ตอนที่ 340 การ์ดเทพ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เสียงสัญญาณเข้าสู่เกมดังขึ้น

เมื่อหนานฮุ่ยเหยาเข้าไป ก็มีเสียงประหลาดใจของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ใครเนี่ย?”

“เมทของเจ๊หร่าน” หนานฮุ่ยเหยามองแถบหน้าจอที่มีเสียงของผู้หญิงที่ใช้ชื่อว่า [มหาพงไพร]ดังขึ้น

เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนของฉินหร่านจึงให้เธอแนะนำตัวกับคนในกลุ่ม หนานฮุ่ยเหยาทักทายพวกเขาอย่างถ่อมตัวยิ่ง

เมื่อเธอเปิดดูบัญชีเกมของสี่คนที่เหลือในกลุ่ม ก็ถึงกับตกใจเมื่อพบว่าบัญชีผู้ใช้ของพวกเขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ทั้งสิ้น

หนานฮุ่ยเหยาคิดว่าบัญชีระดับไต้ซือของวิศวกรรมอัตโนมัติห้องหนึ่งนับว่าโหดแล้ว จึงรวมทีมกับพวกผู้ชายในห้องบ่อยครั้ง แต่ไม่คิดว่าเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉินหร่านจะโหดกว่า

“หวังว่าฉันจะไม่เป็นตัวถ่วงให้พวกเธอนะ” ตอนนี้ทุกคนรวมทีมกันเรียบร้อย หนานฮุ่ยเหยาไม่อาจถอนตัวได้เเล้ว

ตอนที่เลือกการ์ดเธอหยิบการ์ดสวรรค์ของตัวเองออกมาสองใบ จากนั้นเพิ่มการ์ดปฐพีขั้นสูงหนึ่งใบ ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ

หลังจากการ์ดทั้งหมดถูกเซ็ทเข้าที่ ทุกคนก็เข้าสู่หน้าจออารีนาของตัวเอง

หนานฮุ่ยเหยาคลายมืออยู่พักหนึ่ง ก่อนหยิบน้ำที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นดื่มอึกหนึ่ง สายตาพลางจับจ้องไปยังการ์ดที่ถูกเลือกของเพื่อนร่วมทีม

แถวที่หนึ่งคือการ์ดของ [มหาพงไพร]

ใบที่หนึ่ง การ์ดสวรรค์

ใบที่สอง การ์ดสวรรค์

ใบที่สาม ……

บ้าอะไรเนี่ย??!

การ์ดเทพ ? ?

หนานฮุ่ยเหยานิ่งอึ้งไป สายตาเลื่อนไปมองอีกคนโดยอัตโนมัติ

การ์ดสวรรค์ การ์ดสวรรค์……การ์ดเทพ……

ช่วงเย็นนี้หนานฮุ่ยเหยาไม่ได้ดื่มเหล้า แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองเมาเหมือนดื่มหนัก มีน้อยครั้งมากที่จะเห็นการ์ดเทพปรากฏในเกม ปกติแล้วนอกจากผู้เล่นมืออาชีพจากสโมสรOSTที่มีสิทธิ์เลือก น้อยมากที่ได้เจอการ์ดเทพจากผู้เล่นทั่วไป

ครั้งนี้เธอเห็นตั้งสามใบเลยหรือ?

ทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมทีมอีก?

เมื่อเลือกการ์ดกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งห้าคนก็เข้าสู่สนามอารีน่า เดิมหนานฮุ่ยเหยาไม่คิดจริงจังมากนัก ทว่าเกมนี้ดูเหมือนไม่ต้องถึงมือเธอ ก็จะได้คว้าชัยได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ถึงสิบนาที

เกมถัดไปหนานฮุ่ยเหยาถูกดึงเข้าอีกกลุ่มอีกครั้ง

ครั้งนี้เปลี่ยนสมาชิกทีม

หนานฮุ่ยเหยาจำได้เพียงชื่อบัญชี [มหาพงไพร]เท่านั้น ทำให้เธอแอบสงสัยว่าเพื่อนร่วมทีมที่มีการ์ดเทพสองใบเมื่อครู่ไม่ใช่คนเดียวกับสมาชิกในทีมของเธอ

เมื่อเลือกการ์ดเสร็จ

การ์ดทั้งสามใบของห้าคนในกลุ่มยังคง……

หนานฮุ่ยเหยา :”……??!!”

