บทที่ 1091+1092

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1091+1092 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 1091 ถ้าโง่แล้วยังจะใช่นางอยู่หรือ?

ในที่สุดก็ซีจิ่วก็ยิ้มออกมาแล้ว เป็นรอยยิ้มที่ดุเสียดสีประชดประชันอย่างบอกไม่ถูก “คุณคิดว่าฉันคนนี้ความจำสั้นนักหรือไง ชาติก่อนถูกคุณควักหัวใจไปช่วยชีวิตคู่หมั้นคุณ ชาตินี้ยังจะชอบคุณโดยลืมสิ้นซึ่งความแค้นแต่หนหลังอีกหรือ? ฉันด้อยค่าขนาดนี้เชียวเหรอ?”

หลงซือเย่ถูกตอกกลับจนกระอักกระอวน ผ่านไปสักพักถึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ในอดีตฉันควักหัวใจของเธอเพราะมีเหตุผล และดีต่อตัวเธอด้วย…”

สายตาที่กู้ซีจิ่วมองเขาเสมือนมองคนบ้าคนหนึ่ง “คุณคงไม่คิดจะบอกว่าคุณควักหัวใจฉันไปเพราะอยากจะมอบหัวใจที่ดีกว่าให้ฉัน คงไม่คิดจะบอกว่ากับเย่หงเฟิงเป็นเพียงความรู้สึกผิดเท่านั้น กับฉันสิถึงจะเป็นรักแท้ใช่ไหม? คุณเอาหัวใจของฉันไปชดใช้ความรู้สึกเธอ จากนั้นก็ฆ่าตัวตายเป็นเพื่อนฉัน รู้สึกว่าความรักนี้ช่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินเหลือเกินสินะ? คุณพูดเกินจริงไปหน่อยหรือเปล่า? แต่งเรื่องอยู่หรือไง?”

เธอวนรอบตัวเขาหนึ่งรอบ “คุณรู้ไหมถ้าฉันเจอหลงซีเรื่องแรกที่ฉันจะทำคืออะไร?”

หลงซือเย่ตอบด้วยน้ำเสียงฝาดเฝื่อน “ฆ่าฉัน?”

“โอเค ตอบถูกแล้ว! ในเมื่อคุณบอกว่าตัวเองคือเขา ถ้างั้นก็ตายซะเถอะ!” ฝ่ามือส่องประกายเยียบเย็นแวบหนึ่ง แทงไปที่ด้านหลังเขา!

หลงซือเย่ย่อมไม่ปล่อยให้เธอแทงได้ เรือนกายไหววูบ “ซีจิ่ว เธอฟังฉันพูดหน่อย!”

“ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว! ถ้าหากคุณคือเขาจริงๆ ในเมื่อรู้สึกผิดกับฉัน ถ้างั้นก็ให้ฉันแทงระบายแค้นก่อนสักสองแผลเถอะ!” ร่างของกู้ซีจิ่วว่องไวปานสายฟ้าแลบ วนเวียนโจมตีหลงซือเย่ไม่หยุด

ถึงแม้เธอจะไม่มีพังวิญญาณ หรือพูดอีกอย่างคือใช้พลังวิญญาณไม่เป็น แต่ทักษะวรยุทธ์ก็ยังน่าตะลึงนัก ผนวกกับวิชาเคลื่อนย้ายของเธอ เมื่อต่อสู้ในห้องจึงโฉบไปโฉบมาปานสายลม บีบให้หลงซือเย่ต้องถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ…

กระบวนท่าของเธอเป็นกระบวนท่าของนักฆ่า ลงมืออย่าไร้ความปราณี หลงซือเย่ทำได้เพียงหลบหลีกจึงเชื่องช้าเล็กน้อย แทบจะเคราะห์ร้ายถูกแหกอกแล้ว!

และเห็นได้ชัดว่าหงซือเย่ไม่อยากสู้กับเธอ หลังจากหลบเลี่ยงอย่างถึงที่สุดแล้วถึงเปิดประตูแล้วทะยานออกไป…

….

ในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ห่างออกไป ทุกอย่างที่หลงซือเย่ประสบพบเจอปรากฏอยู่บนจอแก้วอย่างชัดเจน เมื่อเห็นลงซือเย่ถูกกู้ซีจิ่ว เมื่อเห็นลงซือเย่ที่ถูกกู้ซีจิ่วโจมตีอยู่หลายครั้งหลบหนีไป หลงฟั่นก็เหลือบมองท่านเจ้าผมเงินที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง “ยามนี้ท่านเจ้าวางใจแล้วกระมัง? ท่านทดสอบซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เดิมทีนางไม่มีความทรงจำของชาตินี้ แต่ถ้าถูกกระตุ้นซ้ำๆ แบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้นางนึกขึ้นมาได้!”

