ตอนที่ 110 บูชาเทพในบ้าน

คุณแม่จ้าวยังเป็นกังวลว่าหนุ่มสาวจะไม่ใส่ใจ ต้องเห็นลูกชายนำกระดาษแดงไปที่บ้านจ้าวเหวินจื้อถึงจะยอมกลับไป

ที่บ้านของจ้าวเหวินจื้อในตอนนี้ก็ยุ่งมาก

เหล่าหญิงสาวนอกจากเฮ่อซงจือที่ตั้งครรภ์ทำงานเบา ๆ คนอื่น ๆ ก็กำลังทำอาหารมื้อเที่ยงกันอยู่ที่พื้น

พวกผู้ชายติดกลอนคู่ จ้าวเหวินจื้อและพ่อของเขากำลังเขียนกลอนคู่ชาวบ้านอยู่ห้องละหนึ่งคน

“เหวินเทามาแล้ว มาเขียนกลอนคู่เหรอ?” แม่ของจ้าวเหวินจื้อเห็นจ้าวเหวินเทาเข้ามา จึงทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ครับคุณป้า ผมจะมาเขียนกลอนคู่เทพประจำบ้านสักสองสามแผ่นน่ะ” จ้าวเหวินเทากล่าว

“งั้นไปที่ห้องตะวันออกเถอะ ลุงของเธอกำลังเขียนให้ชาวบ้านอยู่” แม่ของเหวินจื้อพูดสองสามคำก็กลับไปทำงานต่อ

จ้าวเหวินเทาเดินเข้าไปด้านในห้องทางทิศตะวันออก บนพื้นมีโต๊ะทรงกลมหนึ่งตัววางอยู่ พ่อของจ้าวเหวินจื้อกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า สวมแว่นตาสำหรับคนสายตายาว ในมือถือพู่กันกำลังเขียนหนังสือ

เพียงแต่กระดาษที่ใช้เป็นกระดาษสีเหลือง บนขอบเตียงเตามีพ่อของชุยต้าคนในหมู่บ้านนั่งอยู่ บนเตียงเตามีกลอนคู่สีแดงหลายแผ่นถูกวางไว้

พ่อของชุยต้าจะมาที่นี่เพื่อเขียนกลอนคู่ทุกปี ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน

จ้าวเหวินเทาทักทายกับพ่อของชุยต้า จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะมองพ่อของจ้าวเหวินจื้อเขียนตัวอักษร

ลุงจ้าวเขียนเสร็จแล้ว จึงวางพู่กันในมือลง นำกระดาษวางบนจักรเย็บผ้าที่อยู่ข้าง ๆ เพื่อตากให้แห้ง เขาพูดกับจ้าวเหวินเทา “ไอ้หนูทำไมเพิ่งมาให้เขียนเอาป่านนี้เนี่ย?”

“ผมจะเขียนกลอนคู่เทพประจำบ้านสักสองสามแผ่นครับ” จ้าวเหวินเทานำกระดาษสีแดงวางลงบนโต๊ะ “แล้วก็เทพแห่งเตาไฟด้วย”

“อันอื่นเขียนหมดแล้วเหรอ?” พ่อของเหวินจื้อถาม

“เขียนแล้วครับ” จ้าวเหวินเทาพยักหน้า

“ให้ใครเขียนล่ะ?” พ่อของเหวินจื้อมองเขา ในหมู่บ้านมีแค่เขาและลูกชายที่เขียนหนังสือได้ จ้าวเหวินเทาคนนี้ไปให้ใครเขียนมา?

“ภรรยาผมครับ” จ้าวเหวินเทาตอบอย่างมีความสุข

“ภรรยาของเธอเขียนกลอนคู่เป็นด้วย?” พ่อของเหวินจื้อมองผ่านหลังแว่นสายตายาวด้วยความประหลาดใจ

จ้าวเหวินเทายิ้ม “หล่อนอยากเขียนผมก็ทำอะไรไม่ได้”

พ่อของเหวินจื้อยิ้ม ไม่ได้ถามอะไรอีก หลังจากรับกระดาษแดงที่จ้าวเหวินเทานำมาก็เริ่มตัดและพับ “บ้านของเธอมีป้ายเทพประจำบ้านไหม?”

