ตอนที่ 13 ตลาด

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 13

ตลาด

 

ทันทีที่เข้ามาใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ สิ่งแรกที่ลอยมาก็คือกลิ่นของอาหารที่กำลังถูกปรุงอยู่ที่ร้านด้านข้าง แม้จะมีคนไม่มากนักแต่เจ้าของร้านก็กำลังต้มบางอย่างเพื่อรอลูกค้าที่จะเข้ามาในตอนเย็น ไป๋จูเหวินไม่เคยกินอาหารของมนุษย์มาก่อน ตลอดมามันกินแต่เนื้อของอสูรและผักผลไม้รวมทั้งสมุนไพรในป่าวัฒนะเท่านั้น แค่ได้กลิ่นมันก็อยากรู้แล้วว่ารสชาติจะเป็นเช่นไร

“นายน้อย หากอยากทานอาหารข้าแนะนำให้กลับไปทานที่โรงเตี๊ยมดีกว่านะ โรงเตี๊ยมของเราเรื่องอาหารนับเป็นที่ 1 ในเมืองเลย”ต้าเฉินพูดออกมาทันทีเมื่อเห็นไป๋จูเหวินมองไปที่ร้านอาหารด้วยท่าทีสนใจ

“แบบนั้นก็เอาตามพี่เฉินว่าก็แล้วกัน”ไป๋จูเหวินยิ้มรับอย่างอารมดี ก่อนจะเดินไปตามทางดูแผงที่นำออกมาขายของกันแต่อยู่ๆสัมผัสของไป๋จูเหวินก็รู้สึกถึงพลังอสูรที่แผ่วเบามาจากทางหลังตลาด พอสังเกตดีๆก็พบว่าที่แผงลอยนั้นกำลังวางขาย ไข่ จำนวน 5 ลูก แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือไข่ของสัตว์อสูรและไป๋จูเหวินก็รู้อีกด้วยว่ามันคือไข่ของสัตว์ชนิดใด

“พี่ชาย ไข่พวกนี้ท่านหามาจากไหนหรือ”ไป๋จูเหวินเดินเข้าไปถามชายคนนั้นอย่างสุภาพ ไข่พวกนี้เป็นไข่ของอสูรงูระดับต่ำ ในโลกของอสูรพวกมันมักจะโดนจับกินหลังจากฟักแล้ว การเห็นมนุษย์เอาไข่ออกมาวางขายไม่ทำให้ไป๋จูเหวินประหลาดใจนัก แต่ที่เขาอยากรู้คือมนุษย์นำไข่อสูรระดับต่ำมาทำอะไรต่างหาก

“ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่ามันอยู่ทางเหนือ แต่ข้าบอกสถานที่ไม่ได้หรอกนะ”พ่อค้าว่าพลางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะพ่อค้าคนไหนก็ต้องเก็บแหล่งรายได้เป็นความลับอยู่แล้ว แม้คนที่จะยอมเสี่ยงเข้าไปในถิ่นของอสูรจะมีน้อย แต่หากแลกเงินได้ก็ต้องมีไอ้บ้าที่ไหนกล้าทำสักคนนั่นละ

“อยู่ใกล้ขนาดนั้นเชียว แล้วคนที่ซื้อไปเขาเอาไข่พวกนี้ไปทำอะไร”ไป๋จูเหวินถามด้วยความสงสัย มนุษย์ปกติไม่สามารถกินเนื้อของอสูรได้ พวกเขาจึงไม่น่าจะซื่อไข่พวกนี้ไปทำอาหารแน่ๆ

“ไข่พวกนี้เป็นไข่ของงูดินใหญ่ อสูรระดับล่างขั้นที่ 3”คำตอบของคนขายทำให้ไป๋จูเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย อสูรงูพวกนี้โตเต็มวัยก็เป็นได้แค่อสูรระดับทองแดงขั้น 2 หรือว่ามนุษย์จะเรียกอสูรด้วยระดับที่ไม่เหมือนในแดนอสูรกัน

“พี่ชาย อสูรมีกี่ระดับงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินถามอย่างสนใจ แต่ผู้ขายกลับเริ่มมีสีหน้ารำคาญเพราะเห็นๆอยู่ว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะซื้อ

