บทที่ 177 หนานหว่านเยียน เจ้าหมายความว่ายังไง

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 177 หนานหว่านเยียน เจ้าหมายความว่ายังไง

แต่หนานฉีซานนั้น จำเป็นจะต้องตาย!

หนานหว่านเยียนถูกเขาจับจนรู้สึกเจ็บ จึงพยายามขัดขืนออกจากการผูกมัดของกู้โม่หาน นางเห็นในดวงตาลึก ๆ ของเขามีเปลวไฟแห่งความหวังเล็ก ๆ จุดประกายอยู่ “ให้ข้าดูก่อน”

“ไม่ได้นะ!” หวางหมัวมัวตื่นเต้นไม่หยุด ในดวงตามีความเกลียดอยู่มหาศาล “อย่ามาทำให้ร่างกายพระสนมของเราสกปรกนะ!”

หนานหว่านเยียนจ้องมองนางทีหนึ่ง “ข้าเป็นหมอ ท่านอ๋องของพวกเจ้าเป็นพยานได้”

ท่าทีของหวางหมัวมัวหยุดนิ่งไป จากนั้นก็รีบมองไปที่กู้โม่หานทันที ในดวงตาชายหนุ่มก็มีแววโชคดีแอบแฝงอยู่เล็กน้อย “หมัวมัว ให้นางลองดูหน่อย”

หวางหมัวมัวยิ่งสั่นเทาขึ้นมา แล้วมองไปที่หนานหว่านเยียน

หรือว่า ยัยชั่วนี่จะมีวิธีจริง ๆ เหรอ?

ถ้าพระสนมถูกช่วยกลับมาได้จริง ๆ…….

หนานหว่านเยียนเองก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป ก้มลงไปก็ตรวจชีพจรให้หยีเฟยเลย แต่คิ้วหมึกดำกลับยิ่งขมวดกันแน่นขึ้น

ครู่เดียว ในใจนางก็ได้ผลแล้ว

สิบปี สำหรับเจ้าหญิงนิทราคนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางหายกลับมาเป็นปกติได้แล้ว

คนส่วนใหญ่หลังจากหกเดือนไปแล้วก็ไม่มีทางหายแล้ว ผู้ป่วยแบบหยีเฟยนี้ช่างหาได้ยากจริง ๆ

และที่สำคัญตอนนี้นางก็ไม่มีอุปกรณ์ขั้นสูง จึงยิ่งมีทางเสี่ยงทำการรักษาแน่

นางชักมือกลับมา จ้องมองไปทางกู้โม่หาน “ขอโทษด้วย ข้าช่วยไม่ได้”

กู้โม่หานนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แสงสลัดจาง ๆ ในดวงตาถูกดับลงไปทันที จากนั้นก็หัวเราะเยาะขึ้นมาคำหนึ่ง “ช่วยไม่ได้……”

ใช่ซิ เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ

ท่านแม่ ไม่มีทางกลับมาได้ตั้งนานแล้วนี่

หวางหมัวมัวคาดคิดไว้หมดแล้ว

หลายปีมานี้ ท่านอ๋องเขาค้นหาทั่วทิศในยุทธภพ หาหมอเทวดามาได้ไม่น้อย พอทุกคนมาดูแล้วต่างก็ส่ายหน้าและพึมพำขึ้นว่า “สภาพอย่างหยีเฟยเหนียงเหนียง ชาตินี้คงไม่มีทางตื่นขึ้นมาได้แล้ว และที่สำคัญร่างกายก็ทรุดโทรม คาดว่า คงจะไม่ไหวแล้วมั้ง……”

กู้โม่หานไม่ได้หันไปมองหนานหว่านเยียนเลยสักนิด แล้วพูดขึ้นแบบความหวังพังทลายไปหมดแล้วว่า “ออกไป”

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วขึ้น ตอนนี้นางทำไม่ได้จริง ๆ แต่ขอแค่ห้วงเวลาได้เลื่อนลำดับขึ้น ถึงนางจะไม่สามารถทำให้หยีเฟยกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ แต่การพยายามทำให้หยีเฟยตื่นขึ้นมาได้นั้น ก็น่าจะทำได้อยู่

“ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า หรือว่าให้เวลาข้าเพิ่มอีกหน่อย ข้าน่าจะสามารถลองดูได้……”

กู้โม่หานกลับไม่อยากได้ยินข่าวคราวอะไรที่เกี่ยวกับแม่ของเขา จากปากหนานหว่านเยียนอีกแล้ว “ไสหัวไป!”

ในเมื่อช่วยกลับมาไม่ได้ งั้นก็ไม่ต้องพูดจาไร้สาระมากขนาดนั้น!

หนานหว่านเยียนถูกเขาตวาดจนสะดุ้ง สุดท้ายก็กัดฟันไม่พูดอะไร สะบัดมือแล้วก็จากไปแบบไม่หันกลับไปมองอีกเลย

ปัจจัยไปครบ คนเก่งแค่ไหนก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ ตอนนี้นางไม่มีปัญญาจริง ๆ ถ้าทำตามจรรยาบรรณในวิชาชีพนางก็ไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาอะไรกับกู้โม่หานได้ง่าย ๆ นางเป็นหมอ ไม่ได้เป็นนักโทษ

หนานหว่านเยียนออกไปจากห้องนอนโดยการต้านทานสายตาที่โกรธเกลียดของคนทั้งกลุ่ม เงยหน้าขึ้นมาดูท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แล้วรู้สึกสับสนมากมาย

ตั้งแต่ที่นางมาถึงโลกใบนี้ จากสายตาของคนทุกคน แม้แต่หายใจนางก็ยังผิดเลย

ก็เพราะว่านางคือ “หนานหว่านเยียน”

