เห็นตวนมู่ซินเหมี่ยวถลึงตาโตใส่ และมองตนเองอย่างประหลาดใจ เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียหนหนึ่ง “มีพี่เขยรองของข้าเป็นตัวอย่าง องค์ชายและพระนัดดาที่มาเกี่ยวข้องกับหมิงเพ่ยถังของเราล้วนไม่ใคร่ดีเท่าใดหรอกนะ! ปีก่อนพี่เขยรองถูกถอดพระยศเพราะกำไลแสงตะวันไอจันทร์เกิดปัญหา นั่นก็เพราะ ประการแรก ฮ่องเต้ทรงรับปากจะให้เขาอยู่ไว้ทุกข์ให้พระมารดาจี้อ๋องที่เมืองหลวงสามปี จึงไม่เหมาะจะผิดคำพูด ประการที่สองเขาเป็นบุตรเขยของหมิงเพ่ยถังของเรา มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งนัก!”
“แต่ไช่อ๋องกลับไม่เหมือนกัน” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเรียบๆ “ไช่อ๋องยังเล็กนัก ก่อนนี้เพราะฮ่องเต้ทรงสงสารที่องค์ชายสี่สิ้นพระชนม์ไปเร็ว จึงให้เขาอยู่ในเมืองหลวงเสมอมาไม่ให้ออกไปปกครองแคว้นสักที ถึงแม้เจ้าจะมาเป็นบุตรีบุญธรรมของหมิงเพ่ยถัง ส่วนหลานชายของเจ้า …นี่ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ทับซ้อนกันแล้ว โดยมากแล้ว ฮ่องเต้ก็จะไม่มาลงทัณฑ์ไช่อ๋อง เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ก็ควรหาเหตุผลสักข้อให้ไช่อ๋องไปครองแคว้นโดยไว มิใช่หรือ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวถอนใจว่า “พี่สะใภ้สาม ท่านก็ไม่ได้โง่อย่างที่ท่านแม่บุญธรรมว่านี่? มิใช่ว่าท่านมองเรื่องเหล่านี้ได้เข้าใจเสียยิ่งนักหรอกหรือ?”
แม้จะเห็นว่าในจดหมายของฮูหยินซูไม่ได้เอ่ยคำทำนองว่าผิดหวังในตัวนาง แต่คำชี้แนะและวิเคราะห์มากมายนั้น …ก็ยังทำให้เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกกลัดกลุ้มจนขัดเคือง พลันเอ่ยว่า “อย่างไร ข้าโง่นักรึ?”
“ข้าก็ไม่รู้” ตวนมู่ซินเหมี่ยวตอบไปตรงๆ “พี่สะใภ้สาม ก็มิใช่ว่าท่านไม่รู้ จิตใจส่วนใหญ่ของข้าล้วนอยู่ที่การแพทย์ เรื่องสลับซับซ้อนเหล่านี้ที่จริงแล้วข้าก็เข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง ทว่าในจดหมายที่ท่านแม่บุญธรรมเขียนมาถึงข้า ก็ล้วนเขียนถึงเรื่องตั้งมากมายที่นางชี้แนะให้ท่านทำ …ข้าจึงคิดว่าเรื่องที่ท่านทำกลับถูกท่านแม่บุญธรรมหาข้อผิดพลาดออกมาได้มากมายเพียงนี้ ย่อมย่ำแย่เอาการเป็นแน่แท้กระมัง?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งอยากกระอักเลือดหลายหน! อีกไม่กี่ปีผู้สูงวัยเช่นแม่สามีก็จะมีเหลนย่าทวดกับเหลนยายทวดแล้วนะ! แต่บุตรชายคนโตของนางยังอายุไม่ครบปีเลย! อีกประการแม่สามียังเข้าใจหมิงเพ่ยถังเป็นหนักหนา! จดหมายที่นางเพิ่งได้อ่านฉบับนั้น ฮูหยินซูก็มิได้ตำหนินางอันใดนักหนา ยิ่งไปกว่านั้น การวิเคราะห์ของฮูหยินซูก็ยังพิสูจน์ว่าวิธีการส่วนใหญ่ของเว่ยฉางอิ๋งล้วนถูกต้องแล้ว!
