บทที่ 373 อาวุธเทพ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 373 อาวุธเทพ (1)

หุบเขาสองพิภพถูกทัพมารทะลวง รอจนข่าวส่งไปถึงราชสำนักต้าอินก็เป็นบ่ายของวันต่อมาแล้ว หุบเขาสองพิภพทั้งหมดสามแห่งถูกทะลวงทั้งหมด กองทัพนับสิบกว่าหมื่นบาดเจ็บล้มตายหมดสิ้น อริยะเจ้าซึ่งเป็นผู้บัญชาการสามคนไม่ทราบไปอยู่ไหน

รอจนร่องรอยของทัพมารถูกพบ ก็มีอาณาเขตของเมืองสิบกว่าเมืองถูกเปลี่ยนเป็นมารไปแล้ว คนเกือบร้อยหมื่นถูกบูชายัญเพื่อสร้างประตูแห่งเลือดเนื้อ

ยังดีที่สามสำนักส่งคำสั่งทำลายมารทันเวลา เรียกระดมยอดฝีมือมาเข่นฆ่าแม่ทัพมารในทัพมาร จึงมอบโอกาสตั้งหลักให้แก่ราชสำนัก

ราชสำนักต้าอินรีบเรียกกองทัพพิงบรรพตสามสิบหมื่นที่ไปยังโลกด้านนอกและเฝ้าประตูทางเข้าพิภพมารแห่งอื่น รวมถึงยอดฝีมือจากหอโชคชะตาสิบกว่าคนกลับมา เพื่อให้มุ่งหน้าไปสะกดภัยพิบัติมารโดยมีองค์รัชทายาทเป็นผู้นำ

การศึกเข้าสู่สภาพดุเดือดตั้งแต่แรก ราชสำนักต้าอินกำลังต่อสู้กับจักรพรรดิมารเหวยลา กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีทัพมารอีกทัพเข่นฆ่ามาจากด้านหลัง เมื่อจุดอ่อนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกโจมตี สถานการณ์ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

ทุกแว่นแคว้นรีบร้องขอจำนวนคนเพื่อต่อสู้กับมารจากพิภพมาร

องค์ชายซึ่งเป็นราชโอรสหลายสิบคนแห่งต้าอิน ถูกส่งไปยังสิบสามแคว้นเพื่อเร่งเคลื่อนกำลังทัพในท้องถิ่น

แคว้นนวกระจ่าง จังหวัดไร้เหมันต์ หอคอยเซียนเวียนวน

ลมมรสุมพัดอยู่ด้านนอก หอคอยเซียนเวียนวนในฐานะร้านประมูลที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดไร้เหมันต์ยังคงคึกครื้นเป็นพิเศษ ไม่ได้รับผลกระทบเพราะการมาถึงของภัยพิบัติมารจากพิภพมารแม้แต่น้อย

ต้าอินแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนทุกตระกูลและทุกคนเชื่อมั่นในราชสำนักกับสามสำนักใหญ่อย่างแรงกล้า

เมื่อมีเจ้าแห่งอาวุธคอยสะกด ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นไหน ก็ไม่มีใครกังวลว่าต้าอินจะพ่ายแพ้

ในหอคอยเซียนเวียนวนมีเสียงตะโกนขายของและเสียงสู้ราคาดังไม่ขาดหู ในหอใหญ่ชั้นสาม ลู่เซิ่งกำลังเดินไปตามระเบียง ได้ยินเสียงสู้ราคาที่แว่วออกมาจากด้านในรอยแยกประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้จากสองฝั่งของระเบียงตลอดเวลา

ด้านในห้องโถงที่มีขนาดไม่เท่ากัน กำลังดำเนินการประมูลหลากหลายรูปแบบ

ลู่เซิ่งละสายตากลับมา แล้วมองไปยังสตรีงดงามที่นำทางอยู่ด้านหน้า นางมีเอวกิ่วสะโพกงอน สวมกระโปรงยาวสีแดงสด ตรงจุดสำคัญด้านหลังสองขาที่เรียวยาวกลมกลึงมีหางกระต่ายสีขาวหิมะที่ปุกปุยงอกอยู่จริงๆ ทั้งยังส่ายไปมาตามย่างก้าวของนาง