ไม่ใช่ว่าเห็น[มหาพงไพร]ใช้การ์ดเทพในตาที่แล้วไปแล้วหรือ……

“ท่านเทพทั้งหลาย พวกนายเป็นผู้เล่นมืออาชีพกันเหรอ?” ในที่สุดหนานฮุ่ยเหยาถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว

“ไม่นะ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งโพล่งขึ้น

“งั้นทำไมพวกนายถึงพี่การ์ดเทพเยอะกันขนาดนี้ล่ะ? !” หนานฮุ่นเหยาจิกเมาส์

“เยอะเหรอ?” เสียงของผู้ชายที่กำลังบังคับเทพเจ้าหนี่วาเข้าสมรภูมิถามเธอด้วยความประหลาดใจ “พวกเรามีการ์ดเทพอยู่แค่คนละใบเอง ส่วนหลินซือหรานมีสามใบ เธอต่างหากที่นับว่าเยอะ”

ทุก คน มี แค่ อย่าง ละ ใบ เท่า นั้น เอง เหรอ?

นายรู้ไหมว่าทุกคนต่างอิจฉาที่เหลิ่งเพ่ยซานครอบครองการ์ดเทพไว้หนึ่งใบ แต่นายกลับพูดออกมาได้ว่า “แค่” อย่างนั้นรึ ? ?

หนานฮุ่ยเหยาที่นั่งประจำที่มองบนหน้าจอเกมด้วยความสับสน ในเวลานี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว แม้แต่เรื่องเหลิ่งเพ่ยซานก็ลืมหมดสิ้น เพียงคิดอยากจะพุ่งไปหาผู้ชายที่อยู่ปลายสาย แล้วกะซวกคำพูดออกจากปากของผู้ชายคนนั้น

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ผู้ชายที่นั่งด้านข้างเล่นเกมจบไปแล้วตาหนึ่ง ก่อนมองหนานฮุ่ยเหยาแวบหนึ่ง “พวกเราเล่นเสร็จแล้ว เดี๋ยวเข้ากลุ่มเลย”

เข้ากลุ่มอะไรอีกล่ะ?

หนานฮุ่ยเหยาขยี้หัวตัวเองอย่างเสียสติ พลางพูดกับตัวเองในใจ

นี่ฉินหร่านเอาเธอไปเล่นกับกลุ่มอะไรเนี่ย? !

เมื่อเล่นเกมตานี้เสร็จ หนานฮุ่ยเหยาที่กลั้นคำถามไว้ในท้องก็เดินไปหาฉินหร่านด้านนอก แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบฉินหร่านแล้ว

เธอรีบคว้าโทรศัพท์โทรหาฉินหร่านทันที

ขณะนี้ฉินหร่านกำลังเปลี่ยนรองเท้าอยู่ที่ระเบียงด้านนอก

“มีไรเหรอ?” เธอเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ก็เดินไปนั่งบนโซฟา พลางยกเท้าพิงเล็กน้อย

หนานฮุ่ยเหยาถามออกไปด้วยความสับสน “หร่านหร่าน เธอรู้จักกับกลุ่มเทพๆ แบบนั้นได้ไง? !”

“เพื่อนสมัยมัธยมปลายน่ะ” ฉินหร่านรู้ว่าหนานฮุ่ยเหยาน่าจะเล่นเกมกับเฉียวเซิง จึงไม่แปลกใจแต่อย่างใด

เมื่อพูดคุยกับหนานฮุ่ยเหยาอยู่ไม่กี่ประโยคก็วางสาย

“ท่านเจวี้ยนครับ” เฉิงจินถือเอกสารกองหนึ่งเดินขึ้นมา เมื่อเห็นฉินหร่าน เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวทักทายอย่างมีมารยาทยิ่ง “คุณหนูฉิน”

เฉิงเจวี้ยนเพิ่งเปลี่ยนรองเท้าเสร็จก็เดินมาทางนี้พอดี

เขานั่งลงข้างฉินหร่านก่อนคว้าหมอนข้างเข้ามากอดช้าๆ แล้วยื่นมือหาเฉิงจิน

“เรื่องที่อยู่ได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วนะครับ ส่วนนี่เป็นเอกสารจากทางเบื้องบนส่งลงมา” เฉิงจินนั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนยื่นเอกสารส่งถึงมือเฉิงเจวี้ยน

เฉิงมู่ออกมาจากห้องครัวยกน้ำชาเสิร์ฟให้ฉินหร่าน

เมื่อได้ยินเฉิงจินพูดดังนั้น เขาก็ถามกลับ “สถานที่ขายเสื้อผ้าเหรอ?”