เอ่อ เพียงแต่ว่าด้วยข้อจำกัดเรื่องอายุ และยังมีเรื่องความเข้าใจต่อหมิงเพ่ยถัง จึงมีหลายเรื่องที่เมื่อมองจากสายตาของฮูหยินซูแล้วยังคงไม่ละเอียดและรอบคอบเท่าเพียงพอนั้นเอง…
เว่ยฉางอิ๋งเชื่อว่าหากแม่สามีอยู่ตรงหน้าตน ต่อให้ต้องการชี้ประเด็นที่ทำไม่รอบคอบให้นางรู้ก็จะต้องเอ่ยชมนางก่อนสักสองสามประโยค
แต่ปรากฏว่าเมื่อมาอยู่ในปากของตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับกลายเป็น ‘ย่ำแย่เอาการ’ …ยังมี ‘เป็นแน่แท้’ ด้วย …เว่ยฉางอิ๋งนิ่งเงียบไปครึ่งค่อนชั่วยาม จึงเอ่ยเสียงบางเบาออกมาว่า “หากข้าจัดการเรื่องนานาได้ย่ำแย่เอาการ เจ้านึกว่าผู้คนที่เร่งเดินทางมาจากที่อื่นเพื่อมาขอให้เจ้ารักษา ซึ่งคิดจะมาพักอยู่ในหมิงเพ่ยถังแห่งนี้ ยังจะถึงคราวข้าเป็นคนตัดสินว่าจะรับปากหรือไม่หรือ?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “อ๊ะ มิใช่เพราะพวกเขาคิดว่า พี่สะใภ้สามท่านสนิทกับข้านัก กลัวว่าหากไม่ขอความเห็นจากท่านแล้วท่านก็จะมาใส่ไคล้พวกเขาต่อหน้าข้าหรอกหรือ?”
“…” เว่ยฉางอิ๋งกำมือแน่น พลางจ้องมองนางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
ตวนมู่ซินเหมี่ยวสบตานาง จากนั้นก็หันเหสายตาไปในทันใดแล้วมองฟ้ามอง ดิน “ข้าก็เพียงคิดไปดังนี้ พี่สะใภ้สามท่านอย่าเคืองโกรธไปเลย! ข้าก็ไม่บอกว่าข้าคิดว่าท่านอาศัยหน้าตาข้านี่ …ใช่หรือไม่?”
ความนั้นของเจ้ากับที่เอ่ยออกมาตรงๆ เช่นนี้มันต่างกันที่ใด?!
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงขรึมไปว่า “หากเจ้ายังร่ำไร เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะชกเจ้าที่นี่ก่อนยกหนึ่ง!”
“ไม่เอาดีกว่า พี่สะใภ้สามยามนี้ท่านมีกิจยุ่งนัก มีคนมาขอรับการรักษาในตัวเมืองซีเหลียงตั้งมากมาย แม้คนที่รักษาจะเป็นข้า แต่ข้าก็ไม่ได้คิดจะออกไปจากหมิงเพ่ยถัง ท่านก็ต้องจัดการหาคนไปต้อนรับพวกเขาจึงจะถูก!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเห็นว่าแหย่เว่ยฉางอิ๋งมาพอประมาณแล้ว กลัวจะยั่วนางจนถูกชกขึ้นมาจริงๆ จึงหัวเราะแหะๆ ส่ายหน้า รีบบอกลาและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว…
เมื่อนางไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเรียกนางหวงมาหาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟัง “…คิดไม่ถึงว่าแม่สามีคอยจับตาดูเรื่องที่นี้อยู่เสมอมา ยิ่งไปกว่านั้นยังคอยดูอย่างละเอียดยิบเพียงนี้ด้วย!”