ไม่นานสตรีนางนั้นก็พาลู่เซิ่งตัดทะลุระเบียงหลายเส้น มาถึงด้านหน้าโถงเล็กๆ ที่มีขนาดระดับกลาง ก่อนจะผลักเปิดประตูเข้าไป

คนสิบกว่าคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ด้านใน ผู้ดำเนินการประมูลร่างอ้วนที่ยิ้มกว้างคนหนึ่งอยู่บนแท่นประมูลกำลังตะโกนราคาประมูลในตอนนี้

“ดาบอักขระหยกน้ำแข็งหนึ่งเล่ม หนึ่งแสนทองคำมาร! หนึ่งแสนทองคำมาร! ยังมีผู้ใดให้ราคาสูงกว่านี้หรือไม่ หนึ่งแสนทองคำมารครั้งที่หนึ่ง! หนึ่งแสนทองคำมารครั้งที่สอง!”

คนร่างอ้วนตะโกนจนเสียงแหบแห้ง ทั้งยังโบกมืออยู่ด้านหน้าตู้สีทองเข้มใบหนึ่งที่อยู่ด้านหลังไม่หยุด

“อาวุธเทพสามดาวที่ปรมาจารย์จูจื่อเซวียนประกอบด้วยตัวเอง! ขอแค่หนึ่งแสนทองคำมารเท่านั้น!”

ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว หาที่นั่งตรงมุมหนึ่งแล้วนั่งลงภายใต้การนำทางของสตรีหางกระต่าย

“อาวุธเทพระดับรองเอาระดับดาวมาจากไหนกัน” เขาถามอย่างสงสัย

สตรีหางกระต่ายผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มงดงาม “นายท่านยังไม่ทราบ กฎลับในกิจการประมูลของพวกเราคือแบ่งอาวุธเทพออกเป็นเก้าระดับดาวตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า ตามระดับความสมบูรณ์ของอานุภาพที่ประกอบขึ้นของอาวุธเทพระดับรอง โดยจะแยกตามระดับความสมบูรณ์ในอานุภาพของอาวุธเทพระดับรอง ถึงอย่างไรท่านก็ทราบว่าความจริงแล้วอาวุธเทพศัสตรามารชนิดนี้เคยพังมาก่อน ดังนั้นยิ่งเป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์เท่าไหร่ ระดับความเสียหายยิ่งน้อยเท่าไหร่ อานุภาพก็ยิ่งสูงเท่านั้น อาวุธเทพเก้าดาวที่สูงที่สุด ถึงขั้นที่ใกล้เคียงกับอาวุธเทพที่สมบูรณ์แบบ ในระดับใบไม้ทองคำแล้ว”

“อ้อ?” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแปลกใจ “เช่นนั้นราคาคงสูงมากสิท่า”

“นี่ย่อมแน่นอน แต่ตอนนี้เกิดสงครามใหญ่ ทัพมารบุกโจมตี ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างนายท่านต้องทราบแน่ว่าทรัพยากรด้านการต่อสู้นี้จะถูกควบคุมอย่างรวดเร็ว ช่องทางการนำเข้าจะแคบลงยิ่งกว่าเดิม ต่อให้ไม่ได้ใช้เอง ยุทโธปกรณ์ที่แข็งแกร่งอย่างอาวุธเทพนี้ นายท่านกักตุนไว้สักส่วนหนึ่งแล้วรอให้ราคาขึ้นก็ยังได้”

ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างไม่นำพา แล้วมองไปยังดาบยาวอันเป็นอาวุธเทพซึ่งอยู่ด้านข้างคนร่างอ้วนที่กำลังตะโกนอยู่

พอเขาออกมาจากสำนักพันอาทิตย์ ก็เจองานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดไร้เหมันต์ทันที จากนั้นก็เข้ามาเลือกซื้ออาวุธเทพระดับรองที่สอดคล้องกับตัวเองสักชิ้น

อาวุธเทพของแท้มีราคาสูงสุดขีด มิหนำซ้ำยังมีราคาแต่ไม่มีตลาด เขาจึงไม่คาดหวัง แต่อาวุธเทพระดับรองกลับพอจะซื้อได้ เขาจึงเตรียมจะซื้อเพื่อนำมาปกปิดสักชิ้น

