บทที่ 147 อักขระสยบวิญญาณ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 147 อักขระสยบวิญญาณ

บทที่ 147 อักขระสยบวิญญาณ

ภายในชั้นหยินหยางของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ทันทีที่เฉินซีปรากฏตัวขึ้น เขาก็เห็นผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้ง 32 คนกำลังรายล้อมเขาอยู่ห่าง ๆ และทันใดนั้นเอง พวกมันก็โจมตีอย่างรุนแรงโดยปราศจากคำพูดใด

พวกมันเกือบทุกคนมีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นดาราที่แปดและการฝึกฝนในเต๋าแห่งการต่อสู้อยู่ที่ระดับเต๋ารู้แจ้ง ซึ่งตัวจ้านคงเองก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และอยู่ห่างจากการบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำอีกเพียงก้าวเดียว

ดังนั้น กองกำลังร่วมของสามสิบสองคนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ลำแสงของศัสตราวิเศษที่เป็นประกายเจิดจรัสอยู่มากมายได้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และทุกชิ้นต่างก็เป็นศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอด ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของคนทั้งสามสิบสองคน ศัสตราวิเศษเหล่านี้เป็นดั่งพายุที่โหมกระหน่ำลงมาจากทุกสารทิศ อานุภาพของมันทำให้ท้องฟ้าต้องสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงหวีดหวิว ขณะที่พวกมันดำดิ่งลงมาราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุด้วยแรงกระตุ้นที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

พวกมันไร้คำพูด ปราศจากการลังเล และโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ซึ่งจะไม่หยุดยั้งจนกว่าพวกมันจะฆ่าเฉินซีได้ เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์จิตอสูรเหล่านี้ได้ตัดสินใจที่จะกำจัดเฉินซีด้วยการโจมตีในครั้งนี้!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีไม่อาจลังเลได้อีกต่อไป จากนั้นจึงรีบโคจรปราณจ้าววิญญาณภายในร่าง ก่อนที่จะซัดฝ่ามือขวาออกไปอย่างดุเดือด!

โอม!

แม้แต่สวรรค์และโลกยังต้องสั่นสะท้าน เมื่อฝ่ามือขนาดมหึมาที่ปกคลุมพื้นที่ถึงร้อยยี่สิบจั้งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสมือนมือข้างเดียวก็สามารถปิดซ่อนสวรรค์ได้

ฝ่ามือนั้นอาบไปด้วยลำแสงทั้งห้าสี อันได้แก่ สีเหลืองสดใส สีเขียวหยก สีทองอร่าม สีแดงเลือดหมู และสีดำทะมึน ลำแสงเหล่านี้ต่างก็ส่งเสียงหวิดหวิวขณะที่มันหมุนวนไปรอบ ๆ ฝ่ามือจนเปล่งรัศมีแห่งสวรรค์ และบนลายเส้นของฝ่ามือเองก็มีดวงดาวพร่างพรายโคจรอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขณะที่พวกมันกะพริบแสงระหว่างสว่างและสลัว

เมื่อฝ่ามือมหึมาปรากฏขึ้น กระแสพลังที่หนักแน่น มหาศาล รุนแรงและกว้างใหญ่จนน่าสะพรึงกลัวได้ก่อตัวขึ้นบนใจกลางของฝ่ามือ ก่อนที่จะกระจายออกไปบริเวณโดยรอบอย่างดุเดือด ซึ่งทำให้ท้องฟ้าต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดระลอกคลื่นอากาศ แม้แต่ก้อนหินบนพื้นก็ยังถูกรัศมีนี้กดทับจนแตกทีละนิด ๆ และพังทลายลง

เมื่อมองจากระยะไกล ฝ่ามือมหึมานี้เปี่ยมไปด้วยพลังของธาตุทั้งห้าและพลังดาราจักร ซึ่งดูคล้ายกับมือของเทพในสมัยโบราณที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขาม!