“นายน้อย อสูรมีอยู่ 3 ระดับขอรับ โดยแบ่งเป็นระดับ ล่าง กลาง และ สูง โดนแต่ละระดับจะแบ่งเป็น 10 ขั้นขอรับ”ต้าชิงเห็นคนขายมีท่าทีไม่พอใจเขาเลยออกมาตอบคำถามแทนให้อย่างรวดเร็ว แต่คำตอบก็ทำให้ไป๋จูเหวินงุนงงไปอีกรอบเพราะระดับที่เขารู้จักแบ่งออกเป็น 9 ระดับ เหตุใดมนุษย์จึงลดเหลือเพียง 3 ระดับกัน

“เจ้าหนู ไม่ซื้อก็ไปได้แล้วคนกำลังทำมาค้าขาย”พ่อค้าเห็นไป๋จูเหวินไม่ซื้อของแน่แถมยังเอาแต่ถามน่ารำคาญมันเลยออกปากไล่ แต่ต้าเฉินที่อยู่ข้างๆกลับเข้ามาแทรกระหว่างนายน้อยกับพ่อค้าเสียก่อน

“พูดจาระวังหน่อย ท่านเป็นแขกของ…”

“ต้าเฉิน” ต้าชิงพูดเตือนน้องชายของตนเอาไว้เพราะพ่อค้าไม่ได้เป็นฝ่ายผิด เขาเชิญไป๋จูเหวินเดินชมร้านอื่นต่อก่อนจะมีเรื่องผิดใจกัน

“พี่ชิง ไข่อสูรซื้อไปทำอะไรกัน”ไป่จูเหวินไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดของพ่อค้า และเลือกจะถามต้าชิงที่ดูมีความรู้กว้างขวางแทน

“ส่วนใหญ่ก็เลี้ยงขอรับ แต่คนธรรมดาจะซื้อไข่ของอสูรไปเทรอบๆไร่เพื่อป้องกันศัตรูพืชขอรับ”ต้าชิงตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นเคย แม้จะยังเป็นไข่แต่ก็มีกลิ่นอายอสูรจางๆ หากนำเนื้อของไข่ไปเทไว้รอบๆไร่หรือนาของตนละก็ สัตว์ธรรมดาจะไม่กล้าเข้าใกล้ไร่หรือนาผืนนั้นเลย แต่ราคามันออกจะแพงไปหน่อยเลยหาคนซื้อได้ยากพอดู

“มีคนเลี้ยงอสูรด้วยเหรอ”ไป๋จูเหวินกลับไปสนใจกรณีแรกเสียมากกว่า อสูรที่ระดับต่ำกว่า ทอง จะไม่ค่อยมีสติปัญญานัก ที่พูดได้ก็ต้องเป็นอสูรที่สามารถเลื่อนเป็นระดับทองได้ อย่างหมีคิ้วขาวเองเพราะความจริงเผ่าพันธุ์ของมันเป็นอสูรระดับ ทอง ขั้นกลาง แม้ตัวมันจะอยู่ระดับเงินแต่ก็มีสติปัญญา และสามารถใช้พลังอสูรได้แม้จะยังอยู่ระดับเงินก็ตาม

“ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณสามารถเชื่อมพันธะวิญญาณกับอสูรได้ขอรับ แต่ส่วนใหญ่ต้องทำตั้งแต่อสูรตัวนั้นออกมาจากไข่หรือพึ่งเกิดเลย เพราะยิ่งโตพวกมันก็ยิ่งไม่ทำสัญญาด้วย”แม้ต้าชิงจะตอบเช่นนี้ แต่จริงๆแล้วการทำให้อสูรระดับสูงๆหรือตัวที่โตแล้วเชื่องเป็นเรื่องยาก แต่หากสามารถทำได้ก็สามารถเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยงได้เช่นกัน

“ถ้าได้อสูรเก่งๆมาเป็นสัตว์เลี้ยง มันก็จะช่วยเราสู้ได้ อย่างไข่งูดินใหญ่เมื่อครู่ หากเลี้ยงจนมันโต มันจะสามารถรัดร่างของศัตรูได้เลยเชียวละ”ต้าเฉินว่าพลางทำท่ากอดตัวเองแน่น ทำให้ไป๋จูเหวินแอบหัวเราะออกมานิดหน่อย

“แต่กว่าจะเลี้ยงจนโตก็ 30 ปีแถมงูยังกินเยอะเสียด้วย หากนายน้อยอยากจะเลี้ยงข้าแนะนำให้หาไข่ของสัตว์อสูรระดับกลางดีกว่า”ต้าเฉินพูดจบก็พาไป่จูเหวินเดินชมตลาดต่อ จนกระทั่งเดินมาถึงร้านขายอาวุธแห่งหนึ่ง ของภายในร้านสร้างความสนใจให้ไป๋จูเหวินไม่น้อย เพราะในแดนอสูรมันไม่เคยเห็นของเช่นนี้มาก่อน ท่านน้าของมันไม่มีใครใช้อาวุธ รวมทั้งอสูรในป่าเองก็ไม่ใช้เพราะพวกมันมีกรงเล็บ เขี้ยว หรืออาวุธเฉพาะของแต่ละเผ่าอยู่แล้ว

