……
……
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวถาม “ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้แล้วใช่ไหมว่าซีหวังซุนเป็นคนของใคร?”
อินซานเดินไปริมทะเล ก่อนกล่าวขึ้นมาอย่างสบายๆ ว่า “เขาเป็นศิษย์ของหนานชวี แล้วก็เป็นศิษย์น้องของซีไหล ย่อมต้องเป็นคนของพวกเขา”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวถาม “หากเป็นเช่นนี้จริง เหตุใดเขาจึงเชื่อฟังเจ้า?”
อินซานยื่นนิ้วชี้แกว่งไปมา พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ให้คำแนะนำเล็กน้อยบางอย่างเท่านั้น แต่เขาใจกว้าง เลยยอมรับฟัง”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดในใจว่าคำพูดประโยคนี้น่าจะถือเป็นคำชมใช่ไหม? ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้านั่นมันเสียรู้แผนการของเจ้าจนตายไปแล้ว จึงกล่าวถามว่า “เจ้ารู้จักเขาเมื่อไร?”
อินซานกล่าว “ก่อนไปหาเจ้า ข้าไปหาอีกคนนึงมาก่อน”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เรื่องที่อินซานจะทำหลังจากที่หลุดออกมาจากการคุมขังของชิงซานจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่สะเทือนทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน คนที่สามารถช่วยเขาได้ก็ย่อมต้องเป็นคนสำคัญที่สามารถสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้เช่นกัน
อย่างเช่นผู้หลบหนีกระบี่ในตำนานทั้งสามคน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็คือหนึ่งในผู้หลบหนีกระบี่
เขารู้ดีว่าความจริงแล้วหลานฮ่องเต้องค์ก่อนที่แบกกระดองเต่าเอาไว้ผู้นั้นมีสภาวะที่ธรรมดา คนที่น่ากลัวจริงๆ คือเซียนกระบี่ขั้นทะลวงสวรรค์ที่อยู่บนเกาะหมอกตรงทะเลใต้ผู้นั้นต่างหาก
ในอดีตเซียนกระบี่ทะลวงสวรรค์ผู้นั้นสามารถลอบทำร้ายอาจารย์ปู่ของอินซานได้สำเร็จ!
ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการฉวยโอกาสลอบโจมตีตอนช่วงเวลาสำคัญที่นักพรตจะบรรลุกลายเป็นเซียน แต่มันก็เป็นเรื่องที่เขาแม้กระทั่งคิดก็ยังไม่เคยคิด
“เจ้าเพิ่งจะหนีออกมาก็ไปที่ทะเลใต้เลยอย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคำนวณเวลา ตอนนั้นชายหนุ่มน่าจะเพิ่งเริ่มบำเพ็ญเพียรใหม่อีกครั้ง จึงอดรู้สึกนับถือไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้ไม่สนใจเรื่องกระแสน้ำที่อันตราย หรือเจ้าไม่กลัวว่าจะถูกคนบนเกาะหมอกนั้นฆ่าตายหลังจากที่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร? ถึงแม้คนที่อยู่บนเกาะจะออกมาได้ไม่ง่าย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถทำเรื่องนี้ได้
อินซานกล่าวว่า “คลื่นทางนั้นสูงกว่าทางนี้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นหมอกก็หนาอย่างมากด้วย จะพูดกล่อมตาเฒ่าขี้ระแวงคนนั้นเองไม่ใช่เรื่องง่าย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “แต่เขาก็ยังคิดหาวิธีส่งลูกศิษย์ของตัวเองคนหนึ่งออกมา จากนั้นให้เจ้าพากลับมายังแผ่นดิน”
อินซานกล่าว “ถูกต้อง หลังกลับมายังแผ่นดินข้าก็คุยบางเรื่องกับเขา จากนั้นแยกทางกัน เขาไปหาเจี้ยนซีไหล”
เขาพูดอย่างสบายๆ แต่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกลับรู้ว่าต้องมิใช่เพียงเท่านี้แน่ ในเรื่องราวเหล่านั้นจะต้องรวมไปถึงความสำคัญของปู้เหล่าหลินอย่างแน่นอน เช่นนี้แล้วซีหวังซุนถึงจะคิดเรื่องที่จะเอาปู้เหล่าหลินมาจากมือของศิษย์พี่ จากนั้น…มอบให้เขาในตอนนี้
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดถึงกุ่ยมู่หลิงที่อยู่ในแม่น้ำจั๋วตัวนั้น จึงยิ้มพลางส่ายศีรษะ ในใจครุ่นคิดว่ากระทั่งกำลังเสริมของเผ่าหมิงก็ยังเอามาให้ซีหวังซุน มิน่าซีหวังซุนถึงได้เชื่อใจเขาถึงเพียงนี้