ในขณะที่ฝ่ามือขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันได้ตะครุบออกไปอย่างดุเดือด นิ้วทั้งห้ากำศัสตราวิเศษเหล่านั้นจนแน่นก่อนจะเกิดการระเบิดดังกึกก้อง

ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดจำนวนมากพังทลายและแตกสลายเป็นชิ้น ๆ โดยที่พวกมันไม่อาจต้านทานแม้แต่น้อย เพียงชั่วพริบตา พวกมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในตอนนี้เฉินซีได้บรรลุการแปรสภาพร่างกายสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นดาราที่ห้าแล้ว และหลังจากที่ฝ่ามือมหาดาราของเขาหลอมรวมเข้ากับปราณจ้าววิญญาณดาราขั้นปฐพีที่ห้า ปราณจ้าววิญญาณดาราขั้นพฤกษาที่สอง ปราณจ้าววิญญาณดาราขั้นทองคำที่เจ็ด ปราณจ้าววิญญาณดาราขั้นอัคคีที่สามและปราณจ้าววิญญาณดาราขั้นวารีที่เก้า ก็ดูเหมือนว่าพวกมันได้เกิดใหม่ ซึ่งพลังของมันก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า และยังบรรลุถึงขั้นที่ห้าของฝ่ามือมหาดารา

ต้องรู้ว่าเมื่อครั้งที่การบ่มเพาะของเฉินซีอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองดารา ในยามที่ฝ่ามือมหาดาราถูกใช้ออกไป มันสามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสี่คนได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้ฝ่ามือมหาดาราได้ก้าวข้ามถึงสามขั้น พลังของมันจึงเพียงพอที่จะบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับล้ำลึกได้

ดังนั้นไม่ว่าศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดจะแข็งแกร่งถึงเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือมหาดารา พวกมันก็ยังเปราะบางราวกับกระดาษ และก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีที่ฝ่ามือบีบแน่น

ตูม! ตูม! ตูม!

เมื่อศัสตราวิเศษของพวกมันถูกทำลาย เหล่าผู้พิทักษ์จิตอสูรซึ่งมีจ้านคงเป็นผู้นำต่างก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และกระอักเลือดออกมา จนทำให้สีหน้าของพวกมันซีดลงอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นไปได้อย่างไร? เวลาผ่านไปเพียงครึ่งวัน หลังจากที่พวกเราเห็นมันใช้ฝ่ามือขนาดมหึมาทำลายล้างศิษย์ของตระกูลซู เหตุใดความแข็งแกร่งของมันจึงเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!”

“สิ่งนี้มันคือพลังอิทธิฤทธิ์อะไรกัน? มันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย!”

“บัดซบ! เหตุใดความแข็งแกร่งของมันถึงพุ่งทะยานขนาดนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันปกปิดความแข็งแกร่งมาโดยตลอด?”

เมื่อครั้งที่ผู้พิทักษ์จิตอสูรอยู่ที่ชั้นแปดทิศทางของเจดีย์ พวกมันแทบทุกคนได้ชมการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับศิษย์ของตระกูลซู และพวกมันก็ได้ประเมินความแข็งแกร่งของเฉินซีแล้ว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวกมันมั่นใจที่จะจัดการเฉินซีด้วยการลงมือในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เอง ความแข็งแกร่งของเฉินซีที่ปลดปล่อยออกมากลับเหนือล้ำกว่าตอนที่พวกมันเคยเห็นถึงสิบเท่า ไม่เพียงแต่จะทำให้การโจมตีเต็มกำลังของพวกมันต้องไร้ผล แต่พวกมันยังได้ความรับบาดเจ็บกลับมาในระดับหนึ่ง ดังนั้นพวกมันจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?

“ไปตายซะ!” ในตอนที่จ้านคงและคนอื่น ๆ กำลังตื่นตระหนกอยู่ในใจ เฉินซีก็ตะโกนออกมาเสียงดังกังวาน ในขณะที่ฝ่ามือมหาดาราฟาดลงมาอีกครั้ง

ปัง! ปัง! ปัง!

ปราณจ้าววิญญาณที่พลุ่งพล่านของธาตุทั้งห้าผสานกับพลังดาราจักรอันลึกล้ำที่กำลังผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งปกคลุมอยู่บนฝ่ามือนั้นพลันพุ่งลงมาอย่างรุนแรง

ทันใดนั้นมีผู้พิทักษ์จิตอสูรกว่าสิบคนที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน จึงทำให้พวกมันถูกบดขยี้ลงกับพื้นก่อนจะกลายเป็นกองบ่อเลือดและเศษเนื้อ!