นอกจากนี้ หลังจากได้รู้ตำนานของอาวุธเทพจากซูหนิงเฟย เขาก็คิดจะทดลองว่าอาวุธเทพเป็นการรวมตัวของจิตวิญญาณจริงๆ หรือไม่

และเป็นเพราะเขามีดีปบลูอันเป็นเครื่องมือปรับเปลี่ยน ดีปบลูที่ดูดซับพลังอาวรณ์ได้ ดังนั้นไม่ว่าอาวุธเทพจะเป็นการรวมตัวของจิตวิญญาณหรือไม่ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่ามันจะมีพลังอาวรณ์คงอยู่ เขาไม่มีทางขาดทุน

‘พลังอาวรณ์เป็นการรวมตัวจากกาลเวลาที่ยาวนานคล้ายๆ จิตใจ พลังวิญญาณ และสารกายอยู่แล้ว มีความใกล้เคียงกับทางด้านนี้ อาวุธเทพแทบทุกชิ้นล้วนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้จะเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอาวุธเทพหลายชิ้นอย่างอาวุธเทพระดับรองก็เป็นแบบเดียวกัน อาวุธเทพเคยแหลกสลายมาก่อน แต่ว่าชิ้นส่วนที่แหลกสลายไปแล้วแต่ละชิ้น ยังคงจดจำสิ่งที่เคยประสบพบเจอมา ในชิ้นส่วนมากมายเหล่านั้นอาจจะปรากฏการดำรงอยู่ของพลังอาวรณ์ก็ได้’

หลังจากนั่งลง ลู่เซิ่งก็บอกให้สตรีหางกระต่ายออกไปได้ ก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษที่แนะนำเนื้อหาในโถงประมูลแผ่นหนึ่งออกมาจากด้านหลังที่นั่งด้านหน้า

บนกระดาษเขียนสิ่งของประมูลหลายชิ้นเอาไว้อย่างชัดเจน ที่นี่เป็นโถงอาวุธเทพ เพียงประมูลขายอาวุธเทพศัสตรามารเท่านั้น ไม่ประมูลของอย่างอื่น

ลู่เซิ่งพลิกอ่าน บนแผ่นกระดาษเขียนสิ่งของสิบกว่าอย่างไว้อย่างพิถีพิถันจนเต็ม พออ่านดูเขาจึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดงานประมูลอะไรนี้จึงได้แบ่งอาวุธเทพระดับรองออกเป็นเก้าดาว

เดิมทีอาวุธเทพระดับรองจำนวนไม่น้อยมีการฝังวัตถุอย่างอื่นลงไปด้วย บางชิ้นก็มีแค่หนึ่งในห้าส่วนที่เป็นชิ้นส่วนอาวุธเทพ บางชิ้นก็เยอะหน่อย มีหนึ่งในสาม ชิ้นที่มีน้อยที่สุดมีเพียงหนึ่งในเก้าส่วน นี่ก็คืออาวุธเทพหนึ่งดาว

ลู่เซิ่งฉีกยิ้มแล้วเริ่มตรวจสอบคำแนะนำอย่างตั้งใจ ตอนนี้เขาต้องการอาวุธเทพสักชิ้นเพื่อมาปลอมเป็นความสามารถโดยเปลือกนอกของตนเองอย่างเร่งด่วน

พรสวรรค์ความสามารถของเขาคือมีกายเนื้อและพละกำลังที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด ดังนั้นสมควรหาอาวุธเทพในด้านนี้

ไม่นาน ในด้านหลังแผ่นกระดาษ ลู่เซิ่งก็เจออาวุธเทพศัสตรามารที่เข้าเงื่อนไขของเขาพอดิบพอดีชิ้นหนึ่ง

‘กระบี่ธารธารา: เคยพุ่งสู่ฟากฟ้าจากก้นแม่น้ำธารธาราซึ่งอยู่ในดินแดนตะวันออกสุดของต้าอิน อาวุธเทพสาดประกายกระบี่ไปร้อยลี้ ชักนำให้แม่น้ำธารธาราพวยพุ่งสู่ฟากฟ้าและขยายไปทั่วสี่ทิศ

ความสามารถหลัก: กดดัน—สะบัดกระบี่ สามารถทำให้แม่น้ำธารธาราทั้งสายกดดันถล่มใส่ศัตรู

สายเลือด: เพิ่มพละกำลัง เสริมกายเนื้อ

คุณสมบัติ: น้ำ แข็งแกร่ง

ระดับดาว: เจ็ดดาว’

