ตอนที่ 207-1 ขุนนางเก่าแก้ค้านหัวชนฝา สวีซื่อออกจากเมืองหลวง

ชายาเคียงหทัย

ม่อจิ่งฉีสีหน้าบึ้งตึง มองม่อจิ่งหลีที่แสดงท่าทีผึ่งผาย ถึงแม้ด้วยเพราะเหตุผลหลายประการทำให้เขาต้องจำใจยอมสมานฉันท์กับน้องชายผู้นี้ แต่นั่นมิได้หมายความว่า ม่อจิ่งฉีจะลืมเลือนเรื่องที่ม่อจิ่งหลีคิดก่อกบฏในยามนั้นไปจริงๆ จนถึงยามนี้น้องชายที่แสนดีของเขายังยึดครองพื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันอยู่ด้วยซ้ำ

 

 

ม่อจิ่งฉีไม่อยากสนใจม่อจิ่งหลี จึงเลื่อนสายตาไปทางไทเฮา ฮองเฮาและองค์หญิงซีฝูกับองค์หญิงเจาหยางที่เพิ่งลงจากรถม้าและกำลังเดินมาที่หน้าประตูวัง ก่อนเอ่ยเรียบๆว่า “เสด็จแม่ ฮองเฮา พวกท่านมาได้อย่างไร”

 

 

ไทเฮายังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ก็เห็นฮองเฮาเดินมาตรงหน้า วาดแขนเสื้อออกพร้อมคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยเสียงขรึมว่า “สวีซื่อแห่งอวิ๋นโจวจงรักภักดีต่อต้าฉู่ สร้างผลงานมายาวนาน ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยเพคะ”

 

 

คนที่ตามฮองเฮามายังมีสนมอีกหลายคน ถึงแม้ยามปกติจะไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าไรนัก แต่ก็เป็นสตรีมีคุณธรรมที่มาจากตระกูลบัณฑิต ซึ่งต่างก็พากันมาคุกเข่า เอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยเพคะ”

 

 

ม่อจิ่งฉีหน้าบึ้งลงทันที ยังไม่ทันพูดอันใด องค์หญิงซีฝูและองค์หญิงเจาหยางก็เดินมาถึง

 

 

องค์หญิงดันนางกำนัลที่คอยประคองพระองค์ออก แล้วคุกเข่าลงข้างกายฮองเฮา “ตระกูลสวีทำความผิดอันใด ฝ่าบาทถึงคิดกวาดล้างตระกูลสวี ฝ่าบาทโปรดชี้แจงด้วยเพคะ!”

 

 

ส่วนองค์หญิงเจาหยางไม่พูดอันใดทั้งสิ้น เพียงคุกเข่าลงกับพื้นข้างกายองค์หญิง ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่องค์หญิงซีฝูพูดก็คือสิ่งที่นางต้องการจะพูด

 

 

“พวกเจ้า…พวกเจ้า…” ม่อจิ่งฉีโกรธจนตัวแทบสั่น แต่ด้วยฐานะและความอาวุโสขององค์หญิงซีฝู จึงมิอาจปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังเช่นนี้ได้ เขารีบสั่งให้นางกำนัลข้างกายไปพยุงพระองค์ขึ้น พร้อมเอ่ยว่า “เสด็จป้า มีเรื่องอันใดพวกเรากลับวังแล้วค่อยไปคุยกันเถิด ท่าน…กลับมาเมืองหลวงได้อย่างไร”

 

 

แต่องค์หญิงกลับไม่ยอมรับน้ำใจนั้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าแก่แล้ว ใช้การไม่ได้แล้ว จึงมิกล้าหวังให้ฝ่าบาทรับฟังพวกคนแก่อย่างข้า เพียงแต่ตระกูลสวีสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ให้กับต้าฉู่ อย่าว่าแต่พวกเขามิได้ทำอันใดผิดเลย ต่อให้พวกเขาทำอันใดผิดจริง ฝ่าบาทก็น่าจะลงอาญาเพียงสถานเบา ถึงแม้ข้าจะแก่จนเลอะเลือน แต่ก็ต้องขอร้องฝ่าบาท ขอฝ่าบาทได้โปรดไต่สวนเรื่องตระกูลสวีให้แน่ชัดด้วยเถิดเพคะ”

 

 

คำพูดขององค์หญิง ทำให้ม่อจิ่งฉีโกรธจนแทบหายใจไม่ทัน แต่ก็พูดอันใดไม่ออก ยิ่งเมื่อเห็นว่าที่หน้าประตูวังมีบัณฑิต ขุนนางและแม้กระทั้งชาวบ้านมาชุมนุมกันมากขึ้นเรื่อยๆ ม่อจิ่งฉีก็รู้สึกเพียงภาพตรงหน้าดูค่อยๆ มืดลง เรื่องในวันนี้เกรงว่าคงมิอาจคลี่คลายด้วยดีได้แล้ว