ทว่าท่านเจ้าผมเงินกลับดูคล้ายจะไตร่ตรองอยู่ “แต่ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่านางแปลกอยู่บ้าง”

หลงฟั่นก็ไม่ได้อารมณ์เสีย “เกรงว่าในใจของท่านเจ้า คงไม่มีผู้ใดไม่แปลกกระมัง? เมื่อก่อนท่านเจ้าก็รู้สึกว่าข้าน้อยแปลกเช่นกัน”

ทั้งสองคนน่าจะรู้จักคบค้ากันมาหลายปีแล้ว ดังนั้นในเวลาที่อยู่กันตามลำพังบางครั้งหลงฟั่นก็ปฏิบัติต่อท่านเจ้าผู้นี้อย่างไม่มีใหญ่มีเล็ก

ท่านเจ้าผมเงินแย้มยิ้มแล้ว “ลูกน้องของข้าหากว่าไม่มีฝีมือหรือนิสัยที่แปลกพิสดารกว่าผู้อื่น ข้ายังจะให้ค่าอยู่หรือ เพียงแต่ที่ข้าบอกว่ากู้ซีจิ่วแปลกมินั้นมิใช่นิสัยของนาง อันที่จริงข้าชอบนิสัยของนางยิ่งนัก ข้าเพียงรู้สึกว่าพฤติกรรมของนางค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในร่างโคลนนิ่ง สมควรจะรู้สึกสับสนจนเสียอาการมิใช่หรือ? อยากน้อยก็ต้องสำรวจดูรอบข้างบ้าง”

สีหน้าหลงฟั่นราบเรียบไร้อารมณ์ “เด็กคนนี้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา ข้ายังไม่เคยเห็นนางสับสนจนเสียอาการเลย ไม่ว่านางจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน ล้วนสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นตัวเองได้ดี ยามนี้นางเป็นเช่นนี้ก็ไม่นับว่าผิดปกติเลย”

ท่านเจ้าผมเงินถอนหายใจ “ดูเหมือนนางจะฉลาดเกินไปหน่อย อันที่จริงข้ารู้สึกว่าหากทำให้นางโง่ลงอีกสักนิดได้ก็คงดี”

หลงฟั่นอับจนวาจา “ถ้าโง่แล้วยังจะใช่นางอยู่หรือ?” จู่ๆ ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ทางด้านอู๋เหยียน (ไร้หน้า) เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? เหยียนนั่วผู้นั้นยังไม่พานางจากไปอีกหรือ?”

น้ำเสียงท่านเจ้าผมเงินเย็นชา “อู๋เหยียนควบคุมร่างนั้นได้ไม่ค่อยดี”

————————————————————————————-

บทที่ 1092 เหตุใดยังใช้นางเป็นเหยื่อล่ออีกเล่า

น้ำเสียงท่านเจ้าผมเงินเย็นชา “อู๋เหยียนควบคุมร่างนั้นได้ไม่ค่อยดี ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว นางเดินทางล้วนหอบหายใจอยู่ตลอด เหยียนนั่วจึงพานางไปพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ดูแลให้กินอยู่อย่างดี บอกว่าแจ้งให้ทูตสวรรค์ฝ่าย้ายทราบแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะมาพบนาง…”

หลงฟั่นขมวดคิ้ว “เช่นนี้ก็หารังกบดานของเขาไม่พบแล้วสิขอรับ?”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? เขาก็หาแหล่งกบดานของเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่พบเหมือนกัน! ทุกคนก็ไม่ต่างกันหรอก ตอนนี้ผู้คุมกันทั้งสี่คนของเขาล้วนถูกเขาส่งออกไปสืบหาที่อยู่ของเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยามที่เขาปรากฏตัวอีกครั้งคาดว่าจะอยู่เพียงลำพัง มีอู๋เหยียนคอยเป็นไส้ศึกอยู่ คาดว่าสามารถสังหารเขาได้ในคราเดียว!” ประกายดุดันวาบผ่านนัยน์ตาท่านเจ้าผมเงิน

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลงฟั่นถอนหายใจ “เพียงแต่ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องราวมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ทักษะการเล่นละครของอู๋เหยียนคงจะหลอกได้เพียงเหยียนนั่วผู้นั้น เมื่อพบหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าจริงๆ ด้วยความสามารถของตี้ฝูอี เกรงว่าจะแยกแยะเท็จจริงออกอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าจะยอมติดกับของพวกเรา…”

ท่านเจ้าผมเงินเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้คาดหวังให้อู๋เหยียนสามารถหลอกตี้ฝูอีได้จริงๆ หรอก เพียงแต่หากเขาทราบว่าสังขารนั้นเป็นตัวปลอม จะต้องหาทางตามหาตัวจริงเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นซีจิ่วก็จะเป็นตัวหมากสำคัญที่หลอกล่อให้เขาติดกับ”

หลงฟั่นเงียบไปครู่หนึ่ง “ท่านชอบซีจิ่วมิใช่หรือ? เหตุใดยังใช้นางเป็นเหยื่อล่ออีกเล่า?”