อินซานเองก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขากล่าวว่า “ทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เชียว ทำไมกระทั่งยิ้มก็ดูคล้ายกำลังวางแผนชั่วอยู่เลย”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “บนโลกนี้ยังมีใครที่มีสิทธิ์พูดคำว่าวางแผนชั่วต่อหน้าเจ้าได้อีก”
อินซานกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้วางแผนชั่วอะไร เพียงแต่เขากับศิษย์พี่ของเขาล้วนแต่เหมือนกัน ต่างก็มีนิสัยดื้อรั้น คิดอยากจะพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าต่อให้ไม่ได้ร่ำเรียนเพลงกระบี่ชิงซาน เกาะหมอกก็ยังเป็นที่หนึ่งในด้านเพลงกระบี่ของโลก ศิษย์ทรยศของชิงซานอย่างหลิ่วสือซุ่ย พวกเขาไหนเลยจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้ ย่อมต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อเลี้ยงดูเขาขึ้นมา”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “ในสายตาของพวกเขา เจ้าถูกสำนักชิงซานขังมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ทันทีที่หนีออกมาได้ จะต้องพยายามคิดหาวิธีแก้แค้นอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้เชื่อใจเจ้า”
อินซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าจำเป็นต้องยอมรับว่าตรรกะอันนี้มันฟังดูแล้วมีเหตุผลอยู่หลายส่วนทีเดียว”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหัวร่อขึ้นมาจนน้ำตาเกือบจะไหล “ช่างโง่งมจริงๆ สองคนนั่น….นั่นมันชิงซานของเจ้านะ!”
อินซานมองดูเขาอย่างเงียบๆ ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง นั่นมันชิงซานของข้า”
ชิงซานของเขาคือสิ่งที่งดงามและแข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้
ศัตรูของชิงซานล้วนแต่สมควรตาย
อย่างเช่นสำนักกระบี่ซีไห่
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเก็บรอยยิ้ม มองดูเขาด้วยสายตาเย็นชาพลางกล่าวว่า “ปู้เหล่าหลินก็เป็นของเจ้า”
อินซานมองไปทางทะเล กล่าวว่า “จะเปิดทางไปสู่สวรรค์ ก็จำเป็นต้องมีดาบที่คมที่สุด”
น้ำทะเลสาดกระแทกไปบนหินโสโครก แตกเป็นฟองสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วน คล้ายจะสลายหายไปในลมทะเล
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ชีวิตนี้น้อยครั้งนักที่ข้าจะรู้สึกนับถือใคร ศิษย์น้องของเจ้าถือเป็นคนหนึ่ง เหลียนซานเยวี่ยถือเป็นคนหนึ่ง เฉาหยวนถือเป็นครึ่งคน เสินหวงองค์ก่อนถือเป็นครึ่งคน แต่ตอนนี้ดูแล้ว ยังคงเป็นเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุด”
อินซานกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าถูกศิษย์ทรยศสองคนนั่นกับจิ่งหยางจับไปขังไว้ในคุกกระบี่ ปู้เหล่าหลินกลายเป็นกลุ่มไร้นาย ใครจะไปคิดบ้างว่าจะถูกผู้สืบทอดของตาเฒ่าทะเลใต้เอาไป”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “ที่แท้ทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่การทำให้เจ้าได้ปู้เหล่าหลินกลับมาครอบครองใหม่อีกครั้ง”
อินซานผายมือพลางกล่าว “ไม่อยากนั้นจะทำอย่างไร? ตอนนี้ข้าอ่อนแอขนาดนี้ ต่อให้รวมเจ้าเข้าไปด้วยก็สู้เขาไม่ได้”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินคิดถึงลำแสงกระบี่สายนั้นในคืนนั้น ก่อนจะส่ายหัวพลางกล่าว “เขากำลังอยู่ในจุดสูงสุด ข้ามิใช่คู่มือของเขา”
อินซานยิ้มพลางกล่าว “เขาเป็นเทพกระบี่เชียวนะ”
ที่พูดมานั้นคือความจริง แต่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมักจะรู้สึกว่าในรอยยิ้มของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความไม่แยแส เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกเย้ยหยัน
“แต่ตอนนี้ปู้เหล่าหลินกลายเป็นสภาพนี้แล้ว ต่อให้เจ้าเอากลับมาจะไปมีประโยชน์อะไร?”