“หืม?” ฉินหร่านที่กำลังเล่นเกมอยู่นั้น เมื่อได้ยินคำถามถึงกับเลิกคิ้วขึ้น “ใครจะขายเสื้อ?”

“เขาครับ” เฉิงมู่วางแก้วชาลงด้านข้างฉินหร่านอย่างระมัดระวัง “พี่ครับ บริษัทของพวกพี่จะขายเสื้อที่ไหนครับ? แล้วขนาดพื้นที่ใหญ่เท่าไหร่?

ทว่าเฉิงจินก็ไม่อยากตอบคำถามเฉิงมู่มากนัก

**

อีกฝั่งหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังกินเลี้ยงกันอยู่

“เธอโหรหาพี่เขาทำไม? ฉู่หังที่นั่งอยู่บนโต๊ะ กำลังเล่นเกมอยู่กับเพื่อนๆ พลางหันมามองหนานฮุ่ยเหยาช้าๆ แวบหนึ่ง

หนานฮุ่ยเหยานั่งอยู่บนโซฟาอย่างไม่สบอารมณ์ เธอก้มหน้ามองสายโทรศัพท์ที่เพิ่งวาง “ก่อนหน้านี้เธอลากฉันเข้ากลุ่มเกมกลุ่มหนึ่ง”

“ก็แค่กลุ่มเล่นเกมเอง ทำไมเหรอ?” สิงไคที่เดินมาจากโต๊ะบิลเลียดอีกฝั่ง ก่อนยื่นไม้คิวให้หนานฮุ่ยเหยา

หนานฮุ่ยเหยารับไม้คิวมาด้วยท่าทางแข็งทื่อ “จากนั้น……” เธอเงยหน้ามองสิงไคด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “คนในกลุ่มพวกนั้น ส่วนใหญ่มีการ์ดเทพคนละใบ”

สิงไคถือไม้คิวในมือก่อนยันโต๊ะไว้ เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงถามต่อไปว่า “แล้ว……แล้วพวกคนส่วนน้อยล่ะ……”

“คนส่วนน้อยมีสามใบ” หนานฮุ่ยเหยาพูดต่อไป

ครั้งนี้มือของสิงไคที่ยันโต๊ะอยู่สั่นเล็กน้อย พลางก้มตัวลงต่ำกว่าเดิม

เขามองหนานฮุ่ยเหยา “ลูกพี่ฮะ ผมขอเจอเหล่าเทพกลุ่มนี้ได้ไหมฮะ? ! ผมอยากร่วมทีมกับคนที่มีการ์ดเทพสามใบสักครั้ง”

ฉู่หังที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่อีกฝั่ง: “……”

ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกไปว่า “ก็แค่กลุ่มเล่นเกมเอง” ไม่ใช่รึ? !

ที่สุดแล้ว ทั้งสิงไคและฉู่หังก็เข้าร่วม “กลุ่มเล่นเกม” ของฉินหร่านที่ว่าไว้

**

ช่วงต้นเดือนสิบเอ็ดของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงคือช่วงเวลาแห่งการสอบกลางภาค

เวลานี้คือสิ้นเดือนสิบแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงสามวัน นักศึกษากลุ่มหนึ่งเริ่มทบทวนแบบฝึกหัดอย่างขะมักเขม้น ห้องสมุดในทุกๆ วันจึงเต็มไปด้วยกลุ่มเด็กนักศึกษา

ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ที่ห้องทำงานของคณบดีเจียง

“คณบดีเจียง เรียกมามีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?” เธอยืนอยู่ใกล้โต๊ะทำงาน ในมือถือหนังสืออยู่กองหนึ่ง

เธอใส่เสื้อฮู้ดสีขาว ด้านนอกมีเสื้อโค้ตคลุมอีกชั้นปกปิดทุกส่วนของเรากาย

“ฉินหร่าน” คณบดีเจียงมองฉินหร่าน ในมือถือปากกาด้ามหนึ่ง “ได้ยินมาว่าเธอตัดสินใจสอบวิชาเอกสองตัวเลยรึ? แล้วเธอมั่นใจในวิศวกรรมนิวเคลียร์ดีแค่ไหน?”

ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านข้างมองคณบดีเจียงแวบหนึ่ง พลันเงยหน้า ไม่ใช่จะถามฉินหร่านว่ามั่นใจในวิชาวิศวกรรมอัตโนมัติดีแค่ไหนรึ

คนในคณะฟิสิกส์ต่างรู้ว่าฉินหร่านสอบสาขาที่สอง ทั้งเธอไม่ได้เข้าเรียนวิศวกรรมอัตโนมัติสักคาบ ทว่าวิศวกรรมนิวเคลียร์กลับไม่เคยขาด แน่นอนว่าเธอสอบวิศวกรรมนิวเคลียร์ได้ที่หนึ่งอย่างไม่มีปัญหา

ผู้อำนวยการคงถามผิดไปแล้วละมั้ง?

