ในกลุ่มนั้นหลัวเถิงเป็นคนแรกที่หันมามองทางนี้
เขาก็รู้สึกผิดปกติตั้งแต่ตอนที่เหยียนหลิงจวินออกมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงชวนเพื่อนขุนนางหลายคนตามมาชมสวนด้วยกัน
ถึงแม้ตอนที่เขามองไป เหยียนหลิงจวินกับฉู่สวินหยางจะเพียงแค่ยืนอยู่ด้วยกัน แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดใจอย่างน่าประหลาด
“หลัวซื่อจื่อ ทุกท่านก็ออกมาชมสวนเหมือนกันหรือ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มทักทายก่อน พลางเดินเข้าไปหาพร้อมกับฉู่สวินหยาง
หลายคนที่มานั้นก็สนิทกับเขาเหมือนกัน
พอเห็นว่าฉู่สวินหยางอยู่ด้วยก็มีคนหยอกเล่นทันทีว่า “ดูท่าทางพวกเราจะคิดถูกแล้วที่ออกมา ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านหญิงที่นี่!”
ระหว่างที่เอ่ยนั้นบางคนก็มองทั้งสองคนสลับไปมาอย่างมีเลศนัย
ตั้งแต่เหยียนหลิงจวินกลับมาหลังจากตามฉู่สวินหยางลงไปทางใต้ เรื่องที่เขาชอบท่านหญิงสวินหยางก็ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรอีกแล้ว ที่น่าแปลกคือนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะยังอดทนไม่เอ่ยเรื่องสู่ขอจนถึงตอนนี้ และทางฉู่อี้อันแห่งวังบูรพาก็ไม่แสดงท่าทีแม้แต่นิดเดียวจนเดาใจไม่ถูก
ทว่าด้วยฐานะของฉู่สวินหยาง หลายคนต่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงแค่หยอกล้อกันเล่นๆ เท่านั้น
ฉู่สวินหยางก็ไม่กลัวสายตาของพวกเขาเช่นกัน นางเพียงยิ้มเล็กน้อยว่า “วันนี้ทุกท่านมาเป็นแขก หากมีตรงไหนดูแลไม่ทั่วถึงก็ต้องขออภัยด้วย อีกสักครู่ในงานเลี้ยงต้องดื่มให้มากหน่อยถึงจะดี!”
“ท่านหญิงถ่อมตัวแล้ว!” ทุกคนรีบบอกปัดอย่างสุภาพ
ฉู่สวินหยางเพียงยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการอีก เชิญทุกท่านตามสบาย!”
ชิงเถิงพาเหล่าสาวใช้ไปส่งของเรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินกลับมาทางนี้พอดีตอนที่นางพูดจบ นางจึงกวักมือเรียกไว้และค่อยๆ พาทั้งกลุ่มเดินจากไป
ทุกคนถอยไปชิดสองข้างทางเดินแคบและมองตามหลัง
พอเห็นนางค่อยๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว สุดท้ายสายตาอย่างมีเลศนัยก็ย้อนกลับมาที่เหยียนหลิงจวินอีก
“ใต้เท้าเหยียนหลิง ก็ว่าทำไมจู่ๆ หันมาอีกทีก็ไม่เห็นท่านแล้ว อะไรกัน? นี่ทิ้งพี่น้องออกมาหาสาวงามคนเดียวหรือ?” บุตรชายของรองเสนาบดีจั่วที่ปกติค่อนข้างสนิทกันเดินมาข้างหน้า แล้ววางแขนลงบนบ่าเขาพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว
“เหอะ…” เหยียนหลิงจวินปิดปากหัวเราะแห้งๆ ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
หลัวเถิงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่กลับซ่อนไว้จนเห็นไม่ค่อยชัด เขาได้ยินแล้วก็ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาว่า “เรื่องเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของท่านหญิง จื่อเจี้ยน เจ้าก็ระวังไว้หน่อยเถอะ!”
