ตอนที่ 612

Elixir Supplier

612 หญิงสาวจากเจียงหนาน

 

“ก็ได้ ผมผิดเอง พ่อยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยนะ” ซางจี้หมินยิ้ม

 

“มันก็พูดยากนะ เขามีชื่อเสียงในเขตเมี่ยวมาหลายสิบปีแล้ว ชื่อเสียงขนาดนี้ เขาก็คงต้องมีฝีมืออยู่บ้างล่ะมั้ง” ซางกู้จื้อพูด “แต่ถึงแม้หวังเย้าจะอายุยังน้อยมาก เขาก็เป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจมาก พ่อได้คุยกับเขามาแล้วหลายครั้ง พ่อแทบจะไม่ได้เจอกับคนที่มีความรู้เรื่องยาจีนได้มากเท่าเขามาก่อนเลยล่ะ”

 

“มีชื่อเสียงเหรอ? พูดเกินจริงกันไปเองรึเปล่าครับ?” ซางจี้หมินพูด

 

“ไม่หรอก การรักษาโรคและการช่วยชีวิต ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับความรู้และความสามารถของคนคนหนึ่งมากกว่าเรื่องอื่น ถ้าความสามารถของเขาไม่มากพอ เขาก็คงจะหลอกคนได้แค่ช่วงสั้นๆ แต่ไม่มีทางอยู่มาได้นานขนาดนี้หรอก ถ้าเขาไม่มีความสามารถจริง เขาก็คงจะรักษาชื่อเสียงที่ดีมานานเป็นสิบๆปีไม่ได้ ตรงกันข้าม ระยะเวลาที่ผ่านมา กลับทำให้เขาดังขึ้นเรื่อยๆมากกว่า” ซางกู้จื้อพูด

 

เขาฝึกฝนการรักษามาหลายสิบปี เขาจึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน การรักษาและช่วยคนล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถที่แท้จริงของแพทย์แผนจีนแต่ละคน

 

“คนหนึ่งเคยได้ยิน ส่วนอีกคนได้เห็นกับตา” ซางจี้หมินพูด “พ่อคิดว่า ถ้ามีวันหนึ่งพวกเขาสองคนได้มาเจอกันจริงๆล่ะครับ? มันจะเกิดอะไรขึ้น?”

 

ซางกู้จื้อเงียบไปครู่หนึ่ง “พวกเขาคงไม่มีทางได้เจอกันหรอก”

 

พวกเขาทั้งสองอาศัยอยู่ในสถานที่เรียบง่ายและแทบจะไม่ออกไปไหนเลย คนหนึ่งอยู่ใต้ ส่วนอีกคนหนึ่งอยู่เหนือ

 

“ถ้าครับ ผมบอกว่าถ้า” ซางจี้หมินพูด

 

“พ่อไม่รู้ แต่มันก็คงจะไม่รักใคร่กลมเกลียวกันได้หรอก” ซางกู้จื้อพูด

 

“การต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์สินะ” ซางจี้หมินพูด

 

ซางกู้จื้อไม่ได้ต่อบทสนทนานี้อีก

 

หลังจากส่งคนทั้งสองกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ปิดประตูคลินิกและกลับบ้าน

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?” บนหน้าผากของตู้หมิงหยางมีแผ่นกระดาษติดอยู่

 

“เรากำลังเล่นไพ่กันอยู่น่ะ” ตู้หมิงหยางยิ้ม

 

“บ่ายนี้ฉันไม่มีโชคสักนิด เอาแต่แพ้ตลอดเลย” เขาพูดอย่างรื่นเริง

 

“เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“อยากจะเล่นด้วยกันไหม?” ตู้หมิงหยางถาม

 

“เอ่อ ไม่ล่ะครับ ผมขอดูเฉยๆดีกว่า” หวังเย้ายิ้ม จากนั้น เขาก็เดินไปหยิบกาน้ำชาและเทชาให้กับทุกคน

 

เขามองดูพี่เขยของเขาตั้งใจเล่นแพ้ แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมา การเป็นลูกเขยที่จะทำให้พ่อตามีความสุขได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และยังทำแบบโจ่งแจ้งไม่ได้อีกด้วย

