ตอนที่ 163 มังกรเหมันต์หลบหนี

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เหอะ เก่งนี่ พวกมนุษย์ตัวจ้อย เจ้าหนูน้อยมังกร ความแข็งแกร่งเพียงแค่นั้นกลับไล่ต้อนผู้ยิ่งใหญ่อย่าข้ามาถึงจุดนี้ได้”

หลังจากหันมองจุดที่มังกรเหมันต์ยืนอยู่ กลุ่มนักเรียนโรงเรียนราชสำนักก็พบว่าร่างกายขนาดมหึมาของอสูรสายพันธุ์มังกรได้เปลี่ยนปลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ในพริบตาต่อมาเมื่อแสงจางหายไป มังกรเหมันต์ก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างมนุษย์ก่อนจะปรากฏตัวตรงหน้ากลุ่มของฉินอวี้โม่

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สภาพของมังกรเหมันต์ดูย่ำแย่มาก มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของมันไม่น้อย แถมสภาวะพลังของมันก็อ่อนแอกว่าก่อนหน้านี้อย่างเด่นชัด

เมื่อครู่หลังจากถูกการโจมตีอันทรงพลังของฉินอวี้โม่ซัดจนแทบจะลุกขึ้นยืนไม่ได้แล้ว มังกรเหมันต์ก็นอนนิ่งอยู่ชั่วครู่เพื่อจะทำการฟื้นฟูพลัง อย่างไรที่นี่ก็คือปราสาทของราชินีเหมันต์ อสูรธาตุน้ำแข็งอย่างมันย่อมใช้เวลาเยียวยาร่างกายไม่นานมากนัก ทว่าในตอนนั้นเองจู่ ๆ พลังอีกสายหนึ่งก็จู่โจมเข้ามา เมื่อลืมตาขึ้นมังกรเฒ่าก็พบว่าเป็นฝีมือของเจ้ามังกรทารกที่มันเคยปรามาส และถึงแม้จะสร้างม่านพลังป้องกันขึ้นมาได้ แต่นั่นก็ช้าไปเล็กน้อย พลังบางส่วนของหานอวี้ปะทะเข้ากับส่วนหนึ่งของร่างกายอันใหญ่โต เป็นผลให้เจ้ามังกรเหมันต์ต้องร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด

ทันทีที่รับรู้ว่าคงมีแต่เพียงความพ่ายแพ้เท่านั้นที่รอคอยอยู่ตรงหน้า มังกรผู้อยู่ดูโลกมาหลายพันปีจึงตัดสินใจยุติศึกนี้และคิดจะหลบหนีไป

ด้วยสภาพแสนอันย่ำแย่ของมังกรเหมันต์ทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ โล่งใจไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกนางทุ่มเททำมาทั้งหมดไม่ได้สูญเปล่า

“ข้าจะจดจำความแค้นในวันนี้เอาไว้ !”

สิ้นถ้อยคำแสนอาฆาต มังกรเหมันต์ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาทุกคน มังกรทรงพลังอาศัยความกะทัดรัดและคล่องตัวของร่างมนุษย์เร่งรุดหลบหนี มันเลือกใช้ความว่องไวลัดเลาะไปตามซอกมุมในปราสาทเหมันต์เพื่อไม่ให้ศัตรูติดตามไล่ล่าได้ทัน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายในกลุ่มพันธมิตรไม่คิดจะไล่ตามมังกรเฒ่าไปเพราะการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แม้ว่าจะพยายามสุดชีวิตอย่างไรก็ไม่อาจสังหารมันไม่ได้แน่ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้สถานการณ์ในการแข่งขันสำคัญกว่ามาก

‘มารยา เจ้าตามไปดูทีว่ามันหนีไปจริงหรือไม่’