ท่านเจ้าผมเงินมองเขาครู่หนึ่ง “หลงฟั่น เจ้าเข้าใจอะไรข้าผิดไปหรือเปล่า?”

“อะไรหรือขอรับ?”

“ในใจเจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นประเภทที่ยอมสละแผ่นดินเพื่อหญิงงามเมื่อไหร่กัน?”

หลงฟั่นนิ่งงัน

ท่านเจ้าผมเงินตบไหล่เขาเบาๆ “หลงฟั่น ถึงเจ้าจะมีประสบการณ์ข้ามภพแล้ว ถึงแม้ความสามารถบางอย่างจะพิสดารยิ่งนัก แต่ความคิดบางอย่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เอาล่ะ พวกเราอย่าสนทนาเรื่องพวกนี้เลย เลี่ยงไม่ให้เจ้าและข้าต้องรู้สึกกร่อย ร่างอันสูงส่งของข้าค้นคว้าถึงไหนแล้ว? เจ้าสร้างร่างโคลนนิ่งได้มากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงสร้างร่างอันสูงส่งของข้าไม่ได้เสียทีเล่า?”

ใบหน้าหลงฟั่นราบเรียบไร้อารมณ์ “ท่านเจ้าต่างจากคนทั่วไป ความต้องการสูง ข้าน้อยเพียงอยากสร้างให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ…”

“”เช่นนั้นจะสำเร็จเมื่อนไหร่? คงมิใช่ว่าต้องรออีกหลายสิบปีกระมัง?”

หลงฟั่นนวดหว่างคิ้ว “อันที่จริงความต้องการของท่านเจ้าสูงเกินไป…วางใจเถอะขอรับ อย่างมากก็หนึ่งเดือนอย่างน้อยก็ครึ่งเดือน ข้าน้อยสามารถคืนชีพให้ท่านเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้แน่นอน สัขารใหม่จะมีระดับพลังวิญญาณเริ่มต้นที่ขั้นเก้า…”

ท่านเจ้าผมเงินถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็พอไหว” มีเพียงต้องใช้ร่างกายที่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับร่างกายดั่งเดิม เขาถึงจะกระทำบางเรื่องอย่างไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหมได้ ยกตัวอย่างเช่นรวมหอกับสตรีในดวงใจ…

….

ภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ไม่แบ่งแยกทิวาราตรี ถึงขั้นที่ไม่มีแม้แต่นาฬิกาทรายบอกเวลาด้วยซ้ำ

กู้ซีจิ่วเองก็ไม่ทราบว่าตนอยู่ที่ตำหนักใต้ดินแห่งนี้มานานเท่าไหร่แล้ว คาดว่าว่าน่าจะสองวันแล้ว สองวันมานี้นอกจากกินกับนอนแล้วเธอก็แค่เดินเล่นเท่านั้น วนไปวนมาอยู่ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้

ตำหนักใต้ดินแห่งนี้ถึงแม้จะใหญ่โตนัก แต่กลับมีคนไม่มาก ประมาณหนึ่งร้อยคน แต่ละคนล้วนเป็นมือดีทั้งสิ้น มีผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นหกขึ้นไปอยู่ครึ่งหนึ่ง และที่พำนักของแต่ละคนก็เป็นความลับด้วย เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป วรยุท์ที่ใช้ก็ค่อนข้างประหลาด

บนแผ่นดินนี้ ผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นหกได้มีน้อยนิ่งนักจริงๆ ก่อนหน้านี้หรงเจียหลัวที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นหกตอนกลางได้ก็ถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะพลังวิญญาณแล้ว

แต่ที่นี่มีผู้ที่บรรลุงพลังวิญญาณขั้นหกขึ้นไปอยู่กว่าห้าสิบคน นี่เห็นได้ชัดยิ่งนักว่าผิดปกติเกินไป กู้ซีจิ่วสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจถูกหลงฟั่นดัดแปลงพันธุกรรม ด้วยนิสัยพิลึกของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนี้ เขาทำได้แน่!

กู้ซีจิ่วทำตัวเสมือนพวกถ้ำมอง ชมดูอยู่ด้านในเหมือนขี่ม้าชมบุปผา ทว่าไม่มีใครขัดขวางเธอเลย

————————————————————————————-