ราคา: เริ่มประมูลตั้งแต่หนึ่งแสนเก้าหมื่นทองคำมาร’

ลู่เซิ่งพลิกไปอ่านอาวุธเทพชิ้นอื่น ชิ้นที่เพิ่มพละกำลังและเสริมกายเนื้อได้มีน้อยถึงขีดสุด นอกจากชิ้นนี้แล้ว ก็มีเพียงสามชิ้น แต่ว่าในสามชิ้นนั้นมีสองชิ้นที่เป็นเครื่องประดับของสตรี อีกชิ้นหนึ่งเป็นโล่โลหะขนาดมหึมาเหมือนกับโล่หอคอย เขาร่ำเรียนทักษะความสามารถมาไม่น้อย กลับไม่สนใจวรยุทธ์ด้านการโจมตีด้วยโล่เพียงอย่างเดียว

สำหรับลู่เซิ่ง การป้องกันไม่มีความหมายแม้แต่น้อย เขาไม่เคยต้องการทักษะการป้องกัน การป้องกันที่ดีที่สุด นอกจากการโจมตีแล้ว ก็คือกายเนื้อที่แข็งแกร่งมากพอ

ถ้าหากว่าอีกฝ่ายเจาะแม้แต่ผิวหนังของท่านไม่ได้ ยังจะเอาทักษะด้านการป้องกันไปทำอะไร

หลังจากยืนยันได้แล้ว ลู่เซิ่งก็ดูอาวุธเทพชิ้นอื่นๆ ต่อ

‘กงจักรนวนคร: อาวุธเทพพิเศษที่ผู้เข้มแข็งในราชวงศ์รวบรวมได้จากโลกด้านนอก มีความสามารถพิเศษในการเชื่อมต่อกับมิติปริศนา มิติปริศนาที่เชื่อมต่อถูกตั้งชื่อว่านวนคร สิ่งมีชีวิตที่ถูกจับใส่เข้าไปในนวนครจะกลายเป็นน้ำหนองและตายไปโดยใช้เวลาสามเค่อ

ความสามารถแกนหลัก: กลืนกิน—จับผู้ที่มีพลังอ่อนแอทุกคนที่มองเห็น เข้าสู่นวนคร ขอแค่มีปราณจริงแท้มากพอ อย่างมากสุดสามารถดูดซับสิ่งมีชีวิตได้เป็นจำนวนหนึ่งพัน

สายเลือด: กระตุ้นพลังแห่งนวนคร

คุณสมบัติ: พลังปราณ

ระดับดาว: เก้าดาว

ราคา: เริ่มประมูลที่เก้าหมื่นทองคำมาร’

พอเห็นสิ่งนี้ ลู่เซิ่งก็หวั่นไหวเล็กน้อย

“สหายอย่าได้ถูกคำอธิบายนี้หลอก” บุรุษวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างอดเอ่ยปากส่งกระแสเสียงไม่ได้ ‘ก่อนหน้านี้ข้าซื้อกงจักรนวนครนี่ไปเหมือนกัน ผลคือใช้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง’

“อ้อ เพราะอะไรหรือ” ลู่เซิ่งเงยหน้ามองบุรุษที่ส่งเสียง อีกฝ่ายนั่งอยู่ทางฝั่งขวาของเขาห่างออกไปสามที่นั่ง

บุรุษสวมอาภรณ์สีดำที่ปักดอกไม้สีทอง ท่อนร่างติดเกราะขาสีดำอมน้ำเงินแนบตัว ดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากสมรภูมิ จึงยังไม่ทันได้ถอดเกราะออก

ลู่เซิ่งอดกวาดตามองผ่านมีดสั้นอันประณีตที่ติดอยู่ข้างเอวของบุรุษไม่ได้ บนฝักมีดสีน้ำตาลอมเทามีลวดลายสิงโตที่บนหลังเต็มไปด้วยปีกนับไม่ถ้วนอยู่ตัวหนึ่ง