ฉินอวี้โม่สั่งการอสูรสาวด้วยการสื่อสารทางจิต อดีตนักฆ่าเป็นกังวลว่ามังกรเหมันต์จะหลบหนีไปจริง ๆ หรือเพียงแค่แสร้งหลบฉากออกไปเพื่อหาโอกาสกลับมาจู่โจมพวกนางอีกครั้ง

‘เจ้าค่ะ นายหญิง’

แม้ว่ามันจะเอาชนะมังกรเหมันต์ไม่ได้ แต่แค่สะกดรอยตามมังกรในร่างมนุษย์ที่กำลังบาดเจ็บไปห่าง ๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

“พวกเราเสียหายกันไม่น้อย ข้าว่าควรจะพักกันตรงนี้กันก่อนชั่วคราว”

ปิงเสวียนพาสมาชิกในกลุ่มพันธมิตรของตนไปยังห้องโถงที่อยู่ถัดไป ก่อนจะสั่งการให้เหล่าสหายพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน เพิ่งจะผ่านพ้นศึกหนักหนามาเช่นนี้แม้แต่ร่างกายและจิตใจของเขาเองก็ยังย่ำแย่ไม่น้อย

ทุกคนพยักหน้าและทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน

ศึกระหว่างพวกเขากับมังกรเหมันต์ถือว่าหนักหน่วงยิ่งนัก ทุกคนทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอยู่ ออกไพ่ตายเล่นงานเจ้ามังกร แน่นอนว่าเรี่ยวแรงของพวกเขาจึงแทบไม่มีเหลือแล้ว อีกทั้งยังมีหลายคนได้รับบาดเจ็บด้วย แม้จะไม่มากมายแต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก

“พวกเจ้าคิดว่าที่พวกจีหย่งทำเช่นนั้นเพราะมีจุดประสงค์อะไร ?”

หลังจากนั่งพักกันได้เพียงชั่วครู่ เยว่ชิงเฉิงก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ คุณหนูตระกูลช่างหลอมขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ

เหตุการณ์ลอบโจมตีของพวกจีหย่งเมื่อสักครู่นั้น หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีกันหลายคนและแข็งแกร่งพอจะป้องกันตัวได้ หนึ่งในห้าหัวหน้ากลุ่มที่ถูกลอบจู่โจมก็อาจจะบาดเจ็บสาหัสหรืออาจจะถึงตายเลยก็ได้

แม้ว่านี่จะเป็นการแข่งขันอันยิ่งใหญ่ของโรงเรียนที่มีรางวัลจูงใจมูลค่ามหาศาลเพียงใด แต่ก็ไม่จำเป็นเลยที่จีหย่งกับพวกพ้องจะต้องลงมือให้ถึงแก่ชีวิตของสหายร่วมสถาบันเช่นนี้

“เหอะ คนชั่วช้าอย่างจีหย่งจะมีจุดประสงค์อะไรนอกจากจะจงใจเล่นงานพวกเราให้ได้รับบาดเจ็บ ข้าว่าทุกคนคงจะรู้จักสันดานของจีหย่งกับพรรคพวกดี คนพวกนั้นตอนพวกเราสมบูรณ์พร้อมกลับขี้ขลาดตาขาวไม่กล้าลงมือ แต่พอพวกเราอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีก็จะปรากฏตัวออกมาแว้งกัด”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอย่างกรุ่นโกรธ พฤติกรรมเลวระยำดังกล่าว สองพี่น้องแซ่จีกระทำได้โดยไม่ละอาย นางคิดว่าจีหย่งเป็นคนประเภทนี้โดยสันดาน ต่อให้ฟ้าถล่มไปพวกนางก็คงมิอาจทวงถามหาคุณธรรมความดีงามจากคนเช่นนี้ได้แน่

“เรื่องนั้นก็จริงอยู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าติดใจ เหตุใดคนอย่างรุ่นพี่ลั่วเฉินถึงได้ยอมร่วมกับพวกเขาด้วย ? ถ้ามันเป็นการกระทำที่อยากให้พวกเราถึงตาย คนที่ดูเป็นสุภาพบุรุษอย่างรุ่นพี่ลั่วเฉินก็ไม่น่าสมัครใจยินยอมเข้าร่วม”