เขามองดูโขดหินโสโครกที่อยู่ในทะเล เศษคานหักที่ลอยอยู่ในน้ำทะเลและเศษผนังที่ถูกฟองคลื่นรายรอบพลางกล่าว
ลานเมฆตกลงในทะเล สำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะย่อมไม่มีทางจากไปเฉยๆ แน่ หลังจากนั้นหลายวันก็มีการระดมค้นหาอย่างหนัก กระทั่งเรียกเอาสัตว์เทพประจำสำนักของบางสำนักออกมาใช้ ข้อมูลและของล้ำค่าทุกอย่างล้วนแต่ถูกเอาไปจนหมด
อินซานกล่าว “ปู้เหล่าหลินมิใช่สถานที่ หากแต่เป็นกลุ่มคน”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าว “คนเหล่านั้นตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว”
อินซานส่ายศีรษะพลางกล่าว “มดปลวกเหล่านั้นตายไปจนหมดแล้วเป็นอะไร? หรือข้าต้องอาศัยปู้เหล่าหลินหาเงิน? เจี้ยนซีไหลไม่เข้าใจ ใช้เวลาร้อยปีในการแผ่ขยายไม่หยุด ช่างโง่เขลาจริงๆ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเข้าใจความหมายของเขา
โลกแห่งการบำเพ็ญพรตมิใช่โลกมนุษย์ ถึงแม้การอาศัยจำนวนในการเอาชนะจะเป็นวิธีที่ปรากฏขึ้นให้เห็นบ่อยๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้น
ปู้เหล่าหลินย่อมต้องมีผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงอยู่ ปฏิบัติการของสำนักฝ่ายธรรมะครั้งนี้มิได้ส่งผลกระทบต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาซ่อนตัวอยู่ลึกมาก หลิ่วสือซุ่ยไม่สามารถสัมผัสถึงพวกเขาได้
แต่ความสัมพันธ์ของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นกับปู้เหล่าหลินส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางร่วมมือกันเสียมากกว่า ต่างฝ่ายต่างช่วยกันแก้ปัญหา คล้ายกับอาคันตุกะต่างแดน กระทั่งเจี้ยนซีไหลก็ไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ อินซานเตรียมจะทำอย่างไร?
อินซานเดินไปตรงโขดหินโสโครกก้อนใหญ่ริมทะเล ฝ่ามือลูบไปบนผิวที่เปียกชื้นของหินโสโครก
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาได้ใช้จิตจำแนกตรวจดูก่อนแล้ว มั่นใจหินโสโครกก้อนนี้คือหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในลานเมฆ ไม่มีอะไรผิดปกติ
กระทั่งเขาก็ยังมองไม่ออก อย่างนั้นผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะเมื่อหลายวันก่อนก็น่าจะไม่มีใครมองออกเช่นกัน
นิ้วมือของอินซานกดไปบนตำแหน่งหนึ่งของก้อนหินเบาๆ จากนั้นจึงเลื่อนนิ้วไปกดอีกที่หนึ่ง การเคลื่อนไหวดูเป็นธรรมชาติ ลื่นไหวราวสายน้ำ คล้ายคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ทำแบบนี้ไปสิบกว่าครั้ง เขาเหมือนกำลังวาดภาพภาพหนึ่งไปบนผิวหินโสโครก
หินโสโครกค่อยๆ เผยให้เห็นโพรงโพรงหนึ่ง เขายื่นมือเข้าไปหยิบกล่องใบหนึ่งออกมา
……………………..