ตอนที่ 272 พบหน้า

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 272 พบหน้า

นางกำนัลเดินนำทางอย่างคุ้นชินและว่องไว อันหลิงเกอที่เดินตามไปอย่างมิเร็วมิช้าในเวลานี้มีแววตาสีดำทอประกายเข้มขึ้นมา

เมื่อฟังที่นางกำนัลเล่าว่าองค์ไทเฮาเชิญมู่หวางเฟยเข้าวัง เหมือนมิใช่เชิญมาสนทนาเท่านั้น แต่อยากให้พักอยู่ในวังหลวงสักระยะ มิเช่นนั้นก็คงมิเรียกนางไปตรวจอาการมู่หวางเฟยอย่างแน่นอน

เพียงแต่มิรู้ว่าเหตุใดอยู่ ๆ ไทเฮาจึงเรียกมู่หวางเฟยเข้ามาในวัง สตรีที่ปกติแทบมิออกจากจวน เหตุใดจึงตอบตกลงแล้วเข้ามาพักในวังได้

“คุณหนูใหญ่อัน ด้านหน้าคือตำหนักซือหนิงที่องค์ไทเฮาประทับอยู่เจ้าค่ะ”

ขณะที่นางกำลังคิดทบทวนอยู่ นางกำนัลก็หยุดเดินแล้วผายมือไปทางตำหนักอันเด่นตระหง่านด้านหน้า

นางกำนัลเห็นอันหลิงเกอมองไปที่ตำหนัก จากนั้นก็มีสาวใช้สองคนเดินออกมาจากตำหนักเพื่อรีบนำของไปเก็บ เห็นดังนั้นนางกำนัลจึงกล่าวว่า “สองคนนั้นคือสาวใช้ของมู่หวางเฟย พวกนางตามมาดูแลมู่หวางเฟยเจ้าค่ะ”

อธิบายเสร็จนางกำนัลก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ที่จริงตำหนักองค์ไทเฮามีทุกอย่างอยู่แล้ว มิได้ขาดคนดูแลแต่อย่างใด ทว่ามู่หวางเฟยก็พาสาวใช้ส่วนตัวมาด้วย มองแล้วบอบบางเกินไปหน่อยว่าไหมเจ้าคะ”

สำหรับคนทั่วไปแล้วการที่ไทเฮาทรงโปรดปรานและเชิญให้มาพักในวังก็นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว

ถ้าเป็นผู้อื่นคงรีบเอาใจไทเฮากันยกใหญ่ มีเพียงมู่หวางเฟยที่เรื่องมากนำสาวใช้ส่วนตัวเข้ามาในวังด้วย แสดงให้เห็นว่ามิได้สนิทสนมกับไทเฮามากนัก ดังนั้นจึงมิไว้วางใจคนของพระนาง

อันหลิงเกอก็กวาดตามองนางกำนัลคนนั้นนิ่ง ๆ มุมปากแม้ยกยิ้มอยู่ ทว่านัยน์ตาคู่นั้นทำให้นางกำนัลรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง

แปลกจริง ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแท้ ๆ แต่สายตาของคุณหนูใหญ่อันช่างน่ากลัวยิ่งนัก

นางกำนัลคนนั้นหดคอลงโดยมิรู้ตัวแล้วเดินนำอันหลิงเกอเข้าไปทันที

ภายในตำหนักซือหนิง องค์ไทเฮาและมู่หวางเฟยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งคู่ต่างมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า ท่าทางราวกับกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข

“ทูลไทเฮา คุณหนูใหญ่อันมาถึงแล้วเพคะ”

นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาข้างกายไทเฮาแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำ

ไทเฮาแสดงความดีพระทัยออกมาจนปิดมิมิด ดวงเนตรที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาแฝงไว้ด้วยความยินดี “รีบเชิญนางเข้ามา”