นางหวงเอ่ยเสียงหนักว่า “เรื่องนี้ก็ไม่เป็นสิ่งใดเจ้าค่ะ ดีชั่วอย่างไร แม้รายละเอียดของเรื่องที่ฮูหยินน้อยจัดการในระยะนี้จะไม่คล่องแคล่วชำนาญเท่าเมื่อฮูหยินอยู่ที่นี้ แต่ทิศทางโดยส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ผิดนะเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ละเลยไปก็เพราะพวกเราเพิ่งจะมาถึงและยังไม่คุ้นเคยกับตระกูลเสิ่นทั้งหมด …และตอนแรกที่พวกเราจะออกเดินทางมา ฮูหยินก็มิได้เอ่ยเรื่องราวภายในตระกูลให้ฮูหยินน้อยฟังมากมายนักเจ้าค่ะ”
“ทางแม่สามีนี้มิเป็นไร ดีชั่วนับแต่กวงเอ๋อร์ลืมตาดูโลก พ่อและแม่สามีก็ล้วนดีต่อข้ามาก ข้ากำลังคิดถึงคำที่ท่านพี่เอ่ยก่อนไป” เว่ยฉางอิ๋งส่ายหน้าแล้วว่า “ความนั้น ข้าก็บอกกับท่านอาไปเมื่อหนก่อนแล้ว …ท่านพี่หวังให้ข้าควบคุมหมิงเพ่ยถังให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เดิมทีข้านึกว่าเรื่องต้าเว่ยจะล่มสลายเป็นเพียงการคาดเดาของท่านพี่ เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ จะเป็นจริงไปได้อย่างไร! ทว่า …ยามนี้แม้แต่แม่สามีก็ยังเป็นห่วงเรื่องนานาที่ข้าทำนับแต่มาถึงซีเหลียงถึงเพียงนี้ ดูคล้ายว่านางไม่วางใจข้า แต่ข้ากลับรู้สึกว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเพราะแม่สามีร้อนใจนักแล้ว!”
นางหวงสะดุ้ง แล้วรีบใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงบอกว่า “เรื่องที่คุณชายบอกกล่าวใหญ่โตนัก ข้าน้อยเองก็ยังไม่กล้าเชื่อทั้งหมดเจ้าค่ะ! เพียงแต่หาก ฮูหยินก็ยังร้อนใจเมื่อเห็นว่า ฮูหยินน้อยท่านต้องเผชิญหน้าอยู่เพียงลำพัง เช่นนั้น …เห็นได้ว่าอย่างน้อยทาง ท่านประมุขก็คงจะคิดเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ!”
เสิ่นเซวียนสามีภรรยาล้วนยังอยู่ในวัยแข็งแรง ในเมื่อไม่ได้หลงใหลในอำนาจวาสนาสักเท่าใด เวลานี้ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องร้อนใจและเร่งรัดบุตรชายและสะใภ้ให้ต้องเก่งกาจสามารถขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพื่อให้เข้ามารับตำแหน่งต่อจากพวกเขากระมัง? สิ่งที่สามารถทำให้พวกเขาร้อนใจถึงเพียงนี้ จะต้องเป็นเพราะวันหน้าพวกเขาจะทำการใหญ่ …ใหญ่จนถึงขั้นที่พวกเขาจะไม่มีเวลามาบ่มเพราะลูกหลานคนรุ่นหลังดังเช่นในสถานการณ์ปกติได้ ไม่แน่ว่ายังหวังให้คนรุ่นหลังสามารถช่วยเหลือเป็นแรงหนุนให้ตนเองได้ด้วย …
