไปถึงหลีอ๋องบอกเขาให้รีบกลับเมืองหลวงโดยเร็ว อีกอย่าง คนนั้นที่หลีอ๋องทิ้งไว้ที่เมืองหลวง…ที่ชื่อเยี่ยอิ๋ง ไม่ได้ว่าตั้งครรภ์แล้วหรือ”

 

 

หมัวมัวพยักหน้า “ไทเฮาพูดถูกแล้วเพคะ ชายาเยี่ยคลอดบุตรชายให้ท่านหลีอ๋องแล้วหนึ่งคน ยามนี้น่าจะใกล้ครบขวบปีแล้วเพคะ”

 

 

“ส่งคนไปคอยดูแลหน่อย” ไทเฮาเอ่ยสั่งการ ก่อนโบกมือให้หมัวมัวถอยออกไป เมื่อคิดถึงบุตรชายทั้งสองคนของตน สีพระพักตร์ของไทเฮาก็นิ่งขรึมลงโดยไม่รู้ตัว ผู้ใดต่างก็ว่านางมีวาสนาดี ในขณะที่วังหลังของอดีตฮ่องเต้มีทายาทอยู่น้อยนิด มีนางเพียงคนเดียวที่คลอดบุตรชายออกมาถึงสองคน บุตรชายคนโตก็ได้มาเป็นประมุขแห่งแคว้น ส่วนนางก็ได้ขึ้นเป็นไทเฮาโดยอาศัยพึ่งพิงบุตรชาย แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่า บุตรชายคนโตของนางผู้นี้ เป็นคนขี้ระแวงมาตั้งแต่กำเนิด แม้แต่นางที่เป็นมารดาแท้ๆ ยังคอยกีดกัดทุกวีถีทาง ด้วยกลัวว่าอำนาจของนางจะมากเกินไปจนสามารถข่มขู่เขาได้ หากมิได้เป็นเช่นนี้ นางก็สามารถใช้ชีวิตเป็นไทเฮาได้อย่างสงบ ไม่มีเหตุจำเป็นให้นางต้องร่วมมือกับลูกชายคนเล็กเพื่อเล่นงานฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ที่ดูเหมือนนางใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างมีเกียรติ แต่เอาเข้าจริงก็ดีแต่เพียงเปลือกนอกเท่านั้น ฮ่องเต้มักจาบจ้วงนางผู้เป็นมารดาเพราะสนมรักของพระองค์อยู่เสมอ อำนาจภายในวังหลัง นางยิ่งมิอาจยื่นมือเข้าไปยุ่งได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะให้ไทเฮาที่เชี่ยวชาญด้านการแก่งแย่งชิงดีมาทั้งชีวิต ทนยอมได้อย่างไร

 

 

เมื่อบอกแยกกับหลิ่วกุ้ยเฟยแล้ว ฮองเฮาก็กลับมาที่ตำหนักของตน สีหน้าที่เคยเรียบเฉย มีแววกังวลและสงสัยออกมาให้ได้เห็น โบกมือสั่งให้นางกำนัลและหมัวมัวที่คอยติดตามข้างกายถอยออกไป

 

 

ฮองเฮาผลักประตูเดินเข้าไปในห้องบรรทมด้านใน เมื่อเข้าไปแล้ว ก็มองสำรวจภายในห้องที่เงียบสงบ พร้อมเดินเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ออกมาเถิด”

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจือเหยาก็เดินออกมาจากม่านด้านหลังพระแท่นบรรทม มาหยุดมองนางเงียบๆ

 

 

คิ้วเรียวของฮองเฮาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

 

 

เฟิ่งจือเหยาไม่รอให้นางพูดอันใด เอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “ข้ามาเอาของสิ่งหนึ่ง แล้วเดี๋ยวจะไป”

 

 

ฮองเฮาอึ้งไป เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “เอาอันใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “เมื่อแปดปีก่อน ม่อจิ่งฉีได้ให้เจ้าเก็บรักษากล่องหยกขาวกล่องหนึ่งไว้”

 

 

ฮองเฮานิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เป็นเจ้าที่จับตัวฮ่องเต้ไป?”