เมื่อเห็นนางกำนัลถอยออกไปแล้ว ไทเฮาจึงหันไปทางมู่หวางเฟย มุมพระโอษฐ์ยกยิ้มขึ้น “ข้าบอกไว้มิผิด วันนี้จักได้ให้คุณหนูใหญ่อันดูอาการเจ้าโดยละเอียด”

องค์ไทเฮามีศักดิ์เป็นท่านป้าของมู่หวางเฟย ปกติก็ดูแลคนของจวนอ๋องมู่เป็นพิเศษอยู่แล้ว นัยน์ตาของมู่หวางเฟยจึงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันขอขอบพระทัยองค์ไทเฮาเพคะ”

“ถ้าจักขอบคุณก็ต้องเอ่ยกับคุณหนูใหญ่อันดีกว่า” ไทเฮาตรัสจบ นางกำนัลก็พาอันหลิงเกอเข้ามาพอดี

หลังจากอันหลิงเกอเข้ามาแล้วก็ทำความเคารพทั้งสองเป็นอันดับแรก “อันหลิงเกอขอถวายพระพรไทเฮาและคารวะมู่หวางเฟยเจ้าค่ะ”

มารยาทของนางมิมีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย ดวงเนตรของไทเฮายิ่งแสดงความพอใจมากขึ้น

ทั้งที่เป็นคุณหนูจากจวนโหวที่กำลังเสื่อมถอย แต่กิริยาท่าทางราวกับเป็นคุณหนูผู้สืบทอดจากตระกูลทรงอำนาจก็มิปาน

ถ้ากล่าวถึงกิริยามารยาท ต่อให้เป็นแม่นมที่เจ้าระเบียบและเข้มงวดที่สุด เมื่อเจออันหลิงเกอก็คงกล่าวได้คำเดียวว่าทำได้ดี

เทียบกับไทเฮาแล้วสายตาของมู่หวางเฟยนั้นซับซ้อนกว่ามิน้อย

มู่หวางเฟยมองสาวน้อยตรงหน้าที่ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าที่สะอาดใสเล็กเท่าฝ่ามือ คิ้วเรียวยาวโค้งสวย ดวงตาเป็นประกายราวกับได้รวบรวมความมืดและความสว่างทั้งหมดเอาไว้ภายใน ทำให้สะท้อนประกายบางอย่างออกมาจนดึงดูดสายตาเอาไว้ได้

จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่ม เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก็งดงามจนยากหาผู้ใดเทียบเคียง ช่างงดงามจนหาที่เปรียบมิได้จริง ๆ

มู่หวางเฟยนึกชื่นชมอยู่ภายในใจ เมื่อนึกถึงเรื่องงานแต่งของอันหลิงเกอกับมู่จวินฮานที่จบลงโดยไร้สาเหตุ ภายในใจก็อดเสียดายมิได้

สตรีที่งดงามจับใจเช่นนี้ นางแค่เห็นยังชื่นชอบมิน้อย

หากอันหลิงเกอแต่งงานกับฮานเอ๋อ นางคงมิต้องห่วงเรื่องคู่ครองของเขาอีกแล้ว

อีกอย่างก่อนหน้านี้ที่นางโดนพิษก็เป็นอันหลิงเกอมาพบและช่วยชีวิตเอาไว้

อารมณ์ที่ซับซ้อนมากมายพันกันจนยุ่งเหยิงทำให้นัยน์ตาของมู่หวางเฟยยากคาดเดาไปอีก

“คุณหนูใหญ่อัน มานี่สิ”

เสียงของไทเฮาทำให้ความคิดของมู่หวางเฟยหยุดลง นางกำนัลนำเก้าอี้มาวางที่ด้านขวาของไทเฮาตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ จากนั้นไทเฮาจึงชี้ไปที่เก้าอี้แล้วเรียกให้อันหลิงเกอนั่งลง

อันหลิงเกอพยักหน้ารับแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามา เมื่อนั่งบนเก้าอี้แล้วจึงเปิดปากพูด “ไทเฮาเรียกหม่อมฉันมาเยี่ยงนี้ หรือว่าใบสั่งยาของหม่อมฉันมีปัญหาเพคะ ? ”

