บทที่ 402

บทที่ 402

การเห็นหยวนยู่ ทำให้จ้านอู่ตี้สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้ต่อ เขาได้แต่เฝ้าดูภาพตรงหน้าอย่างหมดหนทาง ในขณะที่ม้าศึกของตนถูกตัดครึ่ง ก่อนจะเร่งวิ่งหลบหนีออกจากสนามรบ…

หยวนยู่ไม่แม้แต่จะเห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ในมุมมองของเขามีเพียงคนเดียวที่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ได้ และนั่น… คือจ้านอู่ตี้

เมื่อเห็นว่าจ้านอู่ตี้กำลังจะหนี หยวนยู่ก็ส่งเสียงหัวเราะดัง ๆ จากนั้นก็ควบม้าไล่ตามไป ทำให้ฝ่ายคนหนีตื่นตระหนกจนตะโกนออกมาขณะวิ่ง “หยุดเขาซะ ! หยุดเขา !”

จ้านอู่ตี้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในสายตาของพวกหนิง การที่พ่ายแพ้ในลักษณะที่น่าสังเวชเช่นนี้ ทำให้พวกเขาจะประหลาดใจไม่น้อย แต่ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ทหารหนิงจำนวนมากก็ยังคงรุมไปข้างหน้าและพยายามเข้าขวางทางหยวนยู่

หยวนยู่เปล่งเสียงคำราม ควบม้าและพุ่งเข้าหาทหารพร้อมดาบในมือที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด ทำให้ทหารสองคนถูกแทงทะลุร่างของพวกเขาในครั้งเดียว จากนั้นจึงทำการฉีกกระชากร่างนั่นออก จนเลือดพุ่งกระเซ็นใบหน้าของทหารที่อยู่โดยรอบราวกับสายฝนโปรยปราย

ก่อนทหารที่เหลือจะตอบสนอง หยวนยู่ก็พลันฟันดาบออกไปอีกครา

ฉัวะ !

แสงเย็นที่น่ากลัวฉายผ่านทหารหนิงสี่คนที่ขวางทาง พวกเขาถูกตัดศีรษะในดาบเดียว ปล่อยให้หัวที่เหลือเพียงครึ่งเดียวบนร่างนอนดิ้นอยู่บนพื้นสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

ทหารหนิงหลายคนที่วิ่งเข้ามาจากอีกด้านหนึ่งคำรามขณะที่พวกเขาพุ่งง้าวยาวไปทางหยวนยู่ ทว่ามันก็ถูกปัดออกอย่างง่ายดาย…

แม้ว่าจะมีทหารมากมาย แต่เมื่อเทียบกับหยวนยู่แล้ว… พวกเขาก็ไม่ต่างจากมดปลวก ปราณดาบกวัดแกว่งไม่หยุด ทำให้ทหารนับไม่ถ้วนที่วิ่งเข้ามาและล้มลงราวใบไม้ร่วง ทุกที่ที่หยวนยู่ผ่านไปเลือดก็ไหลเหมือนแม่น้ำ แขนขาขาดเกลื่อนพื้น

…จ้านอู่ตี้ไม่ได้วิ่งไปตามทิศทางที่จ้านอู่ฉางอยู่

ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ไม่เพียงแต่จ้านอู่ตี้ไม่ได้แสดงท่าทางหุนหันพลันแล่น แต่เขายังสงบอย่างผิดปกติ หยวนยู่แข็งแกร่งเกินไปและไม่ใช่คนที่สามารถรับมือได้ในตอนนี้ แต่ผู้ช่วยทั้งสามของซ่งเทียนที่เป็นโรนินนั่นก็รับมือไม่ง่ายเช่นกัน ทว่าด้วยทั้งสามปฏิเสธที่จะลงมือ งั้นแล้วจ้านอู่ตี้ก็ได้แต่ตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ แล้วพุ่งเข้าไปหาซ่งเทียนให้ได้ก่อนหยวนยู่มาถึง !!

ความเร็วในการวิ่งของเขาไม่เร็วนัก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะตามมาไม่ทัน

และเมื่อจ้านอู่ตี้มาถึงขอบสนามรบ เขาก็เห็นซ่งเทียนที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ ….ราวกับกลัวว่าหยวนยู่จะตามมาไม่ทัน เขาก็จึงร้องตะโกนเตือนเสียงดังออกมา “หนีไป ฝ่าบาท!!”