 

“เพื่อนของนายมาเหรอ?” ตู้หมิงหยางถาม

 

“ครับ เหล่าซางมาหาน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“อ่อ หมอแก่ๆคนนั้นใช่ไหม?” ตู้หมิงหยางถาม

 

“ใช่ครับ เขาเป็นคนที่น่านับถือมาก” หวังเย้าพูด

 

ตอนบ่าย ทั้งครอบครัวไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย พวกเขาเพียงเล่นไพ่และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

 

“โอ้ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ!” จางซิวหยิงมองดูท้องฟ้าด้านนอกที่เริ่มมืดแล้ว

 

“ครับ เวลาดีดีมักผ่านไปเร็วเสมอ!” ตู้หมิงหยางยิ้ม

 

“เอาล่ะ ทุกคนเล่นกันไปก่อนนะ แม่จะไปทำอาหารมาให้กินกัน” จางซิวหยิงพูด

 

“ผมช่วยนะครับ” ตู้หมิงหยางรีบลุกขึ้น

 

“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด

 

อาหารที่กินไปตอนเช้ายังเหลืออีกมาก และส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้กิน เธอแค่ต้องนำออกมาอุ่นและทำอาหารจานผักสักสองอย่างก็ได้แล้ว

 

“คุณป้าไม่ต้องทำหลายอย่างก็ได้นะครับ” ตู้หมิงหยางพูด

 

“ไม่เยอะหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงยิ้ม ยิ่งเธอมองเขามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งชอบเธอมากเท่านั้น

 

หลังจบมื้อเย็น ทั้งครอบครัวก็นั่งดูรายการทีวีและพูดคุยกันไปด้วย หวังเย้าขึ้นไปบนเขาตอนประมาณสามทุ่ม เขายังมีเรื่องต้องทำ ก็คือการทำยาให้กับหวูถงชิ่งจากปักกิ่ง

 

เมื่ออาการป่วยอยู่ในจุดหนึ่งแล้ว ก็จะทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดลงไปเท่านั้น จื่อจินซู่, ป่ายเฉา, กานเฉา, ปาเจียวถง… ยาบรรเทาความเจ็บปวดที่ขั้นตอนไม่ซับซ้อน แต่ให้ผลดี

 

หวังเย้าใช้สูตรยาเดียวกับที่ใช้รักษาโจวหวูคัง

 

ตัวยาที่เขาต้องการล้วนมีอยู่ครบ ส่วนปาเจียวถงก็มีอยู่ในแปลงสมุนไพรของเขา

 

ตัวยาถูกต้มด้วยไฟอ่อนๆ กลิ่นหอมของตัวยาลอยออกไปทั่วทุกทิศ

 

ด้านนอกตัวกระท่อม สายลมพัดโชยมาอ่อนๆ แสงไฟดับลง ราตรีเข้าปกคลุมทั่วทั้งเนินเขา

 

อยู่ๆก็มีเสียงเบาๆดังขึ้น ซานเซียนเดินออกมาจากบ้านสุนัข ต้าเซี่ยกระพือปีกอยู่บนกิ่งไม้และดูคล้ายกับจะโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เสี่ยวเฮยแหวกหน้าออกมาจากกอหญ้า

 

หวังเย้าที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ลืมตาขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น?

 

เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พล่าเลือน มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า ภูเขากำลังเคลื่อนไหวอยู่ เมื่อเขาตั้งใจฟัง ทุกอย่างก็เงียบสนิท ภูเขาคืนสู่ความสงบ

 

ในตอนเช้า พระอาทิตย์ขึ้นเหมือนเช่นทุกวัน หวังเย้าลงไปจากเนินเขาแต่เช้า หลังจากทานอาหารที่บ้านแล้ว เขาก็ไปที่คลินิก

 

หวูถงชิ่งยังไม่มา แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอก็คือ กู้หยวนหยวน สาวเจียงหนานเมืองน้ำ (เจียงหนานเป็นเมืองเก่า เป็นที่รู้จักในเรื่องของสะพานแม่น้ำและลำคลอง)