 

 

ม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูจะอารมณ์ดีอย่างประหลาด ตอนแรกเขาคิดที่จะลองเสี่ยงก่อกบฏดู ถึงแม้จะทำได้เพียงยึดครองพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่งของหนานเจียงเป็นการชั่วคราว แต่ก็ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนไม่น้อย

 

 

ทุกคนต่างพากันบอกว่าเขา ม่อจิ่งหลีเป็นน้องชายร่วมอุทรของฝ่าบาทองค์ปัจจุบันที่เป็นที่โปรดปรานและได้รับเกียรติมากที่สุด แต่ด้วยนิสัยของเสด็จพี่ของเขา จะยอมปล่อยให้เขามีอำนาจที่แท้จริงได้อย่างไร ในเมืองหลวง เขาก็เป็นเพียงท่านอ๋องที่ดูดีกว่าผู้อื่นหน่อยก็เท่านั้น แต่ในยามนี้ เขาได้ครอบครองพื้นที่ทางใต้ที่รุ่งเรืองและมั่งคั่ง เสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาถึงแม้ในใจจะยังโกรธจัดแต่ก็มิอาจทำอันใดเขาได้ จะว่าไปถือว่าม่อซิวเหยาช่วยเขาไว้มากทีเดียว หากมิใช่เพราะยามนี้ม่อซิวเหยายึดครองพื้นที่ทางซีเป่ย จนทำให้เสด็จพี่ของเขาหวาดกลัวหาใดเปรียบแล้ว เขาคงมิอาจกลับเมืองหลวงอย่างเปิดเผย ยามนี้เมื่อได้เห็นม่อจิ่งฉีโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด ถึงแม้สีหน้าเขาจะมิได้แสดงออกอันใด แต่ในใจกลับนึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“เสด็จป้า ท่านป้าเจาหยาง เสด็จพี่สะใภ้ นี่พวกเท่านทำอันใดกันหรือ รีบลุกขึ้นเถิด เสด็จพี่ทรงพระปรีชาสามารถ จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ตระกูลสวีเป็นแน่” ม่อจิ่งหลีก้าวเข้ามาเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความเคารพ

 

 

เพียงแต่เขาไม่เกลี้ยกล่อมก็ยังไม่เท่าไร แต่เมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ก็ถือเป็นการเอ่ยเตือนม่อจิ่งฉีอย่างไม่ต้องสงสัย ยามนี้ไม่เพียงแต่บัณฑิต ชาวบ้านและขุนนางในเมืองหลวง แม้แต่ท่านป้า ท่านน้าและฮองเฮาของตนเองก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาอีกด้วย

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ความโกรธก็พุ่งปรี๊ดขึ้นสมองทันที ม่อจิ่งฉีเอ่ยตะโกนเสียงเข้มว่า “ตระกูลสวีสมคบคิดกับกบฏมีโทษถึงประหาร! ถ่ายทอดราชโองการข้าลงไป จับคนในตระกูลสวีซื่อทั้งหมดมาตัดหัวประหารชีวิต!”

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดเสียงอึ้ออึงขึ้นที่หน้าประตูวังทันที ม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่อีกด้านถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน

 

 

บรรดาผู้คนที่คุกเข่าอยู่คิดอยากพูดอันใดอีก แต่ม่อจิ่งฉีที่โกรธจนถึงขีดสุดกลับแย่งเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ผู้ใดกล้าขอร้องอีก จะมีโทษสถานเดียวกับสวีซื่อ!”

 

 

ทุกคนต่างนิ่งอึ้งแล้ว แล้วจู่ๆ ท่ามกลางฝูงชน ก็มีผู้เฒ่าคนหนึ่งลุกขึ้นเอ่ยเสียงดังว่า “ฝ่าบาท สวีซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ฝ่าบาทได้โปรดสอบสวนโดยละเอียดด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลง สะบัดสายตาเย็นเยียบไปทางเขา ผู้เฒ่าผู้นี้เขาย่อมรู้จักดี เขาเป็นอดีตผู้ตรวจการที่เกษียณอายุไปอยู่แต่กับบ้านแล้ว สมัยก่อนในราชสำนัก ม่อจิ่งฉีรังเกียจตาเฒ่าผู้นี้ที่มักพูดว่าสิ่งนั้นไม่ควร สิ่งนี้ไม่ควรกับเขาเสมอ ดังนั้นเขาที่เป็นผู้ตรวจการอาวุโสมาตั้งแต่ก่อนม่อจิ่งฉีขึ้นครองราชย์ มาจนเมื่อสามปีก่อนที่เขาเกษียณอายุไปก็ไม่เคยได้เลื่อนขั้นอีกเลย “เจ้าช่างกล้านัก เจ้าเห็นว่าราชโองการของข้าเป็นเพียงลมผ่านหูอย่างนั้นหรือ”