เสียงของเขาดังมากจนเหมือนฟ้าร้องท่ามกลางกองทัพที่วุ่นวาย ไม่ต้องพูดถึงหยวนยู่เลย แม้แต่คนที่อยู่สุดขอบของสนามรบก็ยังได้ยินเขา

แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า ‘ฝ่าบาท’ หยวนยู่ก็พลัยสั่นเทาและตาของเขาก็สว่างวาบทันที เพราะการที่เรียกว่า ‘ฝ่าบาท’ เช่นนี้ มันก็ย่อมเป็นซ่งเทียนอย่างแน่นอน แสดงว่าเขาจะต้องอยู่ใกล้ ๆ นี่แน่ !

….ใช้เวลาไม่นานนัก ทหารทั้งหมดที่ขวางทางอยู่ข้างหน้าก็ล้มลง เปิดช่องให้หยวนยู่มองเห็นคนผู้หนึ่ง

คนผู้นี้อยู่ในวัยสี่สิบถึงห้าสิบ สวมเสื้อคลุมผ้าสีดำยาวพร้อมเข็มขัดหยกรอบเอวและมงกุฎหยกบนศีรษะ เขามีเคราสีขาวและคิ้วหนา และหลังจากที่เห็นคนตรงหน้า หยวนยู่ก็มั่นใจได้เกือบเต็มสิบส่วนว่านั่นคือซ่งเทียนอย่างแน่นอน !!!

หยวนยู่ที่เห็นเป้าหมายแล้วก็ปล่อยจ้านอู่ตี้ทิ้งไปในทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วหัวของซ่งเทียนก็มีค่ามากกว่าของจ้านอู่ตี้ …แม้แต่อู่กวนที่สงบนิ่งก็สามารถทำทุกอย่างเพื่อฆ่าซ่งเทียนให้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างหยวนยู่ ?

เขาตะโกนข่ม “ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไปซะ !!” ระหว่างคำพูดของนั่น หยวนยู่ก็พลันกระทุ้งเข้ากับท้องม้าจนมันพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

หยวนยู่ไม่ชะงักแม้แต่น้อย เขาพุ่งทะยานพร้อมเงื้อมดาบขึ้นสูง เข้าโจมตีใส่ซ่งเทียนอย่างไม่มีการรีรอใด !!

ซ่งเทียนเลือกที่จะหลบ แต่ความเร็วของเขาไม่อาจเร็วไปกว่าดาบที่มาถึงเหนือไหล่ของตนได้ จึงเป็นชุยหยุนเจียนที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่งเทียนที่เอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดหยกที่เอวของคนข้างหน้า และดึงอย่างแรง

ฟุบ !

ตุบ !

ดาบวาดผ่านตัวไป ในขณะที่ซ่งเทียนที่ถูกดึงไปด้านหลังก็ถึงกับเกือบเสียหลักล้ม และแม้ว่าเขาจะหลบการโจมตีไปได้ ทว่าทั่วร่างก็บาดเจ็บไปหมด จนต้องร้องคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อมีคนเข้ามาช่วยแบบนี้ หยวนยู่ก็ถึงกับโกรธจนแทบคลั่ง สายตาตวัดหาชุยหยุนเจียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะแสยะยิ้มและตะโกนอย่างคั่งแค้น “ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ!”

คมดาบในมือของเขาหมุนอย่างรวดเร็ว แทงเข้าใส่หัวของชุยหยุนเจียนด้วยกำลังทั้งหมด

การโจมตีนี้รุนแรงเสียจนเกิดเสียงดังกัมปนาทไปทั่วทุกสารทิศ

แรงเสียดทานของคมดาบกับอากาศไม่ใช่เสียงหวีดแหลมอีกต่อไป แต่เป็นเสียงทุ้มหนัก ๆ ที่กระแทกอากาศ ทว่าชุยหยุนเจียนกลับยังคงยืนอยู่ในจุดเดิมโดยไม่ขยับ มีเพียงร่างของเขาเท่านั้นที่ถูกล้อมรอบด้วยหมอกสีขาว กลายเป็นเกราะปราณสีขาวสะท้อนแสง เช่นเดียวกับดาบปราณเล่มยาวที่ปรากฏขึ้นในมือ

เขายกดาบปราณในมือขึ้นต้านรับดาบของหยวนยู่ด้วยสองมืออย่างเต็มกำลัง

เจ้ามันตายไปแล้ว ! เมื่อเห็นเช่นนี้หยวนยู่จึงกัดฟันและขว้างดาบออกไปสุดแรงเกิด

แคร้ง !!