เยว่ชิงเฉิงยังคงข้องใจอยู่บ้าง ที่นางสงสัยก็เพราะมีลั่วเฉินมาเกี่ยวข้องด้วย

ในภาพจำของนาง ลั่วเฉินมีภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจมาโดยตลอด ลั่วเฉินถือเป็นบุรุษผู้มีอัธยาศัยดีและสุภาพอ่อนน้อม แม้ว่านางและเขาจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก แต่คุณหนูผู้กว้างขวางในข่าวสารก็เคยพบเห็นและได้ยินเรื่องราวของเขามาหลายครั้ง มองอย่างไร ในใจของนางก็คิดว่าคนที่เป็นสุภาพบุรุษเพียงนั้นก็ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้

“ฮ่า ๆ ๆ อย่าได้ดูคนที่ภายนอก ขนาดข้าที่เคยสู้กับลั่วเฉินหลายครั้งก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาซุกซ่อนตัวตนแบบไหนเอาไว้บ้าง”

หลินซิวหยายิ้ม ก่อนหน้านี้เขาเคยประลองยุทธ์กับลั่วเฉินอยู่หลายคราจนรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีความลึกลับซุกซ่อนเอาไว้มากมาย และในการต่อสู้ที่ผ่านมาก็เหมือนจะยังไม่เคยเอาจริงเลยสักครั้งด้วย แม้แต่เขาที่มีประสบการณ์พบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วนก็ยังดูไม่ออกเลยว่าแท้จริงแล้วลั่วเฉินเป็นคนเช่นไรกันแน่

“ในป่าเหมันต์แห่งนี้ พวกเราทั้งหมดถือว่าเป็นศัตรูกัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก ถึงอย่างไรไม่ว่าใครก็ต้องการรางวัลชนะเลิศกันทั้งนั้น”

ปิงเสวียนกล่าวแสดงความคิดเห็น หากว่ากันตามเหตุผลที่พวกเขาต้องเข้ามาในป่าเหมันต์นี้แล้ว เรื่องที่กลุ่มพันธมิตรพวกนั้นแอบเล่นงานพวกเขาก็นับว่ายังพอเข้าใจได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ติดใจสงสัยหรือคิดว่ามันมีลับลมคมในซ่อนอยู่

“รุ่นพี่ปิงเสวียนพูดถูก เราแค่ระวังตัวให้มากขึ้นก็พอ”

ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาสนับสนุนปิงเสวียน

ไม่นานนักเสียงของมารยาก็เข้ามาในห้วงจิตของฉินอวี้โม่

‘นายหญิง หลังจากมังกรเหมันต์ออกไปจากปราสาทแล้วมันก็บินไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ดูเหมือนมันจะหนีออกไปจริง ๆ แล้วเจ้าค่ะ’

เมื่อได้ยินคำยืนยันจากมารยา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกโล่งอกขึ้น

อย่างน้อย ๆ ในตอนนี้พวกนางก็ไม่ต้องคอยระวังเรื่องมังกรเหมันต์แล้ว ขอเพียงมังกรเหมันต์ออกจากบริเวณนี้ไป พวกเขาก็สามารถออกตามหาผลเยือกมณีอย่างเต็มกำลังได้โดยไร้ความเสี่ยง หลังจากนี้ไปทั้งคณะอาจจะต้องเปลี่ยนแผนการมาเป็นมุ่งเน้นการไล่ล่ากลุ่มภาคีของจีหย่งจนกระทั่งการเแข่งขันจบลงเสียแล้ว

หลังจากพักเอาแรงกันอยู่พักใหญ่ในที่สุดทุกคนก็ลุกขึ้น ระหว่างนั่งพักพวกเขาได้ปรึกษาหารือกันเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะออกตามหากลุ่มของจีหย่งและชิงเอาผลเยือกมณีของพวกเขามา

