ภาคที่ 2 บทที่ 41 มองหานางในหมู่คน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 41 มองหานางในหมู่คน

พริบตาเดียว เวลา 3 ปีก็ผ่านพ้นไป

นับตั้งแต่ที่เขาปล่อยตัวไป๋โอวและคนอื่น ๆ ไปในวันนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ซูเฉินว่าไว้ ตระกูลเหล่านั้นไม่มาตามรังควานเขาอีก

พวกเขาแค่อดกลั้นไว้ชั่วคราวหรือยอมแพ้ไปเลย ? ซูเฉินไม่รู้และไม่สนใจ

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มมุ่งศึกษาแต่เรื่องการบ่มเพาะพลังและการทดลองของตนเองเท่านั้น

การค้นคว้าตำราเปิดพลังไคฮวงของเขาเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสุดท้าย

เขาพยายามใช้กฎแห่งบรูคเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่คงที่ของพลังงานต้นกำเนิด หลังจากใช้เวลาทดลองคิดคำนวณอยู่ 3 ปี ในที่สุดก็มาถึงขั้นสุดท้าย

ในวันนี้ ซูเฉินทำการคำนวณขั้นสุดท้ายเสร็จสิ้น กำลังตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย เขาค่อย ๆ วางยันต์พลังต้นกำเนิดลงบนค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด

ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดส่องแสงสว่างวาบ จากนั้นก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงซับซ้อนขึ้น

แสงกะพริบวาบขึ้น ส่องสว่างแพรวพราวยิ่งกว่าแสงใด ในที่สุดก็เกิดเป็นแสงหลายแสงพุ่งขึ้นท้องฟ้า เป็นปรากฏการณ์น่ามองยิ่ง

“สำเร็จ !” ซูเฉินกำมือชูขึ้นด้วยความดีใจ

การคำนวณค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดของเขาในครั้งนี้บ่งบอกว่าคำตอบที่ซูเฉินได้มาอาจมีความเป็นไปได้

หมายความว่าในเชิงทฤษฎี เขาสามารถสำเร็จตำราเปิดพลังไคฮวงส่วนหนึ่งได้แล้ว

ความฝันของฉือไคฮวงในการสร้างวิถีทางให้คนไร้สายเลือกสามารถทะลวงถึงขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตนั้นสำเร็จแล้ว

ซูเฉินรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นที่พุ่งพล่านอยู่ภายในร่าง

หลังจากทำการทดลองและค้นคว้าอย่างยากลำบากมายาวนานถึง 4 ปี ทำการคำนวณวันแล้ววันเล่า เริ่มใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดใจที่ไม่ยอมแพ้ก็ทำให้เขาทำสำเร็จจนได้

ซูเฉินดีใจมากจนอยากร้องไห้ออกมา

เขาเอนกายลงบนแผ่นไม้ภายในหอ เฝ้ามองกลุ่มแสงสว่างจ้าของพลังต้นกำเนิดที่ลอยอยู่เหนือหัว ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสความสุขสงบเช่นนี้มาก่อน

“ช่างงามเสียจริง” เขาพึมพำกับตนเอง

ในใจเขาเต็มไปด้วยความสุขความปีติ

เขารู้ว่าจากวันนี้ไป เขาจะเป็นคนหนึ่งที่สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้เผ่ามนุษย์

ตำราเปิดพลังไคฮวงถูกลิขิตไว้ให้เป็นเหตุการณ์สำคัญในการค้นหาความก้าวหน้าของการบ่มเพาะพลังของเผ่ามนุษย์ เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถทะลวงพลังถึงด่านกลั่นโลหิตได้ หรือก็คือผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรจะสามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้ด้วยความมุมานะของตนเอง ไม่จำเป็นต้องถูกปิดกั้นให้หยุดอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณไปตลอดอีกต่อไป

กระทั่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเลือดผสมก็ยังได้รับประโยชน์ไปด้วย