 

“สวัสดีค่ะ คุณหมอ” น้ำเสียงของเธออ่อนโยนราวกับสายฝนในเจียงหนาน

 

“ทำไมเป็นเธอที่มาล่ะ?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

 

“ท่านเลขาหวูมาไม่ได้ เพราะมีงานเข้ามา ท่านเลยส่งฉันมารับยาแทนค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

“อ้อ นี่ครับยา” หวังเย้าหยิบยาออกมา

 

“แล้วราคาละคะ?” เธอถาม

 

“10,000 หยวนครับ” หวังเย้าพูด เป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับปาเจียวถงครึ่งต้น

 

กู้หยวนหยวนจ่ายเงินในทันที เธอถามว่า “คุณหมอจะว่างเดินทางไปปักกิ่งได้เมื่อไหร่คะ?”

 

“ตอนนี้ ผมยังไม่มีแผนที่จะไปหรอกครับ” หวังเย้าพูด

 

“โอเคค่ะ หมอหวังมีเรื่องอะไรต้องการให้ฉันทำอีกไหมคะ?” กู้หยวนหยวนถาม

 

เธอเป็นเหมือนกับ เด็กสาวข้างบ้านที่เขินอาย

 

“ผมไม่ต้องการอะไรแล้วครับ ขอบคุณ” หวังเย้าพูด

 

“ถ้าอย่างนั้น ลาก่อนนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

จุดประสงค์หลักในการมาที่นี่ของเธอก็คือการมารับยา ส่วนอีกเรื่องก็คือ การถามว่าหวังเย้าจะเดินทางไปปักกิ่งได้เมื่อไหร่ ทั้งหมดล้วนเป็นคำสั่งที่เธอได้รับมาก่อนจะมาที่นี่ แน่นอนว่า หากหวังเย้าต้องการอะไร เธอจะรายงานกลับไปที่ตระกูลหวูทันที

 

“เดินทางปลอดภัยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

ก่อนจะไป เธอยังโค้งคำนับให้เขาด้วย

 

“ทำแบบนั้นทำไมครับ?” หวังเย้ารีบโบกมือ พลังงานที่มองไม่เห็นถูกส่งออกไปเพื่อพยุงตัวเธอขึ้น

 

“ขอบคุณที่พูดให้ฉันครั้งก่อนนะคะ เขาไม่โผล่มาให้เห็นอีกเลย” กู้หยวนหยวนพูด

 

“ไม่เป็นไรเลยครับ แต่เขาไม่มารบกวนคุณอีกก็ดีแล้ว” หวังเย้าพูด

 

“ฉันจะแต่งงานตอนวันที่ 1 พฤษภาคมนะคะ ถ้าคุณมีเวลา เชิญมาร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วยนะคะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

“ได้ครับ” หวังเย้าพูด “ยินดีด้วยนะครับ”

 

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูด

 

ในตอนที่กู้หยวนหยวนกำลังจะกลับ เธอก็บังเอิญเจอเข้ากับหวังรุ่ยที่มาหาหวังเย้าที่คลินิก

 

“สวัสดีค่ะ” เมื่อเห็นว่า หญิงสาวใบหน้าแดงเรื่ออย่างคนสุขภาพดีจับจ้องมาที่ตัวเอง เธอจึงทักทายออกไปด้วยท่าที่ขัดเขิน

 

“อาห์ สวัสดีค่ะ คุณมาหาหมอเหรอคะ?” หวังรุ่ยถาม

 

“เปล่าค่ะ ฉันมาเอายาน่ะค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

“คุณมาจากไหนเหรอคะ?” หวังรุ่ยถาม

 

“ปักกิ่งค่ะ” กู้หยวนหยวนพูด

 

“แล้วคุณอายุเท่าไหร่เหรอ?” หวังรุ่ยถาม

 

“หา?” กู้หยวนหยวนอึ้งไป

 

“พี่” เสียงหวังเย้าดังออกมาจากด้านใน เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงประตู

 

“ไม่มีอะไรๆ” หวังรุ่ยยิ้มและเดินเข้าไปด้านใน

 