“ขออภัยด้วยสหาย ข้าน้อยโจวหย่งถาน ตระกูลนับว่ามีการสั่งสมส่วนหนึ่ง บวกกับไม่พอใจสายเลือดของตัวเองเท่าไหร่ ดังนั้นจึงมักมาหาอาวุธเทพที่ใช้งานได้และเหมาะสมที่งานประมูลนี้เป็นประจำ เพื่อดูว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สายเลือดของตัวเองบนพื้นฐานของสายเลือดเดิมได้หรือไม่ พอดีที่ก่อนหน้านี้ถูกใจกงจักรนวนคร จึงซื้อกลับไป…”

ลู่เซิ่งสนใจขึ้นมา พลันนั่งตัวตรงแล้วซักถาม “มีข้อเสียอะไรหรือ”

“ไม่ใช่ข้อเสียหรอก แต่เป็นความสิ้นเปลืองต่างหาก…” โจวหย่งถานส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างจนใจ “ดูดซับสิ่งมีชีวิตสักชนิดหนึ่ง ถ้าหากยึดถือตามมาตรฐานของเบญจลักษณ์ จะต้องใช้ปราณจริงแท้เกือบครึ่งของขอบเขตพันธนาการระดับเบญจลักษณ์ มิหนำซ้ำยังได้แต่ดูดซับสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าตัวเองมากด้วย”

ลู่เซิ่งตกใจเช่นกัน ปราณจริงแท้ครึ่งหนึ่งของยอดฝีมือระดับเบญจลักษณ์หรือ ปล่อยปราณจริงแท้ออกไปมากมายปานนี้ เพื่อดูดซับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าตัวเองมากคนเดียวหรือ

หากมีปราณจริงแท้มากมายขนาดนั้น แล้วจะใช้กฎเกณฑ์ของอาวุธเทพทำไมอีก ลงมือเองไม่เร็วกว่าหรือ ทั้งยังไม่แน่ว่าจะต้องใช้ปราณจริงแท้มากมายขนาดนี้ด้วย

“จะทิ้งก็เสียดาย เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์” พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ส่ายหน้าเช่นกัน

“ผู้ใดว่าไม่ใช่เล่า” โจวหย่งถานกล่าวเห็นด้วย “สิ่งที่ทำให้ข้าเดือดดาลก็คือ ขนาดหลอกข้าไปแล้ว ไอ้สถานที่ผีสางแห่งนี้นี่ ยังกล้าเอาชิ้นที่สองชิ้นที่สามมาขายต่ออย่างเปิดเผยอีก”

“โจวเหล่าซานเจ้านับว่าช่วยโฆษณาให้โดยไม่เอาเงินอีกแล้ว พอเจอคนที่สนใจกงจักรนวนคร ก็จะรีบมาเตือนทันที เหนื่อยหรือไม่ ตอนนั้นทางงานประมูลเตือนเจ้าไปแล้วนี่ ไม่ได้คะยั้นคะยอให้เจ้าซื้อเสียหน่อย” สตรีร่างอ้วนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวพลางหัวเราะเหอะๆ

รอบๆ มีคนอยู่สิบกว่าคน คนที่มาประมูลอาวุธเทพในโถงเล็กแห่งนี้ได้ ล้วนเป็นคนที่มีสถานะไม่ตื้นเขิน เดิมคนแบบนี้ในจังหวัดไร้เหมันต์ก็มีไม่เยอะอยู่แล้ว ไปๆ มาๆ ทุกคนจึงรู้จักกัน

“น้องชายคนนี้มาใหม่ ข้ากลัวเขาจะเสียเปรียบนี่” โจวหย่งถานเอ่ยด้วยรอยยิ้มประดักประเดิด

“กิจการของตระกูลโจวใกล้จะไปถึงโลกด้านนอกแล้ว ยังสนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ นี้อีกหรือ ต่อให้ผู้อาวุโสของสามสำนักจะพึ่งพาตระกูลโจวของเจ้าเพื่อหาข้าวกิน แต่มาขัดขวางงานประมูลเล็กๆ แบบนี้มันสนุกตรงไหนกัน” สตรีร่างอ้วนประชดประชัน

“งานประมูลเล็กๆ? จุ๊ๆ” โจวหย่งถานจุ๊ปากสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก งานประมูลที่กล้าประมูลอาวุธเทพ เล็กอย่างนั้นหรือ เรื่องตลกนี้ไม่น่าตลกแม้แต่น้อย

สตรีร่างอ้วนก็หุบปากเงียบเสียงลงแล้วเช่นกัน

……………………………………….