“บัดซบ! ข้าเกรงว่าเราคงไม่อาจทำภารกิจที่ได้รับมาจากหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านให้สำเร็จได้ในครั้งนี้” จ้านคงหลบพลังของฝ่ามือด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ และสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านหัวหน้าจ้าน เราควรทำอย่างไรดี? ศัตรูนั้นทรงพลังเกินไป และเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!” ลู่ผิงที่อยู่ห่างออกไปร้องออกมาเสียงดัง น้ำเสียงของเขาเผยให้เห็นความหวาดกลัว ต่อให้ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อเห็นสหายของพวกเขากลายเป็นกองเศษเนื้อเหมือนมันบดในพริบตา พวกเขาก็คงจะหวาดกลัวจนสุดขีดเช่นเดียวกัน

“เราควรทำอย่างไรน่ะหรือ? หากเราหลบหนีออกจากเจดีย์ก็ตายอยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีชีวิตรอด หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านก็จะไม่ปล่อยเราไปอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่พาไอ้เด็กคนนี้ลงนรกไปด้วยกันล่ะ!?”

“พวกเจ้าจงก่อค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียนซะ!”

ความเหี้ยมโหดฉายผ่านดวงตาของจ้านคง ขณะที่เขากวาดมือ ทำให้คลื่นปราณแท้ที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไป หลังจากนั้นไม่นาน แผนผังค่ายกลสีดำสนิทขนาดมหึมาก็ลอยออกมาจากร่างของเขา ควันสีดำลอยขึ้นเหนือพื้นผิวของค่ายกลกระบี่ขณะที่รัศมีกำลังเปล่งประกายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า อีกทั้งทารกที่มีลักษณะบิดเบี้ยวและส่งเสียงกรีดร้องเสียดหูก็ปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก พวกมันดูเหมือนมนุษย์แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ ดูเหมือนผีก็ยังไม่ใช่ผี พวกมันดุร้ายและน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด

“รับทราบ!” ประกายของความเด็ดเดี่ยวสะท้อนอยู่บนแววตาของผู้พิทักษ์จิตอสูรที่เหลือทั้งสิบสามคน และร่างของพวกมันก็กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่แผนผังค่ายกลขนาดใหญ่ ทันใดนั้นเอง ทารกจำนวนมากที่อยู่ภายในแผนผังค่ายกล ได้กลืนกินร่างและวิญญาณของคนทั้งสิบสามคน จากนั้นแผนผังค่ายกลก็เปล่งประกายแสงสีดำออกมา ในขณะที่หมอกสีดำหนาทึบได้ม้วนตัวและคำรามราวกับแม่น้ำที่กำลังจะทะลักออกมาจากแผนผังค่ายกล

“บัดซบ! แท้จริงแล้วมันคือค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียน! เพื่อที่จะสร้างค่ายกลนี้ต้องใช้ดวงวิญญาณของเด็กทารก เลือดบริสุทธิ์ของเด็กหนุ่ม และเลือดของพวกวิญญาณชั่วร้ายไปมากมาย เฉินซี เจ้าต้องระวังตัว ค่ายกลนี้มีไว้เพื่อระเบิดตัวเองเท่านั้น อานุภาพของมันอาจเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่ระเบิดแกนทองคำของตัวเอง แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติเองก็ไม่อาจต้านทานและไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง!” หลิงไป๋ดูเหมือนจะตกตะลึงและโมโหเป็นอย่างมากจนต้องคำรามขณะที่เขาพูดเตือน

แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติก็ไม่สามารถต้านทานได้?

เฉินซีตกตะลึงอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้ฝ่ามือมหาดาราด้วยพละกำลังทั้งหมดของเขาเพื่อฟาดลงไปที่จ้านคง และในขณะเดียวกัน เขาก็เรียกกระบี่บินทั้ง 64 เล่มออกมาเพื่อสร้างม่านกระบี่คุ้มครองร่างกาย

“จงตายซะ!” จ้านคงหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม ขณะที่เขาเปิดปากและพ่นแก่นโลหิตออกมาหนึ่งคำ จากนั้นแขนของเขาก็สั่นสะท้าน และแผนผังค่ายกลก็พุ่งออกไป ทันทีที่มันปรากฏขึ้นกลางอากาศ มันได้กลายร่างเป็นทารกสีเลือดขนาดมหึมาทั้งสิบสามตัว ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวดูชั่วร้ายและเขาคู่บนศีรษะ

ตู้มม!

ทันทีทารกสีเลือดทั้งสิบสามตัวนี้ปรากฏตัว พวกมันก็ระเบิดตัวเองจนเกิดคลื่นพลังทำลายไปในพื้นที่โดยรอบ

ด้วยพลังทำลายล้างเช่นนี้ ฟ้าดินดูเหมือนจะถูกลบล้างออกไปในทันที กระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวราวกับคลื่นยักษ์ได้โหมกระหน่ำทั้งฟ้าดินด้วยเสียงดังกึกก้อง ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ ภูมิประเทศ ต้นไม้ และปราณวิญญาณในอากาศล้วนพังทลาย

โครม!