พื้นฐานสูงขึ้นย่อมหมายความว่าเผ่ามนุษย์ย่อมสามารถได้รับสายเลือดที่มีระดับสูงขึ้นด้วย

อย่างไรเมื่อแข็งแกร่งขึ้น มนุษย์ย่อมมีความสามารถในการสรรหาสายเลือดระดับสูงขึ้น มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นจึงจะสามารภสนับสนุนสายเลือดเหล่านี้ได้ ความสามารถในการดูดซับและใช้พลังจากสายเลือดเองก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วย

ทั้งสองอย่างเพิ่มสูงขึ้นมาก

ดังนั้นการมีอยู่ของตำราเปิดพลังไคฮวงจึงช่วยเพิ่มฐานพลังของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหลายขึ้นมาก

ยกตัวอย่างเช่น หากเผ่ามนุษย์มีความสามารถในการต่อสู้อยู่ระดับ 17 เช่นนั้นตำราเปิดพลังไคฮวงสามารถเปลี่ยนเลข 1 ให้กลายเป็นเลข 2 ได้ มันสำคัญถึงเพียงนั้น !

แค่เพียงคิดก็ตื่นเต้นเกินจะต้านทานแล้ว

เขาเอนหลังนอนอยู่กับพื้นอยู่ครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงเริ่มผ่อนความตื่นเต้นในใจลงได้บ้าง

ในตอนที่กำลังสงบใจตน เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ด้านนอก

คือหวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์นั่นเอง

หวังโต้วซานสวมชุดผ้าแพรสีเหลืองปักลายปลาคาร์ป ประดับหยกห้อยรูปตัวผีซิว(1) ที่เอว ที่เท้าสวมรองเท้าแปดทรัพย์หลอมทอง ส่วนผมถูกมัดเป็นทรงคล้ายกระเรียนมงกุฎ ใบหน้ากลมยิ่ง บนใบหน้าขาวซีดมีสีกุหลายแต้มอยู่ เขาตัวอ้วนนัก ลูกตาจึงดูราวกับจะถูกเนื้อโดยรอบกลืนเข้าไป

ส่วนจินหลิงเอ้อร์สวมชุดกระโปรงสั้นสีกุหลาบ ชุดคลุมสีแดงยาวมีลายปักปลาคาร์ปสีทองที่แขนเสื้อยาวสลวย เชือกสีทองผูกเป็นรูปกุหลาบอยู่ที่เอว สวมรองเท้าแบนสีกุหลาบเลื่อมทอง เผยให้เห็นขายาวและผิวสีหิมะ ผมถูกมัดเป็นหางม้าสองข้างซ้ายขวา นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย จมูกงามเชิดขึ้นสูงเล็กน้อย น่ารักสมชื่อเสียงเรียงนาม

ซูเฉินเปิดประตูออก พอเห็นชุดของคนทั้งสอง เขาก็ถามขึ้นยิ้ม ๆ “ลมอะไรหอบพวกเจ้ามาถึงที่นี่ได้ ?”

จินหลิงเอ้อร์นัยน์ตาเป็นประกาย “วันนี้เป็นวันรวมตัวสิ้นปี ! เจ้าลืมวันลืมเวลาอีกแล้วหรือ ?”

“คืนหลั่งโลหิต ?” ซูเฉินร้องถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

นับเป็นประเพนีที่ไม่ได้รับการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรของศิษย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ทุกสิ้นปี ศิษย์ที่มีชั้นปีเท่ากันจะมารวมตัวกัน

หลังจากลำบากมาทั้งปี ทุกคนก็หวังได้มีโอกาสผ่อนคลายบ้าง การรวมตัวสิ้นปีจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุนี้

ดังนั้นในเวลานี้ของทุกปีจึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ศิษย์ชายทั้งหลายต่างมีความสุขที่สุด เหล่าศิษย์หญิงมากมายต่างลดกำแพงลง ยอมร่วมหลับนอนกับศิษย์ชายที่ตนชื่นชอบ