“โอ้ ดาบใหม่ๆเข้ามาเพียบเลยนี่นา”ต้าเฉินพูดด้วยท่าทีดีใจกว่าปกติ ดวงตาของเขาเป็นกระกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นไป๋จูเหวินเดินเข้ามาในร้านอาวุธ

“ต้าเฉิน เจ้ามาเร็วนะวันนี้”ชายร่างกายบึกบึนจนไป๋จูเหวินเข้าใจผิดว่าเป็นน้าราชสีห์ทักทายต้าเฉินอย่างเป็นกันเอง ท่าทางต้าเฉินจะมาที่นี่บ่อยๆเป็นแน่

“วันนี้ข้าพาแขกของเถ้าแก่มา ไม่ได้มาด้วยตัวเองหรอก”ต้าเฉินตอบพลางเดินไปมองอาวุธต่างๆในร้าน แม้ในเมืองจะมีผู้ฝึกพลังวิญญาณแค่ 4 คน แต่คนธรรมดาก็พกอาวุธกันบ้างโดยเฉพาะพวกที่ขึ้นเขาไปล่าสัตว์หรือหาสมุนไพร ทำให้ร้านอาวุธของเมืองขายดีทีเดียว

“นายน้อย…”ขณะถอนหายใจกับต้าเฉิน ต้าชิงก็หันมามองว่านายน้อยกำลังทำอะไรอยู่ แต่พอเห็นว่านายน้อยกำลังลืมตาอยู่ตัวมันก็แอบประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาของนายน้อยเป็นสีทอง แถมดูไปเหมือนดวงจันทร์ไม่มีผิด

“อืม นี่คือดาบงั้นเหรอ”ไป๋จูเหวินพูดพลางหยิบดาบขึ้นมาดู ดวงตาสีทองคู่นั้นไล่ดูคมดาบอย่างละเอียด ก่อนจะวางมันกลับเข้าที่ไป

“นายน้อย ท่านทำอะไรหรือขอรับ”ต้าชิงถามพลางมองไป๋จูเหวินที่นำดาบอีกเล่มมาพิจารณา

“ก็ ดูอาวุธพวกนี้ยังไงละ”ไป๋จูเหวินบอกตามตรง ท่าทางตัวไป๋จูเหวินเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้มันกำลังลืมตาอยู่

“ขะ … ขอรับ”ในเมื่อนายน้อยไม่บอก มันเองก็ไม่ทราบจะสาวความอย่างไร มันเพียงเงียบและมองดูนายน้อยไล่ดูดาบและอาวุธอื่นๆในร้านเงียบๆ

ตั้งแต่ตอนที่ไป๋จูเหวินกลืนแก่นอสูรของมารดาเข้าไป ตัวมันก็เหมือนได้รับทักษะของมารดามาบางอย่าง สิ่งแรกที่เห็นได้ชัดคือดวงตาที่เปลี่ยนไป ยามปกติมันจะไม่ลืมตาเพราะหากมันอยากมองเห็นแค่เปลือกตาไม่สามารถปิดกั้นอะไรมันได้อยู่แล้ว และในบางครั้งที่มันลืมตา ตัวมันก็จะเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น อย่างเวลาที่ดวงตามันกลายเป็นสีแดง ภาพที่ผ่านใบหน้าไปราวกับกำลังค่อยๆเคลื่อนไหว แม้แต่ยามขี่หลังของน้าพยัคฆ์มันยังรู้สึกช้าราวกับต้นไม้ค่อยๆเลื่อนผ่านมันไป และยามใดที่มันมองวัตถุต่างๆที่น้าไก่ฟ้านำมาให้มันดู มันจะรู้ได้ทันทีว่าวัตถุนั้นคืออะไร และสามารถจำแนกได้ว่าวัตถุก้อนไหนมีประมาณเท่าใดและก้อนไหนบริสุทธิ์กว่ากัน ในการประเมินดาบเมื่อครู่ก็เช่นกัน เพียงมองใบดาบไป๋จูเหวินก็ทราบถึงความคมของมันในทันที และสามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนว่าดาบเล่นไหนคมที่สุดในร้าน หรือดาบเล่นไหนเหนียวหรือแกร่งกว่ากัน