“เหอะๆ!” จั่วจื่อเจี้ยนหัวเราะแก้เก้อ ส่วนคนอื่นก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นและเดินไปชมสวนต่อ
เหยียนหลิงจวินมองหลัวเถิง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หลัวเถิงก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน ถึงแม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้เหยียนหลิงจวินไม่ได้รักนางแค่ข้างเดียว ทว่าแค่คิดว่าเขาออกมาเจอฉู่สวินหยางเป็นการส่วนตัว ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ความจริงแล้วช่วงนี้เขาก็ได้คิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเช่นกัน เขาเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่มีภาระและหน้าที่ ถึงแม้จะชอบนางจริง แต่เขากลับทำอะไรนอกลู่นอกทางแบบเหยียนหลิงจวินไม่ได้
ราวกับตั้งแต่ต้น…
ไม่เพียงออกตัวช้าไป แม้แต่ในด้านฐานะ…
เขาก็แพ้ไปตั้งนานแล้ว
—————————-
ในห้องโถงด้านหน้านั้น ซูอี้ยิ้มให้เหล่าขุนนางอาวุโสที่คอยชื่นชมประจบเขาตลอดจนหน้าชาไปหมดแล้ว
เดิมทีเขารู้สึกว่าการถูกลอบสังหารระหว่างทางที่ไปชายแดนทางเหนือกับการเสี่ยงอันตรายในสนามรบหลายครั้งเป็นสิ่งที่เหนื่อยยากที่สุดแล้ว ทว่าหลังจากกลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับมือเหล่าคนแก่ที่มีน้ำใจอันเหลือล้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นอยากช่วยหาภรรยาให้เขาหรือแนะนำตนเองว่าอยากจะเป็นพ่อตาของเขาก็ตาม จึงยิ่งรู้สึกว่านี่มันยิ่งกว่าเจรจาค้าขายเสียอีก…
นี่เขาพลาดท่าถูกฉู่สวินหยางหลอกแล้ว
กว่าจะหาเหตุผลแอบปลีกตัวออกมาได้ก็ยากลำบากมาก จนโล่งอกไปทีในที่สุด
โม่เสว่แต่งตัวเป็นเด็กรับใช้รออยู่ด้านนอก พอเห็นเขาออกมาแล้วก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “คุณชาย นี่ท่าน…”
“ข้าขอตัวก่อน!” ซูอี้เอ่ย เขาเกรงว่าจะมีคนตามออกมาเห็นเข้าจึงก้าวเดินไม่หยุด “อีกสักครู่เจ้าไปทักทายพ่อบ้านของวังบูรพาสักหน่อยก็พอ”
“แต่นี่งานเลี้ยงยังไม่เริ่มเลยนะเจ้าคะ!” โม่เสว่เอ่ย “ท่านก็จะไปแบบนี้เสียแล้ว…”
“ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้ว่าข้ามีความแค้นกับคังจวิ้นอ๋อง ดังนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะมาเพิ่มหรือจะหายไปอยู่แล้ว”
ซูอี้เอ่ย แล้วสาวเท้าผ่านประตูโค้งด้านหน้าเข้าไปในสวนดอกไม้
เขาเดินมุ่งตรงไปทางประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว ทว่าระหว่างที่เดินนั้นเผลอเหลือบมองไปรอบด้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วเขาก็ใจลอยไปพักหนึ่งทันที เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ใครบางคนเดินอยู่คนเดียวตรงทางเดินเล็กอีกแห่งเยื้องฝั่งตรงข้าม แต่เพราะอยู่ห่างกันค่อนข้างไกลและมุมก็ไม่ค่อยดี เขาจึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของคนๆ นั้น ทว่าแค่เงาด้านข้างกลับทำให้หัวใจเขาบีบรัดจนเต้นผิดจังหวะไปหมด
ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอย่างรวดเร็ว เวลานี้เขาลืมคิดไปว่าการที่ ‘นาง’ จะปรากฏตัวที่นี่ได้นั้นมันผิดที่ผิดทางขนาดไหน เขาคิดเพียงเล็กน้อยก็เดินฝ่าแปลงดอกไม้ไป
“นี่!” เขาอยากจะเรียกให้คนๆ นั้นหยุดอยู่กับที่ แต่พออ้าปากถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย เขาลังเลอยู่เพียงชั่วพริบตา พอเห็นว่าอีกฝ่ายจะเลี้ยวผ่านทางแยกไปแล้วก็ตั้งสติ และสาวเท้าตามไปคว้าข้อมือของนางไว้ทันที
หลังจากฉู่ซินรุ่ยแยกกับฉู่สวินหยางแล้ว ทีแรกนางตั้งใจว่าจะกลับไปโถงบุปผาทางเดิม แต่เพราะกำลังใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่เหมือนกัน อยู่ดีๆ ถูกคนจับข้อมืออย่างกะทันหัน นางก็ตกใจจนหน้าซีดทันที
“เจ้า…” นางหันกลับมาอย่างตกใจด้วยใบหน้าซีดเผือด ทว่าตอนที่เห็นชัดว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี สีหน้าพลันแดงด้วยความโกรธในทันใด นางถามอย่างโมโหว่า “เจ้าทำอะไร?”
สาวใช้สองคนที่ตามมาข้างหลังนางยิ่งตกใจเป็นอย่างมาก พวกนางต่างอ้าปากกว้างมองภาพประหลาดตรงหน้าและพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ซูอี้ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองเป็นอะไรไปแล้วเหมือนกัน เหมือนกับแค่เกิดอารมณ์ชั่ววูบ…
ตอนที่เขารีบเดินมานั้นกลับไม่ได้สังเกตสักนิดว่าสาวใช้อยู่ห่างจากฉู่ซินรุ่ยไปข้างหลังเพียงแค่สามก้าวเท่านั้น เขาเห็นแต่เงาด้านข้างที่รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกนั้น
ทั้งสองคนสบตากัน
ทว่าใบหน้าของอีกฝ่ายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขากลับไม่เหมือนกับที่เขาคาดไว้แม้แต่น้อย
ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะรูปร่างหน้าตาไม่โดดเด่นกว่าคนอื่นเหมือนกัน แต่จากรูปร่างหน้าตาไปจนถึงสีหน้าและท่าทางทั้งตัวของนางแล้ว…
ไม่ใช่คนที่เขาคิดเมื่อครู่อย่างแน่นอน
เวลานี้อีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอย่างโมโห
ในใจเขารู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก ทันใดนั้นในสมองพลันปรากฏภาพเลือนรางขึ้นมาอีกในชั่วพริบตา…
ชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่นาง แล้วเมื่อครู่เขาถูกผีเข้างั้นหรือ? ถึงได้เดินปราดเข้ามาหาอย่างแปลกประหลาดแบบนี้!
“เจ้ากล้ามาก!” สาวใช้ของฉู่ซินรุ่ยเพิ่งจะได้สติในเวลานี้ นางเอ่ยเสียงดังด้วยหน้าแดงก่ำว่า “บังอาจนัก กลางวันแสกๆ เจ้ากล้าเสียมารยาทต่อท่านหญิงของพวกเราหรือ?”
ซูอี้ได้สติกลับมาแล้วก้มมองมือตนเองที่จับข้อมือของอีกฝ่ายอยู่ เขารู้สึกเก้อเขินจนรีบปล่อยมือ “ขออภัย ข้า…”
เขาพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็เหม่อลอยจนหยุดพูดไปอีกครั้ง
ใช่แล้ว ที่นี่คือวังบูรพา ด้วยฐานะของผู้หญิงคนนั้นแล้ว อย่างไรนางก็ไม่มีทางที่จะปรากฏที่นี่ได้อย่างเปิดเผย
————————————————–