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กลุ่มพันธมิตรทั้งห้าจะได้ก้าวออกจากห้องโถงที่ยืนอยู่ เสียงประกาศที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจอย่างเหลือล้นก็ดังขึ้น

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้แผ่นป้ายประจำกลุ่มจีหย่งถูกชิงไปแล้ว สิบสองชั่วยามนับจากนี้หากกลุ่มจีหย่งไม่สามารถชิงมันกลับคืนมาได้จะต้องถูกคัดออก”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้แผ่นป้ายประจำกลุ่มจีชางถูกชิงไปแล้ว สิบสองชั่วยามนับจากนี้หากกลุ่มจีชางไม่สามารถชิงมันกลับคืนมาได้จะต้องถูกคัดออก”

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้แผ่นป้ายประจำกลุ่มปู้เฟยเทียนถูกชิงไปแล้ว สิบสองชั่วยามนับจากนี้หากกลุ่มปู้เฟยเทียนไม่สามารถชิงมันกลับคืนมาได้จะต้องถูกคัดออก”

จู่ ๆ ทุกคนก็ได้ยินเสียงประกาศจากทางโรงเรียนที่แจ้งเตือนว่าเหล่าพันธมิตรของจีหย่งทั้งสามกลุ่มถูกชิงป้ายไปพร้อมกันทั้งหมด เรื่องนี้นับว่าก็น่าตกใจและชวนให้งุนงงเป็นอย่างยิ่ง ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้คิดใคร่ครวญหาเหตุผลใด ๆ เสียงประกาศที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็ดังขึ้นตามมาแทบจะในทันที

“นักเรียนที่รักทุกคน ขณะนี้กลุ่มลั่วเฉินได้ครอบครองผลเยือกมณีแล้ว กลุ่มของลั่วเฉินจะขึ้นไปอยู่ในอันดับหนึ่งเป็นการชั่วคราว หากไม่มีกลุ่มใดชิงผลเยือกมณีจากพวกเขาได้ก่อนการแข่งขันจะสิ้นสุด กลุ่มลั่วเฉินจะได้รับรางวัลชนะเลิศ”

……

สิ้นเสียงประกาศนั้น สมาชิกทั้งหมดในกลุ่มพันธมิตรของฉินอวี้โม่ก็ชะงักค้างไป ทุกคนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดแผ่นป้ายของกลุ่มพันธมิตรจีหย่งถึงถูกชิงไปพร้อมกันทีเดียวถึงสามแผ่นป้ายได้ มากกว่านั้นยังถูกชิงผลเยือกมณีอันแสนสำคัญไปด้วย ทว่าที่น่าตกใจมากที่สุดคือ เป็นไปได้ว่านั่นเกิดจากฝีมือของคนเพียงกลุ่มเดียว

เนื้อความประกาศกล่าวว่าผลเยือกมณีตกไปอยู่ในมือของกลุ่มลั่วเฉิน นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของกลุ่มลั่วเฉิน ทว่าพวกเขาทำสิ่งใดหรือทำได้อย่างไรกลับไม่แน่ชัด หากจะกล่าวว่าพวกเขาต่อสู้จนได้รับชัยชนะก็เป็นไปได้ยากมาก เพราะแม้จะมีฝีมือสูงกว่าเล็กน้อยแต่จำนวนคนของลั่วเฉินก็มีน้อยกว่าหลายเท่าตัว

แต่อย่างไรความจริงที่ว่ากลุ่มลั่วเฉินเป็นผู้ลงมือก็ยิ่งทำให้ทุกคนงุนงงหนักขึ้นไปอีก เหตุใดสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะเพิ่งจับมือเป็นพันธมิตรกันได้ไม่นานจึงมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าให้วิเคราะห์จากรูปการณ์ในตอนนี้มีความเป็นได้มากกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนว่ากลุ่มของลั่วเฉินหักหลังสามกลุ่มพันธมิตรจีหย่ง