“ไม่มีครับ” จ้าวเหวินเทาคิดก่อนจะส่ายหน้าตอบ

พ่อของชุยต้าพูดขึ้นมา “ถ้าไม่มีก็ต้องเขียนป้ายเทพเจ้าขึ้นมานะ ถึงจะบูชาได้” เขาทราบดีถึงเรื่องที่เจ้าหกจ้าวจ้างลูกชายของตนเองไปแบกฟืน

“ก็ได้ ลุง ช่วยผมเขียนสักอันสิ ผมเองก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้” จ้าวเหวินเทากล่าว

“เด็กหนุ่มแบบพวกเธอนี่นะ ไม่มีจิตใจเกรงกลัวอะไรเลย แบบนี้ไม่ดีเลยนะ” พ่อของเหวินจื้อพูดไปพลางก็หยิบกระดาษสีเหลืองหนึ่งกองออกมาจากลิ้นชักในตู้ จากนั้นถามอีกว่า “แล้วเธอบูชาเทพอะไรล่ะ?”

จ้าวเหวินเทานึกถึงเซียนที่พ่อของเขาบูชาในอดีต น่าเสียดายที่เขาไม่สังเกตถึงสิ่งเหล่านี้ จึงลืมไปแล้ว เขาพูดอย่างชาญฉลาดว่า “บูชาทั้งหมดเลย!”

พ่อของชุยต้าตกตะลึง “บ้านของพวกเธอบูชาหมดเลยเหรอ?”

“พวกเราแยกบ้านกันแล้ว ผมเลยบูชาหมด!” จ้าวเหวินเทาพูดโดยที่ใบหน้าไม่แดงและใจก็ไม่ได้เต้นแรง “ผมทำงานค้าขาย ก็หวังว่าเทพเซียนทุกหนแห่งจะอวยพรให้”

พ่อของเหวินจื้อหัวเราะ เขาหยิบกระดาษสีเหลืองออกมาสี่แผ่น เป็นกระดาษรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังจากพับมุมทั้งสองข้างไปด้านหลังแล้ว ก็กางลงบนโต๊ะ ยกพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษรเป็นแนวนอนที่ด้านล่างของมุมทั้งสอง ข้างละคำ : บูชา ตรงกลางเขียนเป็นแนวตั้งว่า ตำแหน่งแห่งเทพจิ้งจอกปกปักรักษาครอบครัว

อีกสามแผ่นที่เหลือก็เช่นเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนจากเทพจิ้งจอก กลายเป็นเทพฉาง และเทพหวง

นี่เป็นป้ายเทพเจ้าประจำบ้าน หลังจากนั้นคือกลอนคู่ กลอนคู่ของเทพประจำบ้านทุกสารทิศแตกต่างกัน

หลังจากเขียนเหล่านี้เสร็จแล้ว ก็เขียนต่อไปอีก ตำแหน่งของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และกลอนคู่ ท้ายที่สุดคือของเทพแห่งเตาไฟ

คนธรรมดาทั่วไปไม่ได้รู้จักทั้งหมดนี้ แต่พ่อของเหวินจื้อเขียนสิ่งนี้โดยเฉพาะ ย่อมมีความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

“ขอประสาทพรจากฟากฟ้า ปกป้องใต้หล้าให้ปลอดภัย” จ้าวเหวินเทาอ่านพลางพยักหน้า “อันนี้ผมจำได้ นี่เป็นกลอนคู่ของเทพแห่งเตาไฟ”

พ่อของเหวินจื้อตอบ “ถูกต้อง นี่คือกลอนคู่ของเทพแห่งเตาไฟ กลับไปถามแม่ของนายก่อนนะแล้วค่อยติด อันนี้ติดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”

“จะติดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไงกันล่ะ ก็ต้องให้เข้ากันสิถึงได้ เรื่องนี้ผมรู้” จ้าวเหวินเทากล่าว

“ยังไงก็ต้องถามแม่เธอ หนุ่มสาวแบบพวกเธอไม่รู้แต่ก็แสร้งทำเป็นรู้ ปีนี้บรรยากาศก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ล้วนเป็นการอวยพร ต้องจริงใจให้มากขึ้นนะเข้าใจไหม?” พ่อของเหวินจื้อกล่าว

ปีนี้จ้าวเหวินเทาเพิ่งจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองและเพิ่งมาเขียนสิ่งนี้ จึงไม่รู้ว่าพ่อของเหวินจื้อคนนี้เป็นคนงมงายขนาดนี้

แต่เขาก็ไม่ได้ย้อนแย้งอะไร เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างไรล่ะ!

คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หมึกก็แห้งสนิท จ้าวเหวินเทาเก็บเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินไปที่ห้องตะวันตกเพื่อทักทายจ้าวเหวินจื้อที่กำลังเขียนกลอนคู่อยู่ จากนั้นจึงกลับบ้าน

ภายใต้คำชี้แนะของคุณแม่จ้าว สองสามีภรรยาจึงนำป้ายเทพเจ้าประจำบ้าน และกลอนคู่ติดไว้อย่างเหมาะสม

จากนั้นก็วางกระดานไว้หนึ่งแผ่น ด้านบนนั้นยังวางถ้วยขนาดเล็กที่มีข้าวฟ่างอยู่ในนั้น ปักธูปลงไป รอจนกระทั่งถึงเวลาเผากระดาษเงินกระดาษทองค่อยวางเครื่องเซ่นไหว้อีกครั้ง

อาหารหลักของมื้อเที่ยงคือข้าวฟ่าง และกับข้าวอีกสองสามอย่าง

อันที่จริงกฎส่วนใหญ่ว่าต้องกินอะไรในวันข้ามปีวันนี้ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่จ้าวนำมาจากบ้านทางฝั่งแม่ของนาง

อย่ามองว่าคุณแม่จ้าวในตอนนี้อยู่ในครอบครัวชนบทตั้งแต่เล็กจนเป็นย่าคน แต่ก่อนหน้านี้ฐานะทางบ้านของนางค่อนข้างดีเลย

นางเกิดมาในครอบครัวชาวนาที่ร่ำรวย มีอาหารและเสื้อผ้าไม่ขาด ย่อมมีความพิถีพิถันเล็กน้อย ส่วนคุณพ่อจ้าวเป็นครอบครัวยากจน แค่กินอิ่มดื่มเพียงพอก็ยังทำไม่ได้เลย จะพิถีพิถันได้อย่างไรกัน?

หากไม่ใช่เพราะทันยุคพิเศษ ด้วยความแตกต่างของทั้งสองคนที่มากขนาดนี้ คงไม่อาจปรองดองกันได้

ปีที่แล้วยังไม่แยกบ้าน ทุกคนก็จะนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน คุณแม่จ้าวจะเป็นคนคิดหาวิธีนำกับข้าวมารวมกัน จากช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดที่มีกับข้าวแค่ผักดองเค็มหนึ่งจานที่นำมาแบ่งใส่สองจาน จนกระทั่งมีกับข้าวสี่อย่าง กับข้าวหกอย่าง ช่วงที่ดีที่สุดก็ทำอาหารถึงแปดอย่าง

แน่นอน ถั่วลิสงก็ถือเป็นกับข้าวหนึ่งอย่าง แอปเปิ้ลแห้งที่ตากแดดในช่วงฤดูร้อนก็เป็นกับข้าวหนึ่งอย่างเช่นกัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ทุกคนก็มีความสุขมาก