อันหลิงเกอรู้ดีอยู่แล้วว่าไทเฮาเรียกนางมาตรวจร่างกายมู่หวางเฟย แต่มิกล่าวออกมาตามตรงและรอให้ไทเฮาเป็นผู้บอกนางเอง

“ใบสั่งยาของเจ้าดีอยู่แล้ว ข้าใช้มาหลายครั้งรู้สึกดีขึ้นมิน้อย” ไทเฮาตรัสแล้วหัวเราะออกมา “แต่มู่หวางเฟยสุขภาพอ่อนแอ มิรู้ว่ามียาตัวใดที่ทำให้สุขภาพของนางดีขึ้นบ้าง”

อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น “ทูลไทเฮา จวนอ๋องมู่ได้เชิญหมอมาดูแลร่างกายมู่หวางเฟยอยู่แล้วมิใช่หรือเพคะ ? ”

นางเคยไปจวนอ๋องมู่ย่อมรู้ดีว่าที่จวนได้เชิญหมอมาหาวิธีรักษามู่หวางเฟยมิขาด

ไทเฮาส่งเสียง อืม ขึ้นมา “แต่ที่ตำหนักข้าช่างเงียบเหงา ดังนั้นจึงเชิญมู่หวางเฟยมาอยู่เป็นเพื่อนข้าสักระยะ รอจนอ๋องมู่ได้ชัยชนะกลับมาข้าค่อยส่งนางกลับจวน”

“ในช่วงนี้มู่หวางเฟยคงต้องให้เจ้าช่วยดูแล ห้ามให้นางเป็นอันใดเด็ดขาด”

ไทเฮาจ้องไปที่อันหลิงเกอ แม้ยังยิ้มอยู่ทว่านัยน์ตาคู่นั้นก็เคร่งขรึมขึ้นมา

การที่ห้ามมู่หวางเฟยเป็นอันใดเด็ดขาด ประการแรกเพราะนางรักมู่หวางเฟย อีกประการหนึ่งย่อมเป็นเพราะอ๋องมู่

ยามนี้อ๋องมู่นำกองทัพทหารหลักแสนนายอยู่ที่ม่อเป่ยและกำลังต่อสู้กับแคว้นชิงเยว่ หากรู้ถึงหูว่ามู่หวางเฟยอยู่ในเมืองหลวงแล้วเป็นอันใดขึ้นมา ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจของอ๋องมู่เป็นแน่

ภายในศึกสงครามทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีอันตรายรอบด้าน หากผู้นำจิตใจหวั่นไหวแล้ว ทหารใต้บัญชาก็เหมือนไร้เสาหลัก เปรียบเสมือนผืนทรายที่ง่ายต่อการโดนลมพัดปลิว

หากรบแพ้ด้วยเหตุผลนี้จนทำให้แคว้นชิงเยว่สามารถทะลวงเขตแดนม่อเป่ยเข้ามาได้ หากพวกมันอยากบุกเข้าเมืองจิงก็แค่รอเวลาเท่านั้น

อันหลิงเกอพยักหน้ารับ ดวงตาคู่งามสบกับดวงเนตรจริงจังของไทเฮา ริมฝีปากสีสดยกขึ้น “ไทเฮาโปรดวางพระทัย หม่อมฉันจักทำสุดความสามารถเพคะ”

“เช่นนั้นก็ดี” ไทเฮายิ้มออกมาอย่างพอพระทัย “มู่หวางเฟย เจ้าเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”

ไทเฮารู้ดีว่ามู่หวางเฟยมิชอบสนทนากับคนแปลกหน้านัก ประการแรกเพราะนางร่างกายอ่อนแอ คุยมิกี่ประโยคใบหน้าก็ซีดเซียวแล้ว อีกประการเพราะนางมิชอบการเสแสร้งระหว่างสตรีนั่นเอง