 

 

ผู้อาวุโสพูดทั้งน้ำตารื้นว่า “ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยยินดีเอาชีวิตมาขอร้องฝ่าบาทให้ถอนพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบ ก็ไม่สนอันใดทั้งสิ้น พุ่งเอาหัวชนกำแพงวังทันที

 

 

กำแพงรอบวังหลวง ล้วนทำขึ้นจากอิฐหินดินทรายที่แข็งแรงที่สุด เมื่อศีรษะของผู้เฒ่ากระแทกเข้าไปก็เห็นเพียงรอยเลือดสีแดงสดบนกำแพง ร่างของท่านผู้เฒ่าทรุดลงข้างกำแพง เห็นได้ชัดว่าเขาสิ้นลมหายใจไปแล้ว นี่กลับกลายเป็นว่า ขุนนางเก่าแก่ที่เกษียณไปแล้ว ใช้ชีวิตของตนเองในการขอให้ฝ่าบาทถอนรับสั่งกลับ

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ขอทูลขอให้ฝ่าบาททรงถอนรับสั่งกลับด้วยเถิดเพคะ” ฮองเฮาลุกยืนขึ้น มองนิ่งไปยังบุรุษตรงหน้าที่เห็นได้ชัดว่าโกรธจนแทบคลั่ง

 

 

ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์เป็นต้นมา เขาก็นึกกลัวเหล่าขุนนางที่มีความดีความชอบของฮ่องเต้รัชสมัยก่อนเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงมีกำแพงและหวาดกลัวฮองเฮาที่เกิดในตระกูลขุนนางที่มีผลงานเช่นกัน ไม่ว่านางจะเอ่ยอันใด เขาก็มักนึกสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของนางเสมอ และไม่เคยฟังสิ่งที่นางเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างจริงจังเลยแม้สักครึ่งประโยค

 

 

แรกเริ่มเดิมทีนางเพียงแค่จดจำคำสอนของผู้เป็นบิดาและอดีตฮ่องเต้ คิดอยากเป็นฮองเฮาทรงคุณธรรมที่มีศีลธรรมอันดีสามารถตักเตือนฮ่องเต้ได้ แต่นานวันเข้าจิตใจนางก็ค่อยๆ เยือกเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่วันนี้ต่อให้เยือกเย็นเพียงไร นางจะไม่เอ่ยเตือนก็คงไม่ได้ หากให้ฮ่องเต้กวาดล้างตระกูลสวีจริงๆ เกรงว่าต้าฉู่คงได้วุ่นวายขนานใหญ่เป็นแน่

 

 

ม่อจิ่งฉีอึ้งไป เกิดแสงวาบขึ้นในสมองก่อนตะโกนสั่งว่า “จับตัวฮองเฮาไว้!”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งตะลึงไป แต่ฮองเฮากลับไม่มีท่าทีอันใด เพียงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมมองฮ่องเต้ด้วยความจนใจ

 

 

ฮองเฮาได้แต่ถอนใจเบาๆ ในใจ ฮ่องเต้คิดว่านางจะใช้ความตายเพื่อเตือนสติเขาอย่างนั้นหรือ นางมีฐานะเป็นฮองเฮา และก็เป็นภรรยาของฮ่องเต้ จะให้ฝ่าบาทแบกรับคำตราหน้าว่าบีบภรรยาให้ตายได้อย่างไร

 

 

ม่อจิ่งฉีมองฮองเฮาด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ส่วนองค์หญิงซีฝูก็ไม่เกรงใจเขาเช่นกัน เอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้ ก็เชิญจับกุมหญิงชราอย่างข้าไปด้วยเถิด ข้ายินดีรับโทษสถานเดียวกับสวีซื่อ!”

 

 

เมื่อมีองค์หญิงช่วยออกหน้า คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังก็ต่างพากันร้องตะโกน “ข้ายินดีรับโทษสถานเดียวกับสวีซื่อ!”

 

 

ด้านนอกประตูวัง บนหอสูงที่อยู่เยื้องๆ กันแห่งหนึ่ง หน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบานสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูวังจากไกลๆ ได้พอดี แต่ด้านนอกกลับมองไม่เห็นคนที่อยู่ด้านใน เสียงตะโกนที่ด้านนอกประตูวังก็ย่อมดังเข้ามาถึงอาคารสูงแห่งนี้

 

 

ด้านข้างหน้าต่าง เหลิ่งเฮ่าอวี่ถือจอกสุราเอนหลังพิงกำแพงพร้อมจิบสุราอย่างเกียจคร้าน บุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เป็นบุรุษรูปงามท่าทางสง่า หัวคิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย นิ่งสงบและใสสะอาดประหนึ่งดอกบัว สง่างามประหนึ่งเทพจากชั้นฟ้า จะเป็นผู้ใดไปได้ หากมิใช่สวีชิงเฉิน