เสียงดังลั่นที่เหมือนจะทำให้สวรรค์และโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ นี้เป็นการปะทะกันระหว่างอาวุธปราณและการต่อสู้ระหว่างผู้ใช้พลังปราณชั้นสูง ทำให้หินและดินที่อยู่ใต้เท้าของชุยหยุนเจียนถูกบดขยี้เป็นผงทันทีด้วยแรงปะทะ จนเกิดฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า

แรงระเบิดจากการปะทะของคนทั้งสองทำให้ผู้คนที่อยู่รอบโดยต่างหูอื้ออึง เช่นเดียวกับร่างของซ่งเทียนที่กระเด็นลอยออกไปอีกคราจากแรงผลักดันนั่น

หยวนยู่ไม่อาจต้านรับแรงปะทะได้ไหว เลือดของเขาไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างแรง ด้วยหมดกำลัง ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกต่อไป

อาจกล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีพลังอันมหาศาลเช่นนี้เก็บงำเอาไว้ เพราะไม่ใช่แค่หยวนยู่ ด้วยแม้แต่ชุยหยุนเจียนก็ขยับร่างไม่ไหว ได้แต่กำดาบในมือไว้แน่น และนิ่งงันอยู่เช่นนั้น

ฉับพลันนั้น ดาบปราณก็พลันเปล่งแสงออกมาอย่างไร้สัญญาณเตือนใด ก่อนที่ปลายดาบจะยืดยาวราวกับแส้พุ่งเข้าไปหาคอของหยวนยู่

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เกินกว่าที่ใครจะสามารถคาดการณ์ได้ ทั้ง ๆ ที่ดาบของชุยหยุนเจียนยังอยู่ในท่าตั้งรับ แต่ปลายดาบกลับยืดยาวแทงทะลุไปหาหยวนยู่ได้อย่างอัศจรรย์ !!!

สำหรับผู้ใช้พลังปราณธรรมดา ๆ พวกเขาคงคิดว่าดาบนั้นใช้ศาสตร์มืด แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ หากแต่มันคือ ‘การแปรเปลี่ยนรูปร่างของพลังปราณ’ ….ซึ่งมีเพียงผู้ฝึกฝนที่บรรลุอย่างถ่องแท้เท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้

ฝ่ายตรงข้ามไม่เปิดโอกาสหยวนยู่ได้คิด เขาจึงได้แต่รีบเอียงศีรษะไปด้านข้าง หลบแสงอันแหลมคมของดาบที่กำลังจะแทงทะลุคอเท่าที่จะทำได้

แต่ดาบที่แทงไปข้างหน้าแล้ว มันกลับแว้งมาจู่โจมจากด้านหลังได้ราวกับงู

ทว่าโชคยังดี ที่หยวนยู่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว เขาลดศีรษะลงอีกครั้ง ทำการหลบดาบที่แทงกลับมาได้อย่างเฉียดฉิว และโดยไม่รอให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีอีกครั้ง ชายเลือดร้อนก็พลันถอนใบดาบกลับ และใช้แรงส่งถอยหลังไป 1 จั้งเพื่อตั้งหลัก

เมื่อเข้าสู่ระยะปลอดภัย ต่างฝ่ายต่างก็ฉวยโอกาสใช้เนตรทิพย์เพื่อตรวจสอบพลังของกันและกัน

“นี่มันพลังระดับ… ปราณเทพเจ้า !”

“ชิ.. ระดับปราณเทพเจ้า…!”

นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบกับคู่ต่อสู้ระดับปราณเทพเจ้าเช่นเดียวกันกับตัวเอง

ชุยหยุนเจียนถอนหายใจด้วยอารมณ์ นี่มันต่างกันเกินไปแล้ว ? ด้วยตัวเขานั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่ทว่าก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบปีก่อนที่พลังของเขาจะมาถึงระดับนี้ ….ในทางกลับกัน หยวนยู่ยังอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ แต่พลังก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย หรือนี่คือความอยุติธรรมที่สวรรค์ได้ประทานมาให้ ?