บทที่ 1270 – สัตตะดวงใจอสูร

 

“ตลอดชีวิตของข้าการได้ดื่มสุรารสเลิศเช่นนี้มันเปรียบดังสวรรค์โปรด นี่คือสุราที่ควรจะเป็น”

 

ในฐานะผู้นำนิกายแห่งสำนักสวรรค์เร้นลับ มันอาจกล่าวได้ว่าเขาได้ลิ้มรสสุรามามากมาย แม้จะเป็นสุราที่ถูกบ่มมาเป็นเวลามากกว่าพันปีรสชาติของมันก็ยังคงทั่วไป แต่สำหรับเหล้าบ๊วยของชิงสุ่ย แม้ว่าจะมีอายุไม่กี่พันปี นอกจากรสชาติที่เกินจะพรรณนา คุณสมบัติที่ได้รับจากมันก็ยิ่งใหญ่ในระดับสวรรค์อีกด้วย

 

ชิงสุ่ยหมักบ่มสุราจำนวนมากเอาไว้ภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ดังนั้นเขาจึงสามารถนำมันออกมาแจกจ่ายได้โดยไม่กังวล

 

ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ดังนั้นเขาจึงใช้แนวทางปฏิบัติของชายชาตรีซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ชายชราทั้งสองคนเห็นถึงความพยายามของชิงสุ่ย ในภายภาคหน้าพวกเขาแต่เต็มใจช่วยเหลือชิงสุ่ยไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

 

“ผู้อาวุโส ในตอนเช้าของทุกวัน พวกท่านจะต้องดื่มสุราที่ข้าได้มอบให้อย่างน้อย 1 จอก ข้าอาจจะไม่รับประกันว่ามันจะช่วยยืดอายุไขของพวกท่านให้ยาวนานยิ่งขึ้น แต่อย่างน้อยพวกท่านจะอายุยืนอีก 100 ปี ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งสองคนยังคงต้องการมองเห็นความสำเร็จของสำนักสวรรค์เร้นลับ”

 

ชายชราทั้งสองคนสามารถมองเห็นผลลัพธ์โดยไม่ต้องซึ่งคำอธิบายของชิงสุ่ย วันนี้ พวกเขาต่างก็ดื่มมันเป็นจำนวนมากจนเริ่มเมามาย สัมผัสของพวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงผลลัพธ์ที่ได้จากเหล้าบ๊วย และยังรับรู้ถึงการประสานงานระหว่างเหล้าและฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต นี่อาจเรียกได้ว่าผลลัพธ์กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

” ถูกต้องแล้วล่ะ นี่คือความปรารถนาของพวกข้า พวกข้าปรารถนาที่จะได้เห็นสำนักสวรรค์เร้นลับเจริญก้าวหน้า”

 

……………..

 

“ท่านผู้อาวุโส นิกายปฐพีซ่อนเร้นนั่นมีเป้าหมายคืออะไร?”ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันช้าไปนิดหน่อยที่เขาเพิ่งได้เอ่ยถามเรื่องนี้

 

“นิกายปฐพีซ่อนเร้น เป็นนิกายที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก แท้จริงแล้ว พวกมันต้องการที่จะกลืนกินมหาทวีปอูเซียตะวันตกทั้งมหาทวีป”ชายชราตอบกลับชิงสุ่ยหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

 

“กลืนกินมหาทวีปอูเซียตะวันตกทั้งมหาทวีป? ความโลภของพวกมันช่างมหาศาลนัก แต่ข้าสงสัยเหลือเกินว่าพวกมันมีความสามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้จริงๆหรือ?”ชิงสุ่ยกำลังตกตะลึง

 

“ตอนนี้อาจจะยังไม่ อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะมีสองสาวกผู้ซึ่งมีพรสวรรค์โดดเด่นปรากฏตัวขึ้นภายในนิกายปฐพีซ่อนเร้น นอกจากนี้ดูเหมือนพวกเขาจะสืบสายเลือดโดยตรงมาจากสกุลหลี่ พวกมันกำลังเฝ้าคอยบ่มเพาะศิษย์อัจฉริยะทั้งสองคน เพื่อที่จะได้ดำเนินตามแผนการที่พวกมันวางไว้”ชายชราขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเป็นกังวลเรื่องศิษย์อัจฉริยะทั้งสอง