เพียงชั่วพริบตา ฝ่ามือมหาดาราที่ฟาดลงไปก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่จะสลายไป ในขณะที่เฉินซีสัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องเลวร้าย ดังนั้น เขาจึงทะยานหนีไปในระยะไกลในทันที แต่เขาคาดไม่ถึงว่าพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวนี้จะรุกคืบมาถึงในพริบตา และกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูง 64 เล่มรอบตัวเขาก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่จะแตกสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยกระจายไปทั่วท้องฟ้า

เฉินซีรู้สึกราวกับร่างกายของเขาถูกทุบด้วยค้อนขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างรุนแรง ศีรษะของเขาจมดิ่ง ในขณะที่กระดูกและเส้นเอ็นในร่างกายของเขาส่งเสียงกร๊อบแกร๊บ จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จนสีหน้าของเขาพลันขาวซีดลง

ยิ่งค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียนกลืนกินผู้บ่มเพาะเข้าไปมากเท่าไร พลังของค่ายกลก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียนที่สมบูรณ์แบบจำเป็นต้องกลืนกินผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางถึง 64 คน จึงทำให้อานุภาพของแรงระเบิดสามารถทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้ทั้งหมด

แต่นับว่าโชคดี ค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียนที่จ้านคงใช้นั้น ได้กลืนกินร่างกายและวิญญาณของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลเพียงสิบสามคนเท่านั้น และแม้ว่าพลังระเบิดของมันจะน่าสะพรึงกลัว แต่หลังจากที่ถูกฝ่ามือมหาดาราและกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูงทั้ง 64 เล่มขัดขวาง อานุภาพของมันจึงลดทอนลงไปอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น พลังคุ้มกายของเคล็ดวิชาขัดเกลากายาของเฉินซี ก็ได้บรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดารา ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งหลายนี้ จึงทำให้เขาสามารถรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้โดยไม่ถึงกับตกตาย

“เจ้า… เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงไม่ตาย?” จ้านคงที่อยู่ห่างออกไป อุทานเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว “เจ้าสัตว์ประหลาด! นั่นเป็นพลังที่สามารถทำลายล้างผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะทนมันได้อย่างไร?”

เฉินซีเมินเฉยต่อจ้านคง และรีบโคจรปราณจ้าววิญญาณในร่างกาย กระดูกและเส้นเอ็นที่แตกหักได้รับการฟื้นฟูจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ และในเวลาเดียวกัน กระแสปราณของแก่นแท้แห่งดาราพฤกษาที่สองอันเปี่ยมด้วยพลังชีวิตได้พวยพุ่งออกมาจากต้นอ่อนเล็ก ๆ ที่อยู่ภายในอักขระจ้าววิญญาณขั้นดาราพฤกษาที่สองบนหลังของเขา

กระแสปราณของแก่นแท้แห่งดาราพฤกษาที่สองได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อาการบาดเจ็บของเฉินซีฟื้นตัวมากกว่าครึ่งในพริบตาและปราณจ้าววิญญาณในร่างกายทั้งหมดก็สามารถฟื้นฟูได้ถึงแปดส่วน

ทันใดนั้น เฉินซีก็เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณและพละกำลังอีกครั้ง!

ท้ายที่สุด บนหลังของเขาก็มีสมบัติที่น่าอัศจรรย์ทั้งห้าประเภทอยู่ภายใน อันได้แก่ ธุลีโกลาหล ไม้ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม แร่โลหะนิรนาม อัญมณีเพลิงนิรนาม และมุกวารีนิรนาม เมื่อพวกมันทั้งหมดโคจรรอบกันและกัน ปราณพฤกษาที่สอง ปราณทองคำที่เจ็ด ปราณอัคคีที่สาม และปราณวารีที่เก้า จะเปลี่ยนเป็นปราณจ้าววิญญาณของคุณสมบัติต่าง ๆ ก่อนที่จะเติมเต็มปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเฉินซีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าตราบใดที่เฉินซีมีโอกาสพักหายใจในระหว่างการต่อสู้ ปราณจ้าววิญญาณของเขาก็ไม่มีวันหมดสิ้น

เมื่อจ้านคงเห็นเฉินซีดูเหมือนจะฟื้นคืนสู่สภาวะสูงสุดในพริบตา เขาก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง และรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาด้านชา ไม่ว่าเขาจะเค้นสมองขนาดไหนก็ตาม เขาก็ไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าได้ เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นตัวประหลาดที่ฆ่าไม่ตาย?