เว่ยฉางอิ๋งคลึงหว่างคิ้วพลางเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “ที่คาดไว้ไม่กลัว กลัวแต่สิ่งที่ไม่ได้คาด! ยามนี้ไม่มีคนนอก ข้าจะเอ่ยคำแสลงใจสักคำ เห็นชัดว่าฮ่องเต้ทรงชราจนเลอะเลือนแล้ว! หาไม่ท่านอา ท่านดูความล้มเหลวจากเรื่องที่สนมเอกเติ้งข่มขู่ซินเหมี่ยวมาสิ หากนี่เป็นความคิดของสนมเอกเอง คาดว่าฮองเฮากู้ก็คงจะกำจัดสนมเอกที่ทำการโง่เง่าเช่นนี้ไปได้ตั้งนานแล้ว คงไม่ปล่อยให้สนมเอกเติ้งอยู่มาได้จนทุกวันนี้หรอก! ก่อนนี้พวกเราเดาว่าฮ่องเต้ทรงบงการมา ยามนี้ดูไปแล้วก็เป็นดังนี้จริง! ซึ่งนอกจากจะไม่อาจข่มขู่ซินเหมี่ยวได้แล้ว กลับกันก็ยังทำให้หมิงเพ่ยถังมีบุตรีบุญธรรมเพิ่มมาอีกผู้หนึ่ง ตระกูลเสิ่นก็ยังได้มาร่วมมือกับตระกูลตวนมู่แล้ว! หากยามนี้ฮ่องเต้จะทรงหาทางไปต่อ ตามพระอุปนิสัยของพระองค์ โดยมากก็คงจะหาเหตุผลสักข้อไล่ไช่อ๋องแม่ลูกออกจากเมืองหลวงไปครองแคว้นแล้ว …ซึ่งนี่กลับตรงตามความต้องการของซินเหมี่ยวที่จะได้ไปให้ไกลจากความโกลาหลในเมืองหลวงในครานี้พอดี! ท่านดูความสับสนวุ่นวายคราวนี้สิ ฮ่องเต้ไม่ทรงได้รับประโยชน์อันใดเลย แต่กลับทำให้จิตใจของตระกูลสูงศักดิ์ยิ่งออกห่างจากฮ่องเต้เสียยิ่งกว่าเก่า! ท่านผู้นี้ เฮ่อ….”
“ฮ่องเต้ทรงพระชันษาสูงแล้วจริงดังว่า และตำหนักตะวันออกเองก็ไม่ดีงาม” นางหวงได้รับการบ่มเพาะกล่อมเกลาอย่างพิถีพิถันจากแม่เฒ่าซ่งมาแต่เล็ก เพื่อเตรียมให้มาเป็นบ่าวติดตามหลังแต่งงานของเว่ยฉางอิ๋ง สิ่งที่นางร่ำเรียนเป็นหลักนอกจากศาสตร์การแพทย์แล้ว ก็ล้วนคือหลักการการต่อสู้ของหลังบ้านในคฤหาสน์ใหญ่โต นางจึงเข้าใจเรื่องการเมืองเพียงผิวเผินยิ่งนัก ทว่าหลักการในใต้หล้านี้ เมื่อเข้าใจหลักการหนึ่งก็สามารถเข้าใจได้อีกนับร้อยหลักการ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับปวงประชาต้าเว่ยแล้วเรื่องที่ฮ่องเต้ไม่ออกว่าราชการมานานปี องค์รัชทายาทเลอะเลือนไร้คุณธรรมก็มิใช่ความลับอันใด
ครั้งเว่ยฉางอิ๋งบอกกับนางก่อนหน้านี้ว่า เสิ่นจั้งเฟิงเดาว่าต้าเว่ยกำลังจะล่มสลาย นางหวงจึงต้องหายใจลึกหนหนึ่ง …หลังจากตื่นตระหนกแล้วนางเองก็แอบคาดเดาเช่นกันว่าชื่อเสียงที่ว่าเป็นฮ่องเต้โฉด และคำร่ำลือที่ว่าองค์รัชทายาทไร้คุณธรรม …ส่วนเหล่าราชนัดดานั้น? แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่ามีบางพระองค์ที่ฉลาดหลักแหลม ทว่าก็ยังห่างไกลกับคำว่ามีกำลังไปกอบกู้บ้านเมืองยิ่งนัก! ต่อให้ในเหล่าราชนัดดาจะมีบุคคลที่เก่งกล้าสามารถแฝงตัวอยู่จริง แต่ก็ยังเป็นดังที่เสิ่นจั้งเฟิงว่า แม้จะเก่งการอีกเพียงใด ก็ยังอายุน้อยนัก!