 

“ทั้งสองคนนี้มีความน่ากลัวจริงๆงั้นรึ?”ชิงสุ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น การที่ทำให้ชายชรานามสกุลสุยให้ความสำคัญได้แสดงว่าจะต้องไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดา

 

“ทั้งคู่คือผู้ฝึกสัตว์อสูร ดูเหมือนพวกเขาจะครอบครองสัตตะดวงใจอสูร ตามตำนานเล่ากล่าวกันว่าพวกเขาสามารถควบคุมสัตว์อสูรจำนวนมากที่มาจากภูเขารกร้าง แถมสัตว์อสูรแต่ละตัวก็มีพลังอันน่าสะพรึงกลัวอีกด้วย พวกเขามีอายุประมาณ 100 ปี และตอนนี้ก็น่าจะมีความแข็งแกร่งประมาณ 4,000 สุริยา บอกข้าสิ ว่าพวกเขาน่าหวาดกลัวหรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงศักยภาพทางกายที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นิกายปฐพีซ่อนเร้นจึงทุ่มเทและเลี้ยงดูพวกเขาขุมทรัพย์ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอบเร้นเข้าไปสังหารพวกเขาทั้งสองคน”ชายชรานามสกุลสุยไม่เคยกล่าวเรื่องนี้กับชิงสุ่ย ดูเหมือนว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่เขาจะอธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง

 

“ผู้ฝึกสัตว์อสูร?”ชิงสุ่ยตกตะลึง ในบรรดาจอมยุทธ ผู้ฝึกสัตว์อสูรคือภัยร้าย ไม่มีใครรู้ว่าสัตว์อสูรที่พวกเขาเลี้ยงมีพลังมากเพียงใด แต่ส่วนใหญ่มักจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกสัตว์อสูร มันเปรียบดังนักรบ 10 คนที่กำลังเผชิญหน้ากับนักรบเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นผู้ฝึกสัตว์อสูรจึงได้เปรียบทางด้านพลังและจำนวน

 

“ถูกต้อง ชิงสุ่ย ถ้าหากเจ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา เจ้าจงพึงระวังตัวเอาไว้ ในตอนนี้พวกเขามุ่งหน้าดำเนินตามแผนการที่จะยึดครองมหาทวีปอูเซียตะวันตกก่อนจะวางแผนมุ่งยึดมหาทวีปอื่นๆ”ชายชรามองไปที่ชิงสุ่ยด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

 

“อย่าได้กังวล ข้ามีวิธีในการจัดการของข้าเอง ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรขั้นเริ่มต้น บางทีในตอนนี้ข้าอาจจะยังไม่ดีเท่าพวกเขา แต่ในอนาคตสัตว์อสูรของข้าเพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรของพวกมันเป็น 10 ตัวได้”ชิงสุ่ยคิดถึงกลองสะบั้นสวรรค์ ตะเกียงร้อยวิญญาณ หินสลักมังกรขด ถ้าหากสิ่งของเหล่านี้ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก 1 ระดับ พวกมันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันมหาศาล

 

และเมื่อถึงตอนนั้นเพียงแค่มังกรไอยราเกล็ดทองคำและวิหคเพลิงก็เพียงพอที่จะทำลายสัตว์อสูรของศัตรู

 

“พวกเราเชื่อมั่นในตัวเจ้า นี่จึงทำให้พวกเรารู้สึกโล่งอกโล่งใจ ในที่สุดพวกเราก็สามารถยุติการทำงานและเริ่มพักผ่อน เราจะช่วยเจ้าในการสนับสนุนซูหนี่และในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนคอยระวังภัยให้กับสำนักสวรรค์เร้นลับ”

 

เมื่อตัดสินจากคำกล่าวอย่างเป็นทางการของชายชรา ชิงสุ่ยก็รู้แล้วว่าเป้าหมายของชายชราเป็นอันเสร็จสิ้น เขายิ้มและตอบกลับชายชราว่า “ท่านผู้อาวุโส หัวใจของท่านยิ่งใหญ่นัก ในอนาคตท่านจะได้รับรางวัลกลับคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่า”