“หรือจะเป็นว่ากลุ่มของรุ่นพี่ลั่วเฉินแสร้งทำเป็นร่วมมือกับพวกของจีหย่งตั้งแต่แรก พอคนพวกนั้นตายใจก็สบโอกาส ใช้จังหวะช่วงที่พวกมันไม่ทันระวังตัวชิงลงมือจัดการแล้วก็รีบแย่งชิงเอาแผ่นป้ายกับผลเยือกมณีไป เช่นนั้นรึเปล่า ?”

มีคนบางคนตั้งข้อสังเกตขึ้น

เมื่อได้ฟังฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะ นางรู้สึกว่ามันดูไม่สมเหตุสมผล ต่อให้เขาแสร้งทำเป็นร่วมมือกันแล้วรีบฉวยโอกาสอย่างไรก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับได้แผ่นป้ายของคนสามกลุ่มมาพร้อม ๆ กันได้ในพริบตาที่สำคัญยังได้มาแม้กระทั่งผลเยือกมณีสิ่งล้ำค่าที่สุดในเวลานี้ด้วยเป็นแน่

ทุกคนย่อมทราบว่าหากไม่รวมอสูรมายา กลุ่มพันธมิตรของจีหย่งก็มีจำนวนรวมมากถึงสิบห้าคนแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชิงแผ่นป้ายมาจากการคุ้มกันของคนสิบห้าคนรวมถึงอสูรมายาจำนวนหนึ่งได้ในคราวเดียว

นอกเสียจากว่าลั่วเฉินจะแข็งแกร่งกว่าสมาชิกนับสิบของจีหย่งอย่างห่างชั้นกันมากจริง ๆ เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อลองพิจารณาให้รอบด้านจะพบว่า ยังมีข้อสันนิษฐานอื่นอยู่อีกเช่นกัน นั่นก็คือจีหย่งจำยอมส่งมอบป้ายประจำกลุ่มให้ลั่วเฉินด้วยตนเอง ซึ่งในข้อสันนิษฐานนี้ก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือจีหย่งอาจจะถูกบีบบังคับด้วยเหตุผลบางประการจนต้องส่งแผ่นป้ายให้อีกฝ่ายเพราะไร้ทางเลือก หรืออีกอย่างก็คือบุรุษแซ่จีรวมถึงลูกน้องกำลังถูกควบคุมจิตใจอยู่ และเขาอาจจะส่งมอบสิ่งมีค่าให้อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

ทว่านอกเหนือจากนี้ก็ยังมีข้อสันนิษฐานอีกประการหนึ่งที่มีความเป็นไปได้พอ ๆ กันนั่นคือ กลุ่มของจีหย่งร่วมมือกับกลุ่มของลั่วเฉิน โดยจีหย่งแสร้งมอบป้ายประจำกลุ่มและผลเยือกมณีให้ลั่วเฉินไว้เป็นการชั่วคราวเพื่อสร้างกลอุบายล่อลวงให้คณะของฉินอวี้โม่เข้าไปติดกับ กล่าวง่าย ๆ ก็คือทุกอย่างเป็นหลุมพราง !

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่มีแนวโน้มจะเชื่อในความเป็นไปได้สุดท้ายมากกว่า แต่ก็ไม่ทราบเลยว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่

เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงทุกคนก็ยิ่งสับสนกันหนักขึ้นไปอีก มันเป็นแผนการแบบใดกันที่ทำให้พวกจีหย่งถึงขั้นยอมมอบสิ่งล้ำค่าที่มีผลตัดสินการแข่งขันทั้งหมดให้แก่ลั่วเฉินเพื่อดำเนินการ ?