“ไม่มั่นใจ” ดวงตาของฉินหร่านค่อยๆ พริ้มลง พลางตอบด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย ปากบอกว่าไม่มั่นใจแต่น้ำเสียงกลับฟังดูหยิ่งยโสยิ่ง

คณบดีเจียงพลันยิ้ม “พอแล้ว ฉันรู้แล้ว เธอไปกินข้าวเถอะ”

“ขอตัวค่ะคณบดีเจียง” ฉินหร่านกล่าวคำลากับคณบดีเจียงอย่างสุภาพ ก่อนเดินลงไป

**

ฉินหร่านเพิ่งเดินมาถึงประตูทางเข้า ก็เห็นสิงไคกับหนานฮุ่ยเหยาทั้งสองคน

“หร่านหร่าน ทางนี้!” หนานฮุ่ยเหยาโบกมือให้ฮินกร่าน

ฉินหร่านใส่หมวกฮู้ดด้วยท่าทางเย็นชาเหมือนอย่างเคย

ทั้งสามคนไปกินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร

หนานฮุ่ยเหยาชินกับโรงอาหารชั้นสองแล้ว ทว่าฉินหร่านไปที่ชั้นสามโดยตลอด หนานฮุ่ยเหยากับสิงไคจึงเดินขึ้นข้างบนพร้อมเธอ

“หัวหน้าไปช่วยอาจารย์ฝึกสอนจัดการธุระ” สิงไคสั่งอาหารเรียบร้อย ก่อนนั่งตรงข้ามทั้งสองพลางอธิบาย

หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้นั่ง ก่อนส่งข้อความหา [มหาพงไพร]

“หร่านหร่าน ที่แท้หลินซือหรานที่เป็นเพื่อนม.ปลายของเธอ เรียนอยู่ที่เดียวกับเราเหรอ? แต่เธอเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์หนิ” หนานฮุ่ยเหยาวางโทรศัพท์ พูดอย่างเสียดาย “อยู่ตั้งวิทยาเขตใต้ ไกลเกินไปแล้ว คงต้องหาเวลาว่างไปเจอหน้าสักหน่อย ฉันละอยากรู้ว่าคนที่มีการ์ดเทพสามใบหน้าตาจะเป็นยังไง”

ช่วงนี้หนานฮุ่ยเหยาเริ่มคุ้นเคยกับคนในกลุ่มเล่นเกมกลุ่มนี้แล้ว โดยเฉพาะหลินซือหราน

ฉินหร่านมองหนานฮุ่ยเหยาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร

เดิมทีสิงไค ฉู่หังและฉินหร่านไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่ไม่คิดว่าเพราะช่วงหลังมานี้เล่นเกมด้วยกันทำให้มิตรภาพของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้น

หลังจากที่พวกเขาสั่งอาหารเสร็จ สิงไคก็เดินไปหยิบอาหารมาเสิร์ฟ

“จริงสิ จะสอบกลางภาคแล้ว เธอทำได้ใช่ไหม?” สิงไควางอาหารลงบนโต๊ะ

ฉินหร่านนั่งไขว้ห้าง ในมือถือตะเกียบ “ทำไมมีแต่คนถามฉัน?”

“ช่วยไม่ได้นี่” สิงไคหยิบตะเกียบอีกคู่หนึ่งส่งให้หนานฮุ่ยเหยา “เธอไม่รู้เหรอว่าชื่อเสียงของเธอในมหาลัยกระฉ่อนแค่ไหน ทั้งหน้าเว็บเพจต่างพนันกันว่าเธอจะได้เข้าร่วมกับห้องปฏิบัติการเมื่อไหร่ ทั้งยังมีคนเดากันว่าการสอบครั้งนี้เธอจะได้กี่คะแนน แต่ว่า……”

พูดถึงตรงนี้ สิงไคก็ขมวดคิ้ว “ได้ยินว่ามาด็อกเตอร์ โจวไม่พอใจระดับความยากของการสอบเทอมที่แล้ว ดังนั้นการสอบของพวกเราครั้งนี้คงยากมาก……เธอก็ไม่ได้เข้าเรียนเลย อาจจะสอบตกระนาวทุกวิชาเลยก็ได้?”