ฉะนั้นนางหวงก็เป็นกังวลนักเช่นกัน “ยามนี้แผ่นดินก็ไม่ใคร่สงบ ต้าเว่ย….ค่อนข้าง…จริงดังว่า….”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่ต้าเว่ยจะล่มสลาย นายบ่าวทั้งสองคนล้วนรู้สึกเคว้งคว้างอยู่ในอก …เรื่องนี้ใหญ่โตเกินไปจริงๆ!
โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่พวกนางดำรงชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ ตลอดมาล้วนมีแต่การร้องรำทำเพลงมีชีวิตอยู่อย่างสงบ จู่ๆ มาเอ่ยเรื่องบ้านเมืองล่มสลาย จึงยังค่อนข้างรับเรื่องนี้ไม่ได้ชั่วขณะ
หลังจากเหม่อลอยไปพักใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งถอนใจพลางว่า “เรื่องใหญ่โตระดับบ้านเมืองเช่นนี้ จะว่าไปก็ยังไม่เกิดขึ้น หรือต่อให้เกิดขึ้นแล้ว ก็หาใช้สิ่งที่สตรีซึ่งถูกเลี้ยงดูมาในส่วนลึกของตระกูลใหญ่โตเช่นเราทั้งสองจะมีสิทธิ์ไปวิพากษ์วิจารณ์ได้ อย่างไรพวกเราก็มาพูดกันเรื่องตรงหน้านี่ดีกว่า …ท่านอาคิดเห็นเช่นใดบ้าง?”
นางหวงเองก็รู้สึกว่าเปลี่ยนจากเรื่องบ้านเมืองที่หนักหนาสาหัสก็เป็นการดี นางตั้งสติสักพักจึงบอกว่า “ข้าน้อยคิดว่าเช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ มีฮูหยินคอยจับตาดูอยู่ คนภายในตระกูลก็จะก่อคลื่นใต้น้ำใดขึ้นมาไม่ได้! วันหน้าฮูหยินน้อยก็จะสามารถใช้ประเด็นนี้ไปจัดการพวกที่ไม่รู้จักจำให้หนักๆ สักหน่อยด้วยเจ้าค่ะ!”
นางเสนอแนะว่า “ไม่ว่าการคาดการณ์ของคุณชายจะแม่นยำหรือไม่ ดีชั่วอย่างไรหากสามารถควบคุมดูแลหมิงเพ่ยถังได้ในเร็ววันก็ไม่มีเรื่องใดไม่ดีนะเจ้าคะ!”
“นี่กลับเป็นความจริง” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ หรี่ตาลงใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จึงว่า “ยามนี้เทศกาลปีใหม่ก็ผ่านพ้นไปแล้ว เรามาเลือกคนกันก่อนดีกว่า …พวกเราอาศัยช่วงเวลานี้จัดระเบียบต่างๆ สักหน่อย บ้านที่เชื่อฟังและบ้านที่ไม่เชื่อฟัง ยังมีพวกที่คอยดูอยู่ข้างๆ เฉยๆ ด้วย …ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ฝั่งบ้านมารดาหรือฝั่งบ้านสามีล้วนชี้แนะให้ข้ามอบของรางวัลและลงทัณฑ์ให้ชัดเจน!”