แม่นางผู้ใสซื่อและบริสุทธิ์จะเปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นหญิงสาวในค่ำคืนนี้ ดังนั้นจึงมีอีกชื่อหนึ่งคือ ‘คืนหลั่งโลหิต’

นับเป็นงานเดียวในสถาบันที่ซูเฉินเข้าร่วม

ซูเฉินไม่คิดจะทำลายความบริสุทธิ์ของแม่นางผู้ใด หากแต่มีเพียงงานรวมตัวเช่นนี้เท่านั้นที่เขาจะได้พบหน้ากู่ชิงลั่วอีกครั้ง

กระทั่งตัวซูเฉินเองยังไม่อาจอธิบายได้ว่าเหตุใดตนจึงอยากพบหน้ากู่ชิงลั่ว

บางทีอาจเพราะเขายังไม่อาจลืมนาง หรืออาจเพราะความกังวล

ทุกคืนหลั่งโลหิต ซูเฉินจะนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เฝ้ามองกู่ชิงลั่วอย่างเงียบเชียบ

ด้วยกลัวว่ากู่ชิงลั่วจะจากไปพร้อมกับคนอื่น

ทุกครั้งที่เห็นกู่ชิงลั่วเดินจากไปเพียงลำพัง ในใจเขาก็รู้สึกดียิ่งนัก

เรื่องนี้กลายเป็นความยึดติดที่ฝังลึกลงภายในจิตใจเด็กหนุ่มไปแล้ว

ปีนี้นับเป็นปีที่ 4 ของซูเฉินในสถาบันมังกรซ่อนเร้น คืนหลั่งโลหิตกลายเป็นประเพนีของเหล่าศิษย์ เมื่อผ่านพ้นคืนนี้ไปพวกเขาก็จะกลายเป็นศิษย์ปี 5 ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว..

เมื่อได้ยินว่าซูเฉินเรียกงานว่า ‘คืนหลั่งโลหิต’ จินหลิงเอ้อร์ก็พลันหน้าแดง ก่อนที่สายตาจะเหลือบมองไปยังซูเฉิน “พวกเจ้าก็คิดแต่เรื่องลามกสกปรก”

ซูเฉินอยากร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา ข้าเพียงเรียกมันว่าคืนหลั่งโลหิตเท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็น ‘ข้าคิดแต่เรื่องลามกสกปรก’ ไปได้ ?

เขารู้ว่าแก้ตัวไปก็ไม่ได้อันใด ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นเพียง “ข้าจะไปตามอวิ๋นเป้า”

“รีบไปเถอะ มีเวลาไม่มากแล้ว จะเริ่มการรวมตัวกันแล้วนะ !” หวังโต้วซานเร่ง

“อย่าลืมเปลี่ยนชุดด้วย !” จินหลิงเอ้อร์เอ่ยเตือน

ปกติแล้วซูเฉินจะสวมชุดคลุมธรรมดาที่ทางสถาบันมอบให้ เนื่องจากเสื้อผ้าเช่นนี้เหมาะกับการทำการทดลองมากกว่า แต่ครั้งนี้เขาสวมชุดคลุมผ้าแพรยาวสีกรมท่า เชือกรัดเอวสานด้วยสีฟ้าเข้มและทอง ผูกเป็นทรงพู่โชคดี เขาสวมรองเท้าสีทองปักลายหน่อไผ่ ผมมัดขึ้นเป็นทรงซาลาเปา ปอยผมตกลงเคลียแก้มสองข้างเล็กน้อย ผิวพรรณสะอาดสะอ้านนุ่มลื่น เผยกลิ่นอายคุณชายผู้สง่างาม