เมื่อหันไปมองใบหน้าของคนอื่น ๆ ทั้งเหล่าสหายของนางเอง ทางฝั่งของเพ่ยหลง รวมถึงกลุ่มของปิงเสวียน ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าหลายคนก็กำลังเกิดข้อสงสัยและความคิดเห็นที่ตรงกันกับตนเอง

ทุกคนหันหน้ามองกันก่อนที่ปิงเสวียนจะสั่งการให้สหายทั้งหมดระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษ ทุกคนยังคงตกลงที่จะจับกลุ่มกันเพื่อตามหากลุ่มของลั่วเฉินที่น่าจะเป็นผู้กุมกุญแจดอกสำคัญเอาไว้

….

ในเวลาเดียวกัน สถานการณ์ในอีกด้านหนึ่งของปราสาทเหมันต์ก็กำลังตึงเครียด กลุ่มพันธมิตรของจีหย่งก็กำลังปะทะกับกลุ่มของลั่วเฉินอย่างดุเดือด

ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ในโถงทางเดินกว้างในหอคอยหลังหนึ่ง กลุ่มของจีหย่งที่มีสมาชิกสิบห้าคนกำลังถูกกลุ่มของลั่วเฉินทื่มีสมาชิกเพียงห้าคนล้อมเอาไว้ ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มพันธมิตรจีหย่งเต็มไปด้วยด้วยความเดือดดาลระคนคั่งแค้น

“ลั่วเฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”

จีหย่งตวาดกร้าว ใบหน้าที่อัดแน่นด้วยโทสะนั้นแดงก่ำ บนขมับปรากฏเส้นเลือดปูดโปนเห็นได้ชัด

แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นแผนการของลั่วเฉิน คราแรกบุรุษผู้อยู่ในอันดับที่สองแห่งทำเนียบนภาต้องการให้จีหย่งเอาผลเยือกมณีออกมาเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อคณะของฉินอวี้โม่ และเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเชื่อใจกัน เขาจึงเสนอให้สองฝ่ายเอาแผ่นป้ายออกมาแลกกันเก็บเอาไว้ นี่ก็เพื่อป้องกันการทรยศเพราะหากมีคนทรยศ อย่างน้อย ๆ ถ้าเสียแผ่นป้ายตัวเองไปก็ถือว่าถูกคัดออกกันทั้งสองฝ่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีฝ่ายไหนคิดทรยศและความร่วมมือก็จะราบรื่น

แต่ผู้ใดจะคาดคิดได้ว่าในตอนที่จีหย่ง จีชาง และปู้เฟยเทียนซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยทั้งสามในกลุ่มพันธมิตรนำแผ่นป้ายและผลเยือกมณีออกมา ลั่วเฉินและพวกพ้องจะฉวยโอกาสนั้นแย่งมันไปจากมือของพวกเขาซึ่ง ๆ หน้า เรื่องนี้ทำให้ทางฝ่ายจีหย่งถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและโกรธเคืองกันอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้

“จีหย่ง เจ้าอย่าเพิ่งหัวเสียไป”

ลั่วเฉินยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนหรือกดดันเมื่อได้ยินวาจาแสนเดือดดาลของจีหย่งเลยแม้แต่น้อย

“ข้ารู้ดีว่าระหว่างเจ้าและฉินอวี้โม่มีความแค้นต่อกันไม่น้อย ถ้าข้ามอบโอกาสให้เจ้าได้ล้างแค้นนางอย่างหมดจด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ ?”

ลั่วเฉินเอ่ยปากถาม ครั้งนี้ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ดูนุ่มนวลเป็นสุภาพบุรุษอีกต่อไป ใบหน้าของเขาในเวลานี้แปลกออกไป มันเผยให้เห็นถึงด้านที่ชั่วร้ายอย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นมาก่อน ความอำมหิตและเลือดเย็นในแววตาฉายชัดทำให้ทุกคนที่กำลังจ้องมองรู้สึกหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ

อย่างไรก็ตาม จีหย่งที่กำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ลั่วเฉินกล่าวออกมาก็ไม่ได้มีเวลาใส่ใจกับความผิดปกติของบุรุษตรงหน้าในตอนนี้

“พูดจริงรึเปล่า ?”