เจ้าของร่างเดิมทิ้งคำครหาไว้ให้นางมากมาย ยังมีความคับแค้นใจพวกนี้ ล้วนทำให้นางทำอะไรไม่ได้เลย

เมื่อก่อนอยู่ที่เรือนเย็นมีลูกเป็นสิ่งผูกมัดและเคียงข้างนาง ตอนนี้ลูกโตแล้ว และก็ไม่ชอบป่วยบ่อยแล้ว เรื่องเน่า ๆ มากมายก็มาหาถึงที่เลย

“ข้าต้องการอิสระ” นางแอบสาบานอยู่ในใจ “จะต้องได้อยู่กับลูก แล้วโบยบินไปให้ไกลเร็ว ๆ……”

หนานหว่านเยียนเพิ่งออกจากประตูไป หวางหมัวมัวก็มีความโกรธอยู่เต็มหน้า

“ท่านอ๋อง ข้าน้อยเคยบอกแล้ว หมอมีชื่อมากมายยังรักษาพระสนมไม่ได้ นางเป็นคนตระกูลหนาน จะมา……”

จะมาออกหน้ารักษาศัตรูของนางได้ยังไง?

ท่านอ๋องนี่คิดยังไงนะ ยังให้คำมั่นสัญญากับผีร้ายตระกูลหนานว่า ขอแค่ช่วยรักษาพระสนมให้หาย ก็จะล้มเลิกความคับแค้นใจทุกอย่างไปให้หมด……

เรียวปากบางของกู้โม่หานเม้มเข้าหากันเล็กน้อย แล้วไม่ตอบอะไร

เขาเก็บอารมณ์ไปอย่างรวดเร็ว จ้องมองไปที่หยีเฟยด้วยสายตาอ่อนโยน ในใจกลับมีความโศกเศร้าและความผิดหวังที่บอกไม่ถูก

“ท่านแม่ ครั้งหน้าลูกค่อยมาเยี่ยมท่านใหม่นะขอรับ”

กู้โม่หานสะบัดแขนเสื้อ แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากตำหนักอู๋ขู่ไปเลย

หวางหมัวมัวจ้องมองแผ่นหลังที่จากไปไกลของเขาอยู่ที่ประตูตำหนัก ในดวงตามีแววมืดมนพาดผ่านไปเล็กน้อย

นางเดินไปถึงข้างกายหยีเฟย แล้วคุกเข่าลง มือที่หยาบกระด้างลูบไล้มือของหยีเฟยไป

“เหนียงเหนียง วันนี้นังผู้หญิงบาปชั่วร้ายคนนั้นมารบกวนความสงบของท่าน ต้องขอโทษด้วย ข้าน้อยห้ามปรามไว้ไม่ได้”

“เหนียงเหนียง ตอนนี้ข้อน้อยเป็นกังวลว่า ท่านอ๋องเขายังหนุ่มยังแน่นร่างกายแข็งแรง แล้วก็เป็นคนจริงใจต่อความรู้สึก ถ้าถูกผู้หญิงตระกูลหนานทำให้ตาบอดไป ไปหลงรักนางเข้า ก็อาจจะไม่ค่อยดีแล้ว……”

พูดแล้ว นางก็มีหยาดน้ำตารื้นขึ้นมา แล้วสะอื้นและจ้องมองไปที่หยีเฟย

“ตอนนี้ท่านนอนยาวไม่ยอมตื่น ถ้าเกิดท่านอ๋องเดินไปถึงขั้นนั้นจริง ๆ ข้าน้อยจะขอช่วยท่าน กำจัดหนานหว่านเยียนไปเอง!”

คนในจวนเฉิงเซี่ยงทุกคน เป็นศัตรูของพวกเขาทั้งนั้น!

หนานหว่านเยียนยังเหม่อลอยอยู่นอกตำหนัก กู้โม่หานเดินเร็วออกมาจากตำหนัก สีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง มือใหญ่คู่หนึ่งมาจับแขนนางไว้แน่น “ไป!”

หนานหว่านเยียนถูกจับจนเจ็บ ก็เลยสะบัดมือเขาออกอัตโนมัติ แต่กลับสะบัดไม่หลุด “กู้โม่หาน เจ้าช้าหน่อย!”

กู้โม่หานเดินเร็วราวกับสายลม นางไม่มีทางตามฝีเท้าเขาทัน ตลอดทางแทบจะถูกดึงจนวิ่งเหยาะ ๆ ตามไป

ห่วงหยกตรงเอวของทั้งสองมากระทบกัน เสียงดังติ๊ง ๆ ฟังดูร้อนรน อยู่ในวังลึกที่เงียบสงบแบบนี้ ทำให้ดูเหมือนแปลกประหลาดขึ้นมาเล็กน้อย

ในวินาทีที่หนานหว่านเยียนถูกผลักเข้าไปบนรถม้า ความกลัดกลุ้มที่ข่มอยู่ในใจก็ระเบิดออกมาทันที

เสียงดังหนวกหูจริง ๆ!

นางนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกู้โม่หาน ก้มหน้าไปก็จะแกะห่วงหยกที่เอวออก

แต่ก็ไม่รู้ว่ากู้โม่หานผูกยังไง ผ่านไปตั้งนานก็แกะไม่ออก

แต่การกระทำแบบนี้ของหนานหว่านเยียนอยู่ ๆ กลับกระตุ้นกู้โม่หานขึ้นมาได้

เขากดมือหนานหว่านเยียนไว้ทันที จ้องมองนางด้วยสายตาแหลมคม “หนานหว่านเยียน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?!”