…ข่าวคราวเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งเร่งออกเดินทางมา สาวใช้รุ่นโตมีไม่พอ จำต้องเพิ่มคนดูแลรับใช้ข้างกายจำนวนหนึ่งเริ่มกระจายออกไป แม้สำหรับภายในเมืองหลวงแล้ว ความสนใจในยามนี้ล้วนถูกดึงดูดไปที่ตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวจนหมด ข่าวคราวนี้จึงไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอันใด
แต่กลับเกิดปฏิกิริยาที่ไม่เหมือนกันภายในตระกูลเสิ่น…
บรรดาบ่าวที่เกิดในบ้านนอกจากส่วนน้อยมากๆ แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนพยายามเข้ามาประจบ จู่ๆ ทั่วทั้งหมิงเพ่ยถังก็ครึกครื้นขึ้นมาจนผิดหูผิดตา บ่าวในบ้านต่างคิดหาวิธีเข้าหาคนที่ดูแลอยู่ใกล้ชิดเว่ยฉางอิ๋ง โดยเฉพาะนางหวงและนางเฮ่อท่านอาทั้งสองท่าน
บรรดาบ่าวล้วนลงมือพร้อมกันทั้งสองวิธีอย่างเชี่ยวชาญ ทางหนึ่งมาประจบ อีกทางหนึ่งก็ทำลายคู่ต่อสู้ …ครั้นแล้วเรื่องลับๆ มากมายในหมิงเพ่ยถัง ไม่ใช่แค่เรื่องของพวกบ่าวที่เกิดในบ้านเท่านั้น แม้แต่บางเรื่องของคนในตระกูลเสิ่นก็ล้วนถูกนำมาเปิดโปงจนหมด เพื่อเป็นตุ้มน้ำหนักที่แสดงถึงความภักดีที่ส่งมาตรงหน้าเว่ยฉางอิ๋ง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมาเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่เคยปฏิเสธ และจดจำข่าวเหล่านี้เอาไว้ทั้งหมด ภายหลังจึงไปหาคนมาพิสูจน์ว่าจริงเท็จเช่นใด …และลงมือหนักๆ กับผู้คนไปอีกจำนวนหนึ่ง และให้บ่าวเกิดในบ้านที่มาแสดงความภักดีต่อนางก่อนหน้านี้เท่านั้นมาเป็นคนของนางต่อไป
การกระทำดังนี้ของนางก็ทำให้คนในตระกูลหลายๆ บ้านกลัดกลุ้มเป็นยิ่งนัก “เสิ่นจั้งเฟิงไปรบตั้งแต่ปีก่อนแล้ว นางเว่ยผู้นี้ไม่มีสามีคอยหนุนหลังอยู่ตรงหน้าแต่นางก็ยังโอหังถึงเพียงนี้ ดูท่าว่าจะไม่ยอมหยุดมือเลยแม้แต่น้อย หากไม่อาจควบคุมหมิงเพ่ยถังไว้ในมือได้ทั้งหมดก็จะไม่ยอมรามือชัดๆ! หรือว่าพวกเราที่เป็นชายอกสามศอก เป็นบุตรหลานแท้ๆ ของตระกูลเสิ่น กลับต้องมายอมสยบภายใต้น้ำมือของสตรีอายุน้อยๆ ผู้หนึ่ง?!”
“แต่นางเป็นภรรยาเอกของเสิ่นจั้งเฟิง ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชาย และวันหน้าก็คือนายผู้หญิงที่มีศักดิ์และสิทธิ์ของตระกูลเสิ่นของพวกเรา…หากคิดต่อต้าน เกรงว่าทางเมืองหลวงก็คงคอยดูอยู่
“เมื่อส่งสะใภ้มา ผู้หนึ่งมุ่งมั่นสร้างความชอบ อีกผู้หนึ่งช่วงชิงอำนาจ ส่วนตนเองกับคอยชี้นิ้วควบคุมอยู่ที่เมืองหลวง หากพวกเราบุ่มบ่ามไปต่อต้านอย่างเปิดเผย ทางนั้นก็จะยิ่งมีข้ออ้างมาจัดการพวกเรา …เสิ่นเซวียนสามีภรรยาวางแผนมาดีเสียจริง!”
“หรือว่าต้องยอมปล่อยให้นางเป็นดังนี้? เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง บุตรีตระกูลเว่ยกลับหวังจะปีนขึ้นมาข่มขวัญเสพสุขบนหัวพวกเรา! ครั้งนั้นตอนซูซิ่วม่านอายุเท่านี้ยังไม่กล้าทำกับพวกเราดังนี้เลย!”
แม้คำพูดของคนสุดท้ายนี้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม แต่กลับไม่ทำให้ผู้อื่นคล้อยตามได้มากนัก…
_______________________________