“นายน้อยสนใจเล่มไหนขอรับ”ต้าเฉินเห็นนายน้อยกำลังเลือกดาบอยู่มันก็เสนอหน้าออกมาทันที เพราะมันเรียกได้ว่าเป็นลูกค้าประจำเลยก็ว่าได้ แถมยังชอบสะสมดาบเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าที่ห้องของมันมีดาบเรียงอยู่เต็มผนังเลยทีเดียว

“ไม่ละ ข้าไม่เคยใช้อาวุธมาก่อน”ไป๋จูเหวินตอบพลางหลับตาลง อาวุธทั้งหมดในร้านล้วนเป็นระดับ ธรรมดา และคุณภาพเองก็ใกล้เคียงกัน จะต่างก็แค่รูปทรงเท่านั้น

“น่าเสียดาย”ต้าเฉินถอนหายใจพลางกลับไปมองอาวุธในร้านต่อ

“ต้าชิง ต้าเฉิน…”ขณะกำลังจะออกจากร้าน ร่างของชายหนุ่ม 2 คนก็ปรากฏขึ้นที่หน้าร้าน ทำให้สีหน้าของต้าชิงแปลเปลี่ยนเป็นหม่นหมองทันที

“แปลกจริงๆ พวกเจ้าออกจากรูมาได้ด้วยงั้นเหรอ”ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามจนแม้แต่ไป๋จูเหวินก็ฟังออก

“มีปัญหาหรือไงเฟยอิน”ต้าเฉินตอบกลับด้วยใบหน้าไม่พอใจนัก แต่ต้าชิงก็ห้ามต้าเฉินเอาไว้เพราะตอนนี้พวกตนอยู่ระหว่างงานปกป้องนายน้อย หากนำพาเรื่องมาหานายน้อยซะเองมันใช้ได้ที่ไหน

“แน่นอนสิ หมาเฝ้าโรงเตี๊ยมอย่างพวกแกหลงมานอกเขตแบบนี้ มันต้องสั่งสอนกันอยู่แล้ว”เฟยอินว่าพลางหยิบดาบเล่มหนึ่งในร้านออกมาถือ

“พวกเรากำลังทำงาน ไม่มีเวลาว่างมาทะเลาะกับเจ้าหรอกนะ”ต้าชิงพูดเสียงเย็นพลางหันไปมองต้าเฉิน มันส่งสายตาราวกับจะบอกให้ต้าเฉินปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน

เฟยอินผู้นี้เป็นน้องชายของ เฟยหลิง ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่เก่งกาจที่สุดในเมือง แม้แต่เจ้าเมืองยังไม่กล้าทำอะไรมัน และเพราะมันถือว่าไม่มีใครสู้มันได้ มันเลยกร่างไปทั่วแม้แต่โรงเตี๊ยมชมจันทร์ของเถ้าแก่หวังก็ยังโดนมันป่วนไม่น้อย แต่เพราะโรงเตี๊ยมชมจันทร์มีต้าชิงและต้าเฉินอยู่ แม้จะสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะพ่ายแพ้หมดรูป หากพวกมันร่วมมือกันปะทะตรงๆกับเฟยหลิงก็ไม่ใช่ว่าพวกมันจะแพ้อย่างแน่นอน ทำให้เฟยหลิงไม่ค่อยมากร่างที่โรงเตี๊ยมชมจันทร์นัก อย่างมากก็มากินฟรีแล้วจากไป ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกมันเป็นแบบจ้องดูเชิงกันมาตลอด

ส่วนเฟยอิน มันไม่มีพลังวิญญาณติดตัว แต่เมื่อรู้ว่ามันเป็นน้องของใคร ชาวบ้านก็ไม่กล้ายุ่งกับมัน ทำให้มันสามารถทำตัวเป็นนักเลงคุมตลาดได้อย่างเปิดเผย

“คุกเข่าขอขมาข้าก่อน พวกเจ้าถึงจะไปได้”เฟยอินยิ้มหยันพลางมองต้าชิงอละต้าเฉินอย่างอารมดี ในสายตาของเฟยอินแล้วแม่ทั้งสองจะเป็นผู้ฝึกพลังวิญญาณ แต่ก็อ่อนด้อยกว่าพี่มันอย่างไม่ต้องสงสัย มันจึงออกคำสั่งได้อย่างหน้าด้านเช่นนี้