ปีนี้แยกบ้านกันแล้ว ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตใครชีวิตมัน คุณแม่จ้าวที่ดูแลครอบครัวนี้มาครึ่งค่อนชีวิตจึงแอบรู้สึกโดดเดี่ยว

“ปกติอยู่ด้วยกันก็พูดคุยเสียงดังเจี๊ยวจ้าว นี่แยกบ้านกันแล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป” คุณแม่จ้าวมองกับข้าวสองจานที่วางอยู่บนโต๊ะ ขณะกล่าว

คนชราสองคนรับประทานกันไม่มาก กับข้าวสี่อย่างก็ถือว่ามากแล้ว เนื้อตุ๋นผักดอง เนื้อตุ๋นเห็ดแห้ง หัวไชเท้าหั่นฝอยเปรี้ยวหวาน และเต้าหู้คลุกต้นหอม

คุณพ่อจ้าวถือจอกเหล้าและรับประทานกับข้าวไปหนึ่งคำ “คุณคิดเรื่องพวกนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ ลืมตอนที่พวกเขาโกรธคุณไปแล้วเหรอ? รีบกินเถอะ ยุ่งมาทั้งเช้าแล้ว อีกเดี๋ยวยังต้องล้างจานอีก นาน ๆ ทีพวกเราสองคนจะได้มีเวลาว่างให้สบายใจแบบนี้”

คุณแม่จ้าวถอนหายใจออกมา

นางรับประทานผักดองของตัวเอง คีบเห็ด หัวไชเท้าและต้นหอม รวมถึงเต้าหู้ที่ลูกสะใภ้สามนำมาให้ด้วยความกตัญญู และเนื้อที่ครอบครัวเจ้าหกให้มาด้วยความกตัญญู ขณะค่อย ๆ รับประทาน อารมณ์ก็ดีขึ้นมา

สามีของนางพูดถูก การใช้ชีวิตก็ดีแล้ว ยุ่งมาเป็นปี ได้รับประทานอาหารดี ๆ ได้ ยังต้องคิดเรื่องพวกนั้นให้มากมายอีกทำไม?

คุณแม่จ้าวคิดได้แล้ว นางจึงรินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก หลังจากชนแก้วกับคุณพ่อจ้าวและดื่มลงคอ รู้สึกสบายเหลือเกิน

แต่เป็นเพราะคุณแม่จ้าวนับถือศาสนาพุทธ ทั้งยังบูชาพระโพธิสัตว์ นางจึงรับประทานมังสวิรัติส่งท้ายปี ดังนั้นหลังจากรับประทานมื้อเที่ยงนี้เสร็จแล้ว จึงต้องล้างหม้อและกระทะทั้งหมดให้สะอาด และนางก็ไม่กล้าดื่มเยอะเกินไปด้วย

ครอบครัวของพี่รองจ้าวก็รับประทานอาหารสี่อย่าง เป็นอาหารที่มีเนื้อหมูทั้งหมด ไม่มีผักเลยด้วยซ้ำ โดยปกติพวกเขาเสียดายที่จะกิน แต่นี่ข้ามปีแล้วจะไม่กินได้อย่างไรกัน?

พี่สะใภ้รองจ้าวเองก็รู้สึกเสียดายมาก เมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งสองคนรับประทานเหมือนกับลูกเสือตัวน้อย ลูกสาวและลูกชายโตขนาดนี้แล้ว ภายในใจของหล่อนย่อมรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

ในตอนนี้พี่สามจ้าวก็ไม่ได้ปวดใจแล้ว รับประทานอย่างใจกว้าง สงบจิตและสบายใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มีอาหารสี่อย่างเช่นเดียวกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เหมือนตอนตรุษจีนจะไม่ได้มีพิธีอะไรเยอะอย่างนี้นะ หรือคนละภาคคนละยุคก็เลยมีธรรมเนียมไม่เหมือนกันหว่า

แยกบ้านกันแล้ว สองคนชราก็จะเหงา ๆ หน่อย

ไหหม่า(海馬)