ตอนที่189 ฉันคือบอส

หวานเจียพาเฟิงเต๋อมาห่าจ้าวเฉียน ส่วนทางด้านเฟิงเต๋อกลับหันไปคุยดีบอู่เลอโดยตรงว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อเฟิงเต๋อ ตอนนี้ผมกำลังสร้างโปรเจคหนังเกี่ยวกับธีมรถแข่งอยู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจเข้าวงการนี้ไหมครับ? บางทีคุณอาจได้แจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ ผมเคยทำหนังมาทั้งหมดสามเรื่อง และทั้งสามเรื่องได้รางวัลบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งหมด พร้อมกวาดรายได้กว่าพันล้านหยวน ไม่ทราบว่าคุณสนใจทางด้านนี้ไหมครับ?”

อู่เลอส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป้าหมายของผมคือเป็นนักแข่งระดับโลก ไม่ใช่นักแสดงหรือดาราครับ”

เฟิงเต๋อยังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และชักชวนต่อว่า

“คุณหาเงินในฐานะนักแข่งได้ปีละเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมดูถูกอาชีพนี้นะครับ แต่อยากให้ลองคิดดู อาชีพนี้ใช้ชีวิตเสี่ยงบนสนามอยู่ตลอดเวลา ค่าเหนื่อยที่ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่นัก แต่เมื่อคุณมาเป็นดารา คุณสามารถนอนกินกับค่าลิขสิทธิ์ได้ในอนาคตในตอนที่ดังแล้ว”

แต่ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็กล่าวขัดจังหวะเฟิงเต๋อขึ้นทันใด

“ผู้กำกับเฟิง อย่าไปตื้อเขาเลยครับ เขาบอกว่าไม่สนก็คือไม่สนใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงเต๋อจางหายไปในทันใด เขาโมโหอย่างมากที่จ้าวเฉียนมาพูดขัดจังหวะเขาแบบนี้

“นี่คุณอายุเพิ่งเท่าไหร่? ทำไมถึงพูดกับผมแบบนี้? ผมยังไม่เคยเสียมารยาทพูดแทรกคุณเลยสักครั้งนะ?”

ผู้กำกับเฟิงเต๋อคนนี้คิดว่า จ้าวเฉียนเป็นแฟนคลับของอู่เลอ และไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่า ชายคนนี้จะเป็นบอสของทีมแข่งรถทีมนี้

ไม่ต้องพูดถึงเฟิงเต๋อ แม้แต่หวานเจียงเองก็ไม่คิดว่าจ้าวเฉียนจะเป็นบอสใหญ่ของทีมนี้

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเสียอย่างมาก และกล่าวต่อว่าเฟิงเต๋อทันที

“ทำไมคถณถึงพูดกับบอสผมแบบนั้น?”

ทั้งเฟิงเต๋อและหวานเจียงแทบสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมา

เฟิงเตจ๋อเอ่ยย้ำคำถามทันที

“ชายคนนี้เป็นบอสของทีมคุณเหรอ?”

อู่เลอยิ้มตอบทันทีว่า

“ผมพูดออกไปขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่าเขาเป็นใคร?”

“ไม่ใช่ว่า…การจะเป็นเจ้าของทีมแข่งรถต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนหลักล้านต่อปีเลยเหรอ? แต่เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ตัวเองมาหนิ?”

เฟิงเต๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง

“ผู้กำกับหน้าใหม่? ฮ่าฮ่า…บอสจ้าว บอสผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่?”

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที

“อ้าวบอส อยากเป็นผู้กำกับก็ไม่บอก มีอะไรที่พวกเราพอช่วยได้บ้างไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ถ้ามีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราพร้อมช่วยเต็มที่นะครับ อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเงินบอสได้บ้าง”

“พวกนายไล่ตามความฝันของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันอยากเป็นผู้กำกับมีชื่อเสียงบ้างน่ะ แบบปั้นหนังสักเรื่องให้ดังติดประเทศอะไรแบบนั้น”

“งั้นเอาผมไปเล่นเลย! ผมอยากเป็นแบบดอม โทเร็ตโต้!”