 

 

“ใช่” เฟิ่งจือเหยายอมรับ “เจ้าจะเรียกคนมาจับข้าหรือ”

 

 

ฮองเฮาลุกขึ้นสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาเขา “ลักพาตัวประมุขแคว้น? เจ้าใจกล้าเกินไปหน่อยแล้วกระมัง! ยามนี้ทั้งในเมืองหลวงและวังหลวงล้วนถูกปิดตายไว้หมดแล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะรับมือสิ่งที่ตามมาอย่างไร”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วคมขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเข้ามาได้ ก็ย่อมออกไปได้ อีกอย่าง…ชีวิตของม่อจิ่งฉียังอยู่ในมือข้าอีกด้วย”

 

 

ฮองเฮาถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ติดตามติ้งอ๋องมานานเพียงนี้ เจ้าไม่ได้ใช้สมองของตนเองเลยหรือ เจ้าคิดว่าทุกคนหวังอยากให้ฮ่องเต้เสด็จกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือ เกรงว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดอยากให้เจ้าฆ่าเขาเสีย”

 

 

“ข้าก็อยากฆ่าเขาเสียให้ตายๆ ไปจริงๆ!” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างเคียดแค้น

 

 

“เหลวไหล!” ฮองเฮาตรัสว่าเสียงเบา “เรื่องลักพาตัวฝ่าบาทคงมิใช่ความคิดของติ้งอ๋อง ที่เจ้ากลับมาครานี้ต้องการทำสิ่งใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไปเล็กน้อย “ข้าได้รับบัญชาจากพระชายาให้กลับมาเอาดอกปี้ลั่ว”

 

 

“ดอกปี้ลั่ว?” ฮองเฮาขมวดคิ้ว นางไม่รู้เรื่องทางการแพทย์ จึงย่อมไม่รู้ว่าดอกปี้ลั่วมีสรรพคุณเช่นไร จึงตวัดสายตามองเฟิ่งจือเหยาอย่างไม่เห็นขัน “ที่พระชายาส่งเจ้ามานี่ เชื่อว่าคงเป็นของสำคัญมาก แค่ให้คนส่งสารมา คิดว่าข้าจะช่วยพวกเจ้าหาไม่ได้หรือ ต้องให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้ เจ้าถึงจะยินดีหรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “หากไม่ทำให้เรื่องใหญ่เพียงนี้ ผู้ใดก็อย่าคิดว่าจะหาของสิ่งนั้นเจอเลย ม่อจิ่งฉีให้ความสำคัญกับดอกปี้ลั่วเป็นอย่างมาก ผ่านมาก็หลายปีเช่นนี้ แต่แม้แต่คนที่มอบของสิ่งนั้นให้เขากับหลิ่วกุ้ยเฟยที่เขาโปรดปรานและไว้ใจเป็นที่สุดต่างไม่รู้เรื่องนี้ เข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร อีกอย่าง หากให้เขารู้ว่าเจ้าสืบหาที่อยู่ของดอกปี้ลั่ว ตัวเจ้าเองก็คงพลอยติดร่างแหไปด้วย”

 

 

ฮองเฮาได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเอ่ยถามว่า “ที่พูดเช่นนี้ เจ้าคงรู้แล้วว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ม่อจิ่งฉีบอกว่า เมื่อแปดปีก่อน เขาได้มอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า เป็นกล่องหยกสีขาว เจ้าจำได้หรือไม่”

 

 

ฮองเฮาก้มหน้าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าจำได้แล้ว เจ้ารอก่อน”

 

 

นางหมุนตัวเดินเข้าไปห้องด้านใน ไม่นานก็ถือกล่องหยกที่แกะสลักเป็นลวดลายประณีตงดงามกล่องหนึ่งออกมา นางส่งกล่องหยกขาวให้กับมือเฟิ่งจือเหยา แล้วเอ่ยถามว่า “ใช่สิ่งนี้หรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยารับกล่องมาเปิดออกด้วยความระมัดระวัง ภายในมีดอกไม้สีเขียวอ่อนดอกหนึ่งหน้าตาคล้ายดอกโบตั๋นวางอยู่ มองดูประหนึ่งหินหยก แต่เมื่อยื่นมือไปสัมผัสกลีบดอกไม้ กลับรับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่ม ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมานั่นอีก ดอกไม้ดอกนี้ถูกเด็ดไว้นานมากแล้ว แต่กลับไม่มีร่องรอยของความเ**่ยวเฉา เสมือนเป็นดอกไม้หยกเสียมากกว่า