จีหย่งไม่ได้ตอบรับ แต่เป็นจีชางที่ส่งเสียงถามด้วยความตื่นเต้น

ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ จีชางเป็นหนึ่งในบุคคลที่แค้นเคืองฉินอวี้โม่มากที่สุด สตรีน่ารังเกียจผู้นั้นไม่เพียงแค่ชิงอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งไปจากเขาเท่านั้น แต่ยังหยามหน้าเขาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในโรงเรียน

จีชางรู้สึกเคียดแค้นชิงชังฉินอวี้โม่เข้ากระดูก ในเรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดี

“แน่นอน”

ลั่วเฉินยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แล้วเจ้าต้องการอะไรจากเรา ?”

จีหย่งไม่ใช่คนโง่ เขาไม่คิดว่าลั่วเฉินจะมาช่วยพวกเขาแก้แค้นฉินอวี้โม่โดยไร้จุดประสงค์แน่นอน ในเมื่อเขาเป็นคนเสนอแนวทางแสดงว่าย่อมต้องมีข้อเรียกร้องอะไรบางอย่างเป็นแน่

“ถ้าข้าบอกว่าข้าต้องการรางวัลชนะเลิศล่ะ พวกเจ้าจะว่าอย่างไร ?”

ลั่วเฉินกล่าวลองเชิงออกไป และมันก็ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องตระกูลจีรวมถึงพวกพ้องทั้งหมดเปลี่ยนไปในฉับพลัน

ดูเหมือนว่าสำหรับพวกจีหย่งแล้วอันดับที่หนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้จะสำคัญกว่าการแก้แค้นฉินอวี้โม่

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าคงรับไม่ได้แน่”

ราวกับอ่านจิตใจของอีกฝ่ายได้ ลั่วเฉินหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวต่อ

“เอาเถอะ ในเมื่อครั้งนี้เราต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ข้าจะไม่เอาเปรียบพวกเจ้ามากนัก ข้าจะไม่ขอรางวัลชนะเลิศจากพวกเจ้าก็ได้”

“งั้นก็รีบพูดมา ตกลงเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ?”

สีหน้าของจีหย่งเริ่มจะบิดเบี้ยวเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่ยอมเข้าประเด็นเสียที

“ข้าต้องการอันดับที่หนึ่งในทำเนียบนภา ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตำแหน่งนั้นมีปิงเสวียนครอบครองอยู่ แถมฉินอวี้โม่ก็เป็นดาวรุ่งที่น่ากลัว ขอเพียงแค่ข้ามีโอกาสได้เล่นงานทั้งสองคนอย่างหนักหน่วง ข้าก็จะสามารถยึดอันดับที่หนึ่งมาครอบครองได้ อันดับที่หนึ่งของทำเนียบนภาเป็นสิ่งที่ข้าใฝ่ฝันมานานแล้ว สำหรับข้าแล้วมันน่าดึงดูดกว่ารางวัลชนะเลิศประเภทกลุ่มนี่เป็นไหน ๆ”

ลั่วเฉินยิ้ม แววตาของเขาดูมีความคาดหวัง น้ำเสียงดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา

เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย จีหย่งก็ค่อย ๆ พยักหน้า เป็นเหตุผลที่เรียกว่า*‘ฟังขึ้น’*  บุรุษผู้อยู่ในอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภาเชื่ออย่างสนิทใจ