จินหลิงเอ้อร์มองเขาแล้วอดหน้าแดงไม่ได้

ส่วนอวิ๋นเป้าสวมชุดคลุมผ้าหยาบสีเทาที่เขาสวมอยู่เป็นประจำ สวมรองเท้าหญ้าสานเรียบง่าย เผยให้เห็นทั้งแขนขวา และเพื่อไม่ให้ผมพะรุงพะรังปิดบังการมองเห็น เขาจึงมัดมันไว้ด้วยผ้าเส้นหนึ่ง เดิมทีซูเฉินคิดจะให้เขายืมชุดตน แต่อวิ๋นเป้ากลับตอบว่า “ข้าไม่คิดจะออกไปพบแม่นางใด ดังนั้นข้าไม่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์”

ซูเฉินไม่อาจพูดโต้กลับ เขามองไปยังผิวสีเข้มและใบหน้ามั่นคงของอวิ๋นเป้า

คนทั้งสี่ออกจากหอไปด้วยกัน จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสถานที่รวมตัว

เมื่อเดินทางมาถึงก็พบว่าที่ลานรวมตัวเริ่มจุดโคมกันแล้ว

โคมผลึกแก้วหลายโคมกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ก่อเกิดเป็นรูปร่างหลากหลาย

ลานเต้นรำนั้นตั้งอยู่ตรงกลางลานรวมตัว เป็นพื้นที่ส่วนรวมให้เหล่าศิษย์ใช้เต้นรำและพูดคุยสนทนากัน

บนลานเต้นรำมีคนอยู่ทั่วทุกพื้นที่

ศิษย์ชายต่างแต่งตัวกันราวกับเป็นไก่ตัวผู้ผู้เย่อหยิ่ง ต่างพยายายามอวดข้อดีตนเอง เบ่งกล้ามน่าดูชม ส่วนศิษย์หญิงก็แต่งตัววาบหวิวนัก แต่ละคนดูงดงามเย้ายวนตา ไม่ว่าพวกนางคิดจะดื่มด่ำไปกับค่ำคืนนี้หรือไม่ หากแต่ในตอนนี้ต่างไม่มีใครยอมใคร

ข้าตอบปฏิเสธเจ้าได้ แต่ข้าก็จะพยายามยั่วยวนเจ้าเช่นกัน !

เหล่าศิษย์ชายนั้นเป็นราวกับฉลามได้กลิ่นเลือด เลือกเหยื่อตนด้วยการตามกลิ่น พวกเขาฝ่าฝูงคนออกตามหาเหยื่อของตนเอง ใช้คำพูดล่อลวง ใช้การกระทำยั่วยวน ทำทุกวิถีทางที่มี

หวังโต้วซานเบิกตามองกว้าง มองหาเหยื่อของตนเองทั่วทุกที่ เมื่อเห็นดังนั้นจินหลิงเอ้อร์ก็บ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงสะอิดสะเอียนออกมา

ซูเฉินเองก็มองหาไปในฝูงชนเช่นกัน

หากแต่เขาไม่ได้มองหาเหยื่อ เขามองหาคนคนหนึ่ง

สายตาเด็กหนุ่มมองผ่านผู้คน เมินแสงสีสวยงามและแม่นางแต่งหน้าจัดทั้งหลายไป สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ตรงมุมหนึ่งที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง

แม่นางผู้หนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ตรงนั้น นางสวมชุดศิษย์หญิงที่ทอจากหนอนหม่อน คลุมด้วยผ้าคลุมไหล่สีหิมะปักลายท้อแดง ผ้าพันเอวผืนยาวถูกผูกเป็นรูปโบว์ สวมรองเท้าสีเมฆ ผมกลัดขึ้นสูงด้วยปิ่นมุก เรือนผมนางทิ้งตัวลงราวกับน้ำตก ผิวพรรณนุ่มลื่น คิ้วงามดั่งใบหลิว นัยน์ตาใสกระจ่าง ราวกับกำลังมองหาคนในฝูงชนอยู่

ในตอนที่เขามองเห็นนาง สายตานางก็มาหยุดลงที่เขาเช่นกัน

ท่ามกลางหมู่คนนับพัน คนสองคนสบตากัน

เวลาหมุนช้าลงจนหยุดลงในที่สุด