 

 

ตั้งแต่สวีชิงเฉินรู้ว่าเยี่ยหลีกลับมาได้อย่างปลอดภัย ซ้ำยังกำลังตังครรภ์ เขาก็รู้ทันทีว่าจะต้องเกิดเหตุขึ้นอย่างแน่นอน และตระกูลสวีไม่มีทางถอนตัวออกจากสถานการณ์นี้ไปได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงรีบจัดการธุระที่ทางใต้ให้เรียบร้อย แล้วรีบเร่งเดินทางไปที่อวิ๋นโจวทันที เมื่อกลับไปถึงอวิ๋นโจว ก็เข้าไปเจรจากับท่านปู่และท่านตาอยู่เป็นนาน แล้วจึงรีบเดินทางมาเมืองหลวง ก็มาทันได้เห็นละครสนุกๆ ฉากนี้พอดี

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่มองประเมินสวีชิงเฉิน นัยน์ตาก็มีประกายชื่นชมขึ้นหลายส่วน เท่าที่เหลิ่งเฮ่าอวี่ดู ในบรรดาคุณชายทั้งห้าของตระกูลสวี ก็มีคุณชายชิงเฉินท่านนี้ที่มีความคล้ายคลึงกับพระชายามากที่สุด ตามปกติก็ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยดี ประหนึ่งยืนตากลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อถึงคราวต้องลงมือ กลับลงมือได้อย่างเด็ดขาดไม่ยอมอ่อนข้อ

 

 

“สถานการณ์เช่นนี้ คุณชายชิงเฉินเห็นว่าม่อจิ่งฉีจะทำเช่นไร” เหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นคนฝึกวิทยายุทธ เขาจึงมีสายตาที่ล้ำเลิศผิดคนธรรมดา จึงเห็นอารมณ์และสีหน้าของม่อจิ่งฉีที่ยืนอยู่นอกประตูวังได้อย่างชัดเจน

 

 

สวีชิงเฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบ สีหน้าดูสบายๆ และสงบนิ่ง ยิ้มเรียบๆ พร้อมเอ่ยว่า “ม่อจิ่งฉีผู้นี้เป็นคนโหดเ**้ยม แต่ขาดความเด็ดเดี่ยว เรื่องในวันนี้ไม่ว่าผู้ใดเป็นคนจัดฉาก เขาก็แก้สถานการณ์ไม่ได้ทั้งสิ้น หากเขาใจแข็งประหารคนสักสามสี่คนตั้งแต่ต้น คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังย่อมสงบลง หากแรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ลังเลที่จะจัดการม่อจิ่งหลี หลีอ๋องจะมีสภาพเช่นวันนี้ได้อย่างไร หากพูดย้อนไปไกลอีกสักหน่อย เมื่อสิบปีก่อนหากเขากำจัดติ้งอ๋องโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะต้องเสียไป จะมีเหตุการณ์เช่นในวันนี้ได้อย่างไร คนที่มีนิสัยเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองสงบ ก็มิอาจเรียกว่าเป็นประมุขที่ประสบความสำเร็จได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ ที่ความวุ่นวายใกล้จะมาถึงเต็มทีแล้วเลย เขาก็เป็นเพียงของที่ถูกคนจับเล่นอยู่ในกำมือเท่านั้น”

 

 

ในใจเหลิ่งเฮ่าอวี่เกิดความรู้สึเย็นวาบขึ้นเล็กน้อย มองบุรุษรูปงามตรงหน้าด้วยความเคารพ คุณชายชิงเฉินมีความสามารถเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้า และยิ่งเลื่องชื่อในเรื่องของความสะอาดบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยวาจาส่อเสียดได้ตรงจุดอย่างเข็มเดียวเห็นเลือดเช่นนี้

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้าเห็นด้วยกับมุมมองของเขา ก่อนหันกลับไปมองเหตุการณ์ตรงหน้าประตูวังอีกครั้ง แล้วสายตาเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที “ฉากสนุกมาแล้ว!”

 

 

ในขณะที่หน้าประตูวังกำลังตึงเครียดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงกังวานและนิ่งเรียบดังลอยมา “กระหม่อม สวีหงเยี่ยน ถวายพระพรฝ่าบาท”

 

 

ผู้คนต่างหันไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน ก็เห็นว่าสวีหงเยี่ยนมิได้อยู่ในชุดขุนนาง แต่กับใส่ชุดสีขาวทั้งตัว ค่อยๆ ก้าวยาวๆ เข้ามา คนที่เดิมตามห่างจากเขาไปสองก้าวก็คือสวีชิงป๋อที่อยู่ในชุดผ้าสีขาวเช่นกัน