 

เนื่องด้วยคำรับประกันจากชิงสุ่ย แม้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนจะเป็นคนที่ใช้นามสกุลสุยและเฉา หรืออีกความหมายก็คือพวกเขาก็มีตระกูลเป็นของตนเอง พวกเขาต่างก็รู้ดีถึงคุณสมบัติของตระกูลตนเองว่าไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าควบคุมสํานักสวรรค์เร้นลับ โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ย่อมมีจิตใจที่ลำเอียง คนล้วนอยากเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนต้องการ แต่ในตอนนี้ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นภัยพิบัติย่อมกลับมาสู่มือพวกเขา ดังนั้น ชายชราทั้งสองคนจึงไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ตระกูลของตนเองเข้ามาครอบงำและยึดครองสํานักสวรรค์เร้นลับ

 

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ผู้อาวุโสทั้งสองถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

เมื่อใดก็ตามที่พบเจอคนที่ตั้งใจช่วยเหลืออะไรอย่างเต็มใจ นั่นก็เป็นความหมายว่าบุคคลคนนั้นคือเพื่อนแท้ยามเมื่อเจอปัญหา ดังนั้นเมื่อเวลาวิกฤตมาถึง เพื่อนแท้ก็จะปรากฏ

 

เมื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆเกี่ยวกับนิกายปฐพีซ่อนเร้น ชิงสุ่ยก็ได้กล่าวคำอำลาผู้อาวุโสทั้งสองคน

 

ในขณะที่เขากลับมายังลานกว้างหน้าบ้านของตนเอง หญิงสาวทั้งหลายก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาพูดคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อชิงสุ่ยกลับมาถึงเขาก็นั่งลงระหว่างกลางของติ๊เฉินและองค์หญิงใหญ่

 

ช่วงเวลาเฉลิมฉลองวันปีใหม่ใกล้มาถึง สำนักสวรรค์เร้นลับเต็มไปด้วยความรื่นเริง วัฒนธรรมการเฉลิมฉลองวันปีใหม่มั่งคั่งยิ่งกว่าสิ่งที่ชิงสุ่ยคาดคิดเอาไว้ มันคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

 

คืนพรุ่งนี้คือวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนต่างใช้เวลาร่วมกันในการรับประทานอาหารเย็น ตัวของชิงสุ่ยรู้สึกสงบนิ่ง ตลอดเวลาที่เขาเตรียมอาหารเย็นมันเป็นเวลาที่เขามีความสุข

 

ในยามราตรี คนอื่นๆได้จากไป แต่ก่อนที่จะจากไป องค์หญิงใหญ่ได้เฝ้าดูชิงสุ่ยที่ดูแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจกลับคำพูดได้ มันไม่ใช่ความกลัว แต่ จากรูปลักษณ์ขององค์หญิงใหญ่ที่มองดู เหมือนว่าเธอจะรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก

 

ชิงสุ่ยกล่าวอำลาและส่งเธอกลับคฤหาสน์  หลังจากที่เขาส่งทุกคนกลับ ชิงสุ่ยก็จับมือติ๊เฉินแล้วเดินเล่นไปรอบๆพร้อมทั้งมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่กำลังทอแสงอย่างงดงามลงสู่พื้นดิน ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาเปรียบดังนางอัปสรที่ลงมาจากคฤหาสน์จันทรา เธอยังคงงดงามและทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในความฝัน

 

” ข้ารู้สึกได้จริงๆว่าจิตใจของเจ้านั้นดูเหมือนกำลังสงบ แต่เลือดในกายของเจ้ากำลังพลุ่งพล่าน”ติ๊เฉินกล่าว

 

“เลือดในกายหยาบของข้ากำลังเดือดพล่าน มันเป็นเพราะความปรารถนาในร่างกายของข้าที่ถูกรั้งเอาไว้”ชิงสุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม

 

“ติ๊เฉิน ข้ากำลังวางแผนที่จะรวบรวมมหาทวีปอูเซียตะวันตกเข้าด้วยกันเป็นปึกแผ่น เจ้าว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร?”ชิงสุ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

 