 

 

ในใจเฟิ่งจือเหยานึกถึงรูปร่างและลักษณะของดอกปี้ลั่วที่ท่านเสิ่นเคยบอกตนไว้ ก็มั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ภายในกล่องหยกขาวนี้ เป็นดอกปี้ลั่วในตำนานจริงๆ

 

 

ฮองเฮาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ของสิ่งนี้เจ้านำไปเถิด แล้วรีบปล่อยตัวฝ่าบาทกลับมา จากนั้นก็กลับซีเป่ยไปเสีย”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเก็บกล่องให้เรียบร้อย ก่อนจ้องลึกลงไปในดวงตาของฮองเฮา “เจ้าจะอยู่แต่ในวังไปชั่วชีวิตจริงๆ หรือ”

 

 

ฮองเฮาระบายยิ้มบางๆ “หากข้าไม่อยู่ในวังไปชั่วชีวิตแล้วข้าจะไปอยู่ที่ใดได้ รีบไปเถิด ระวังตัวด้วย”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองจ้องนาง “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าม่อจิ่งฉีหรือ”

 

 

ฮองเฮาส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่มีทางทำเช่นนั้นหรอก หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ยามนี้ ก็มิได้มีข้อดีอันใดกับตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ยามนี้จะยังไม่มีคนพูดอันใด แต่เชื่อว่าในราชสำนัก คงจะมีคนเริ่มสังสัยตำหนักติ้งอ๋องกันแล้วไม่น้อย หากฝ่าบาทไม่ได้กลับมาจริงๆ ไม่ว่าจะใช่ตำหนักติ้งอ๋องหรือไม่ สุดท้ายแล้วคนพวกนั้นก็จะต้องผลักความผิดทั้งหมดมาให้ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ดี”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงหึด้วยความไม่พอใจ แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าสิ่งที่ฮองเฮาพูดเป็นความจริง เขาหมุนตัวไปพลางเอ่ยว่า “ข้าไปล่ะ!”

 

 

ฮองเฮาพยักหน้า “ระวังตัวด้วย”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับมายิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทของเจ้าจะทำอันใด เขาคิดจะฆ่าล้างตระกูลสวี!”

 

 

ฮองเฮาอึ้งไป พอได้สติกลับมาอีกที ก็ไม่เห็นเงาของเฟิ่งจือเหยาอีกแล้ว ได้แต่เพียงถอนใจออกมาเบาๆ บนใบหน้างดงามปรากฏรอยยิ้มจางๆ อย่างขมขื่น

 

 

เมื่อมีมู่ฉิงชังคอยคุ้มกันยามหลบหนีและเฟิ่งจือเหยาเองก็เป็นยอดฝีมือ ระหว่างทางถึงแม้จะมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แต่ก็สามารถหลบหนีออกมาได้โดยไม่ถูกพบตัวแม้แต่น้อย

 

 

ทั้งสองกลับมาถึงสถานที่ที่ซ่อนตัวม่อจิ่งฉีไว้ เหลิ่งเฮ่าอวี่นั่งอยู่ภายในห้อง คอยจับตาดูม่อจิ่งฉีพลางรอฟังข่าวพวกเขา

 

 

เมื่อเห็นพวกเขากลับเข้ามา เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็รีบลุกขึ้นเอ่ยถามว่า “ได้ของมาหรือไม่”

 

 

เฟิ่งจือเหยายกกล่องให้มือให้ดู “ได้น่ะได้มาอยู่หรอก แต่ภายในเป็นของจริงหรือไม่คงต้องให้ฝ่าบาทยืนยันด้วยตนเองถึงจะดี”

 

 

ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ของเจ้าก็ได้มาแล้ว เจ้าคิดจะทำอันใดอีก”

 

 

เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ข้าคนนี้เป็นโรคขี้ระแวงอย่างหนัก ได้ยินว่าดอกปี้ลั่วไม่เพียงเป็นยาวิเศษ แต่ยังเป็นยาที่สามารถรักษาบาดแผลได้อย่างน่าอัศจรรย์ แค่ใช้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้บาดแผลสมานกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

 

 

ม่อจิ่งฉีอึ้งไป จ้องเขม็งไปยังกริชในมือเฟิ่งจือเหยาที่ยืนถือไปมาอยู่ “เจ้าคิดจะทำอันใด”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่งยิ้มชั่วร้ายไปทางเขา “แน่นอนว่าคงต้องเชิญฝ่าบาทให้ทดลองสรรพคุณของดอกปี้ลั่วนี้ด้วยพระองค์เอง ของที่พวกเราเสียเวลาเสียแรงไปกว่าจะได้มานี้ หากเกิดเป็นของปลอมขึ้นมาจะไม่ถูกหัวเราะเยาะไปทั่วหรือ”

 

 

ม่อจิ่งฉีกัดฟันเอ่ยว่า “ข้ารับประกันว่าเป็นของจริง!”

 

 

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “การรับประกันของฝ่าบาทนั้นเชื่อถือไม่ได้” กริชในมือฟันเข้าที่แขนของม่อจิ่งฉีอย่างไม่ลังเล

 

 

ม่อจิ่งฉีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย

 

 

นัยน์ตาเฟิ่งจือเหยาเป็นประกายอย่างนึกสนุก เอามีดในมือชี้ไปทางดอกปี้ลั่วในกล่องหยกขาวอย่างอารมณ์ดี “ของสิ่งนี้ใช้อย่างไรน้า อ้อ ดูเหมือนจะว่ากันว่าต้องใช้มีดตัดออกมาบดเป็นผงเสียก่อน ดอกไม้ที่งดงามเช่นนี้ หากโดนตัดเสียก็คงไม่มีราคา ตัดตรงด้านล่างมาลองดูก็แล้วกัน”

 

 

ม่อจิ่งฉีรีบเอ่ยว่า “อย่าใช้กริช ดอกปี้ลั่วต้องใช้กล่องหยกเก็บรักษาไว้เท่านั้นถึงจะไม่เสียฤทธิ์ยา และก็ต้องใช้มีดหยกตัดออกมาเช่นกัน”

 

 

“อ้อ ขอบพระทัยที่ทรงชี้แนะ” เฟิ่งจือเหยาเก็บกริชกลับ พร้อมเก็บดอกปี้ลั่วกลับเข้ากล่อง ก่อนหันไปเอ่ยกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ว่า “มียาจินชวงมาหรือไม่ ใส่ให้เขาหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วขึ้น หยิบยาจิงชวงออกมาสาดใส่แผลของม่อจิ่งฉีเงียบๆ

 

 

ม่อจิ่งฉีเจ็บจนหน้าขาวซีด ถลึงตาดุๆ มองเฟิ่งจือเหยา “ข้าไม่มีทางปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”

 

 

เฟิ่งจือเหยายิ้มเยาะ “หากมีเวลามาข่มขู่พวกข้า สู้เอาไปคิดเสียดีกว่าว่าท่านจะกลับเมืองหลวงอย่างไร เท่าที่ข้ารู้ คนที่ไม่อยากให้เจ้ากลับไปก็มีอยู่ไม่น้อย ได้ยินว่าไทเฮาได้ให้คนไปส่งจดหมายหาหลีอ๋อง บอกให้หลีอ๋องรีบเดินทางกลับเมืองหลวง ดูท่าฮ่องเต้ของพวกเราก็เป็นคนที่บิดาไม่รัก มารดาก็ชังเช่นกันกระมัง”

 

 

“เจ้า!” ม่อจิ่งฉีถูกเขาแทงเข้าจุดที่เจ็บอยู่พอดี แต่เมื่ออยู่ในกำมือผู้อื่นเช่นนี้จึงทำอันใดไม่ได้