“นี่ ผู้หญิงคนนั้นสวยดีนะ ดูท่าจะเป็นเมียที่ดีได้เลยล่ะ” หวังรุ่ยพูด

 

“เธอกำลังจะแต่งงานเดือนพฤษภานี้ ก่อนหน้าพี่แค่ไม่กี่เดือน” หวังเย้าพูด

 

“โถ น่าเสียดายจริงๆ” หวังรุ่ยพูด

 

“น่าเสียดายตรงไหนกัน เธอมีคนรักอยู่แล้ว และเพราะเรื่องนั้น ทำให้เธอถึงกับปฏิเสธความรวยของคนที่เข้ามาจีบเธอ เธอเป็นผู้หญิงหนักแน่นมากเลยนะ” หวังเย้าพูด

 

“ถึงพูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ฉันจะแต่งงานกับพี่เขยของนายตอนตุลานี้แล้วนะ” หวังรุ่ยพูด “แล้วนายล่ะ? นายเลิกกับถงเวยแล้วใช่ไหม?”  ที่คลินิก เมื่อได้อยู่เพียงลำพังกับน้องชาย ก็ดูเหมือนว่าเธอจะกลายเป็นเดิมอีกครั้ง

 

“ใช่” หวังเย้าพยักหน้า

 

หลายเดือนที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้โทรหรือส่งข้อความหากันเลยสักครั้ง พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย มันจะหมายความเป็นอย่างอื่นนอกจากการเลิกกันได้ยังไง?

 

“แล้วนายมีแฟนใหม่รึยัง?” หวังรุ่ยถาม

 

“ยัง” หวังเย้าพูด

 

“นายชอบแบบไหนล่ะ? ผมยาว? ตัวสูง?” หวังรุ่ยถาม

 

“พี่ ผมว่า พี่ควรจะเอาแรงไปลงไปที่เรื่องงานแต่งของพี่กับพี่เขยจะดีกว่านะ ถ้าเป็นไปได้ ก็มีลูกสักคน พ่อแม่ของเราชอบเด็กมาก พี่ก็ทำหลานสักสองสามคนมาให้พวกเขาเลี้ยงก่อนได้เลย” หวังเย้าพูด

 

“ทำหลานสักสองสามคนเหรอ? นายคิดว่าฉันเป็นแม่หมูหรือไงยะ? เด็กสองสามคนงั้นเหรอ!” หวังรุ่ยตะโกน

 

“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” ตู้หมิงหยางเดินเข้ามาจากด้านนอก

 

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ” หวังรุ่ยพูด “ที่ทำงานของคุณพอจะมีสาวๆที่ใช้ได้สักคนไหม จะได้แนะนำให้เสี่ยวเย้าได้รู้จัก?”

 

“หา?” ตู้หมิงหยางอึ้งไป “ไม่มีปัญหา ฉันจะลองกลับไปหาดูให้นะ”

 

 

โรงพยาบาลเหลียนชาน

 

“หมอ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?” หญิงวัยกลางคนถามด้วยความร้อนใจ

 

ตอนเช้า สามีของเธอขึ้นเขาเพื่อพาแกะไปกินหญ้า แต่เขากลับมาเร็วกว่าทุกทีและบอกว่ารู้สึกไม่สบาย เขามีไข้ขึ้นสูงและไม่ยอมกินยาลดไข้ เขาไม่ได้ใส่ใจกับอาการป่วยของตัวเองเลย แล้วอยู่ๆเขาก็หมดสติไป ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอจึงรีบพาตัวเขามาที่โรงพยาบาล

 

“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมขอตรวจดูอาการของเขาก่อน” หมอพูด

 

พวกเขาให้ยาลดไข้เป็นอันดับแรก และให้ญาติช่วยเช็ดตัวเพื่อลดไข้ ผลตรวจจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะออกมา

 

“ความดันโลหิตสูง 140/180 อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 95 ต่อนาที” หมอพูด “เขาเป็นสามีของคุณใช่ไหม?”

 

“ใช่ค่ะ” เธอพูด

 

“เขาเคยมีประวัติเรื่องโรคหัวใจมาก่อนไหมครับ?” หมอถาม