“ตายซะ!” เฉินซีก้าวยาวไปข้างหน้าและยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับ ทันใดนั้นฝ่ามือมหาดาราได้ปรากฏอยู่กลางอากาศ มันกำลังคว้าจับจ้านคงไว้ในฝ่ามือราวกับจับลูกไก่อย่างง่ายดาย

หากลองไตร่ตรองดูก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะก่อนหน้านี้ จ้านคงได้สำแดงพลังของค่ายกลทารกโลหิตพิฆาตเซียน อีกทั้งตัวเขาได้ถ่ายเทปราณแท้ในร่างทั้งหมดลงไปในค่ายกล และยังใช้แก่นโลหิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งเพิ่มเข้าไปอีก ทำให้ตอนนี้เขาอ่อนแอเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจะหลงเหลือพละกำลังเพียงพอที่จะต่อต้านได้อย่างไร?

“ช้าก่อน! เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีทางได้รู้วิธีการครอบครองเจดีย์นี้!” จ้านคงร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว

“ข้าย่อมรู้แน่นอนหลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าแล้ว” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย

โผละ!

ทันทีที่เฉินซีกล่าวจบ ร่างกายทั้งหมดของจ้านคงก็ถูกฝ่ามือมหาดาราบดขยี้จนเป็นสายโลหิตที่เข้มข้นไหลลงสู่พื้น

จนถึงตอนนี้ ผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคนไม่อาจหลบหนีได้สักคนเดียว และพวกมันทั้งหมดก็ถูกเฉินซีฆ่าจนสิ้น!

ฟิ้ว!

เฉินซีสะบัดแขนเสื้อของเขา นอกจากกระเป๋ามิติสิบสามใบของผู้พิทักษ์จิตอสูรที่ระเบิดตัวเองจนไม่เหลือซาก กระเป๋ามิติทั้งสิบเก้าใบที่อยู่บนพื้นก็ตกอยู่ในมือเขา

กระเป๋ามิติใบแรกที่เฉินซีเปิดดูเป็นของจ้านคง และด้วยการใช้ญาณศักดิสิทธิ์ตรวจสอบภายในกระเป๋า เขาก็สามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งที่อยู่ในกระเป๋ามิติใบนี้ นอกเหนือจากศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำจำนวนมาก วารีวิญญาณแปดแสนจิน เม็ดยาและวัตถุวิญญาณจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เรียกว่าเคล็ดวิชาภูตเงา และแผ่นยันต์อักขระที่อาบไปด้วยรัศมีของสมบัติล้ำค่า

ทันใดนั้นเอง สายตาของเฉินซีได้จับจ้องไปที่ยันต์อักขระแผ่นหนึ่ง กระดาษของยันต์นั้นมีความยืดหยุ่นได้เหมือนทองคำเปลว มันเปล่งแสงสีทองที่นุ่มนวลและบริสุทธ์ บนแผ่นยันต์มีถ้อยคำอักขระอยู่ที่ด้านบน ซึ่งตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอักขระประเภทใด

“นักสู้แห่งสรวงสวรรค์ จงเตรียมพร้อมและมุ่งไปข้างหน้า?” หลิงไป๋สะกดอักขระบนยันต์ในคราวเดียว มันดูคลุมเครือและแปลกประหลาด แต่ก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่เคร่งขรึมและน่าเกรงขาม

“สิ่งนี้คืออะไร?” เฉินซีรู้สึกสับสน

“หากข้าจำไม่ผิด สิ่งนี้น่าจะเป็นอักขระสยบวิญญาณที่ถูกใช้โดยนิกายพุทธ! คำเหล่านี้คืออักษรเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมของนิกายพุทธ!” หลิงไป๋กล่าวช้า ๆ น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความตกตะลึง “ว่ากันว่า ทุกพยางค์แห่งสัจธรรมทั้งเก้าล้วนมีพลังอิทธิฤทธิ์อันสูงส่งของนิกายพุทธ มันทรงพลังและลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องนี้เท่านั้น และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอักขระสยบวิญญาณที่แท้จริงของนิกายพุทธ”