“เจ้ากำลังวางแผนที่จะครอบครองและเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมหาทวีปอู่เซียตะวันตกอย่างนั้นหรือ?”ติ๊เฉินจ้องมองชิงสุ่ยด้วยท่าทางที่ตกใจ

 

“ข้ามีแผนอยู่ในใจแล้ว แต่ตอนนี้แผนนั้นยังคงเป็นเรื่องยากอยู่เล็กน้อย”ชิงสุ่ยจ้องมองติ๊เฉินที่กำลังประหลาดใจขณะตอบกลับ

 

“ยากอยู่เล็กน้อย?”ติ๊เฉินมองชิงสุ่ยและค่อยๆสงบลง เธอค่อยๆยิ้มและเอ่ยถาม

 

“สำหรับตอนนี้ ความยากเหล่านั้นดูเหมือนจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ข้าคิดว่า ข้าจำเป็นต้องรอไปอีกสักระยะ เมื่อโอกาสนั้นมาถึง มันก็จะเป็นเวลาที่ข้าจะให้เจ้าเข้ายึดครองนิกายบงกชเทวะหรือตัดสินใจให้เจ้าครอบครองสำนักสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยจ้องมองติ๊เฉินด้วยท่าทางที่ซับซ้อน

 

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าคิดว่าข้าควรอยู่กับนิกายบงกชเทวะ สำหรับที่แห่งนี้ซูหนี่ย่อมสมควรกว่า”

 

“ไว้เราค่อยมาตัดสินกันหลังจากช่วงเวลาเฉลิมฉลองวันปีใหม่เสร็จสิ้น การเจรจากับผู้นำนิกายจะเริ่มต้นด้วยการหาทางออกร่วมกันที่สงบ หากไม่เป็นผลข้าเองจะเป็นคนเริ่มต้นสงคราม”

 

“ชิงสุ่ย……….ผู้นำนิกายนั้นเป็นคนที่ดีมากจริงๆ นั่งเป็นเพียงผู้หญิงที่น่าเวทนาเท่านั้น”ติ๊เฉินอธิบายพร้อมทั้งถอนหายใจ

 

“ชายที่กระทำต่อนางก็สมควรได้รับการพิจารณา แต่บางสิ่งบางอย่างมันเป็นสิ่งที่นางก็ทำมันแนะนํามันเข้าสู่ตัวเอง”

 

“สตรีทุกคนล้วนแล้วแต่น่าสังเวชใจ”ติ๊เฉินจ้องมองชิงสุ่ยอย่างไม่เต็มใจ

 

“เอาเถิด มันเป็นความผิดของข้าเอง”ชิงสุ่ยยอมจำนนทันทีที่เห็นดวงตาอันมืดมนของติ๊เฉิน

 

ในยามราตรี ชิงสุ่ยยังคงอยู่ในห้องของติ๊เฉิน เขาบรรจงจูบเธอเหมือนเด็กหวงของ มือทั้งสองของเขายังคงซนและเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกาย เขาทั้งรู้สึกพึงพอใจและทรมานใจในเวลาเดียวกัน

 

ติ๊เฉินโอบกอดเข่าในขณะที่เธอรับรู้ได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าในร่างกาย แต่มันก็เหมือนว่าเธอเองก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอกระซิบเบาๆข้างหูของชิงสุ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าต้องการในตัวข้าก็จงรับมันไป ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้”

 

ชิงสุ่ยตกตะลึงขณะที่เขาจ้องมองติ๊เฉินพร้อมกับเธอรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้รู้สึกทรมานแม้แต่น้อย ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังไม่พร้อม ข้าจะรอคอยวันที่เจ้าทะลวงผ่านระดับพลังที่เจ้าติดขัด หลังจากนั้น ข้าจะเป็นคนพาเจ้าทะลวงขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า และจะให้เจ้าเป็นคนกำเนิดลูกๆที่แสนน่ารักของข้า เจ้าว่าอย่างไร?”

 

“เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หยุดสัมผัสร่างกายข้าได้แล้ว ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้”ติ๊เฉินกล่าวเบาๆ

 

เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของเธอ แม้แต่ชิงสุ่ยเองก็แทบจะสูญเสียการควบคุมตัวเองไป