ต้องทราบก่อนว่า ลั่วเฉินและปิงเสวียนเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกัน ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มเข้ามาในโรงเรียนราชสำนัก ตั้งแต่ทำเนียบดาวรุ่งไปจนถึงทำเนียบนภา ไม่ว่าจะในการประชันขันแข่งหรือชิงตำแหน่งใด ๆ ลั่วเฉินก็มีผลงานโดดเด่นเป็นที่น่าจับตามอง เขาคว้าอันดับต้น ๆ ของทุกการแข่งขันและเอาชนะทุกผู้คนที่เขาต้องการได้เสมอ ยกเว้นเพียงผู้เดียวที่ลั่วเฉินไม่เคยเอาชนะได้และต้องยืนอยู่ใต้เงาของคนผู้นั้นตลอดมานั่นคือปิงเสวียน

แน่นอนว่าลั่วเฉินเองก็มีความปรารถนาในอันดับที่หนึ่ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาคงจะต้องการเอาชนะบุรุษผู้มีนามว่าปิงเสวียนให้ได้ หากได้อยู่ในอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบนภาก็จะเสมือนเป็นการประกาศชัยชนะเหนือปิงเสวียนและเป็นการประกาศถึงความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่และเป็นที่หนึ่งของตนเอง

จีหย่งเองพอจะเข้าใจความรู้สึกที่โหยหาอันดับหนึ่งของลั่วเฉินดีเพราะตัวเขาก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ทว่าเบื้องหน้าเขานั้นมีทั้งปิงเสวียนและลั่วเฉิน คนทั้งคู่มีฝีมือล้ำหน้าเขาไปมากจนเขาไม่อาจจะตามทันได้ เขาจึงไม่ได้วาดหวังไว้มากมายอย่างคนตรงหน้า

“ตกลง พวกเราจะเชื่อเจ้า แต่การที่เจ้าเอาป้ายของพวกเราไปก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าถึงวันพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องถูกคัดออก เช่นนั้นก็จะกลายเป็นฝ่ายของพวกเราสามกลุ่มที่ต้องเดือดร้อน”

แม้ว่าจะพยักหน้าเห็นด้วยและบอกว่าจะเชื่อใจลั่วเฉิน แต่จีหย่งก็ยังขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด บุรุษแซ่จีผู้พี่กำลังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องแผ่นป้าย

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เห็นจะต้องรอให้ครบวันเลยนี่ ขอเพียงแค่เรากำจัดฉินอวี้โม่ให้ได้ภายในวันนี้ ข้าก็จะคืนแผ่นป้ายให้พวกเจ้าทันที”

ลั่วเฉินหัวเราะดังลั่นก่อนจะกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ

“เช่นนั้นก็เอาเถอะ แล้วเจ้าวางแผนไว้อย่างไรบ้าง ?”

แม้ว่าในใจของจีหย่งจะยังคงมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างค้างคาอยู่ แต่หลังจากชั่งใจแล้วเขาก็พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของลั่วเฉิน

ต้องยอมรับว่าแรงชักจูงส่วนใหญ่นั้นเกิดจากความปรารถนาจะแก้แค้นฉินอวี้โม่ เพราะหากไม่ใช่เวลานี้ หรือไม่ได้ยืมมือลั่วเฉินผู้นี้ ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่ในโรงเรียนเขาอาจจะไม่มีวันได้แก้แค้นสตรีผู้นั้นอีก ยิ่งถ้าหากเขาออกจากโรงเรียนไปแล้วจะมีผู้ใดรับประกันว่าฉินอวี้โม่จะไม่รังแกจีชางน้องชายของเขา

“ไม่ยากเลย ขอแค่พวกเจ้า…..”

….

ขณะเดียวกัน ไกลออกไปยังอีกฟากหนึ่งของปราสาทเหมันต์ แน่นอนว่าทางด้านคณะของฉินอวี้โม่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงแผนการร้ายที่พวกเขากำลังจะเผชิญหน้าในอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า

ทุกคนมุ่งหน้าเดินทางเพื่อออกไล่ล่าผู้ครอบครองผลเยือกมณีอย่างมุ่งมั่น

.