“ฮ่าฮ่าๆ…”

จ้าวเฉียนและพวกอู่เลอระเบิดหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน เธอมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นแบบนี้ เธอหันไปพูดกับจ้าวเฉียนทันที

“ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่า นายจะมาลงทุนในทีมแข่งรถด้วย วิสัยทัศน์ของนายกว้างไกลกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ! ทีแรกก็คิดว่านายเป็นแค่ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะแห้งเป็นคำตอบ เจือสงสัยว่านี่เธอกำลังชมหรือด่ากันแน่?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“เธอก็น่าจะรู้ ฉันเป็นพวกอยู่ไม่สุขถ้าเก็บเงินอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้ระบายเงินออกไปบ้าง ฉันคงนอนไม่หลับ ก็เลยเอามาลงทุนกับความฝันของพวกเขา และฉันเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากนะ ที่เลือกเดิมพันได้ถูกทีม”

ยามนี้ความประทับใจของเฟิงเต๋อที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาต้องการเจรจาเรื่องเล่นหนังกับอู่เลอเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงญาติดีกับจ้าวเฉียนเข้าไว้

แม้เขาจะไม่ค่อยต้องการที่จะยอมรับความจริงข้อนี้เท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง บอสของอู่เลอคนที่เขาอยากได้ไปเป็นตัวเอกคือจ้าวเฉียน

เมื่อเป็นแบบนั้น เฟิงเต๋อจึงยิ้มกล่าวกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณจ้าว ผมขอคุยกับนักแข่งของคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหม?”

จ้าวเฉียนสละทิ้งรอยยิ้มก่อนหน้าไปทันที เขาส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“คงไม่ได้หรอกครับ พวกเราทั้งคู่ต่างก็กำลังสร้างหนังรถแข่ง ดังนั้นคุณคือคู่แข่งคนสำคัญของผม คงเข้าใจไม่ใช่ครับว่าหมายความว่ายังไง”

เฟิงเต๋อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเหลือบไปยิ้มแห้งให้หวานเจียง

หวานเจียงเข้าใจทันทีว่าเฟิงเต๋อกำลังขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอจึงเร่งขยิบตาให้จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันสองต่อสอง

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินติดตามเธอออกไป ณ มุมหนึ่ง

“นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเราต้องขอร้องคนอย่างเขาด้วย?”

หวางนเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า

“นายก็รู้ว่าเขาจะสร้างประโยชน์มากแค่ไหนให้กับบริษัทพวกเรา ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว นายต้องการอะไรว่ามา!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปทันที

“มาลงอ่างอาบน้ำด้วยกันแล้วมาถูหลังให้ผมด้วย ถ้าทำได้ ผมจะลองเก็บเรื่องนี้ไปคิดดู”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ทันใด กล่าวดุไปว่า

“อย่าวฝัน! เอาดีๆสิ!”

“ก็ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ทำงานร่วมกับเขา! โอเค ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระกันอีกแล้ว ผมต้องพาทีมของผมไปเลี้ยงฉลอง!”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไป หวานเจียงรีบคว้าแขนและเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“นายพาพวกเขาไปเลี้ยงที่ไหน?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ระดับผมต้องเป็นโรงแรมตงไห่เท่านั้น มีเพียงสถานที่หรูแบบนี้ที่คู่ควรกับแชมป์ของผม”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที ในเมื่อจ้าวเฉียนไม่ยอมให้อู่เลอกับเฟิงเต๋อพเจรจากัน แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนเป็นเธอเองที่เข้าไปคุยกับอู่เลอ?

“ได้! ตอนนี้ฉันว่างพอดี! ฉันจะไปอวยพรกับความสำเร็จของนาย ไปฉลองกัน!”

หวานเจียงไม่สนว่าจ้าวเฉียนจะอนุญาตให้เธอหไปหรือไม่ ทันทีที่พูดจบเธอก็วิ่งไปแสดงความยินดีกับอู่เลอ ปล่อยทิ้งจ้าวเฉียนให้ยืนงงอยู่แบบนั้น

งานฉลองดังกล่าวแน่นอนว่าอู่ซินย่อมไปร่วมด้วยแน่นอน และถ้าหวานเจียงพบกับเธอขึ้นมา ดีไม่ดีเธออาจะหลุดพูดอะไรที่กระทบกับจ้าวเฉียนแน่นอน และทั้งอู่ซินและอู่เลอจะทราบถึงตัวตนของจ้าวเฉียนทันทีว่าไม่ธรรมดา

ในตอนนี้จ้าวเฉียนไม่อยากให้อู่ซินรู้ว่า เขากำลังแอบช่วยเธออยู่ลับหลัง จ้าวเฉียนกังวลว่า ด้วยนิสัยขี้เกรงใจของอู่ซิน ในอนาคตต่อไปเธอจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากจ้าวเฉียนแน่นอน

จ้าวเฉียนจึงรีบฉุดแขนหวานเจียงกล่าวปฏิเสธสวนกลับไปทันที

“ไม่! เธอไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเราขนาดนั้น! ทำไมต้องมาอวยพรกันด้วย? ฉันรู้นะว่าเธอหวังใช้โอกาสนี้ หาช่องทางให้อู่เล่อกับเฟิงเต๋อติดต่อกัน!”

หวานเจียงโกรธอย่างมาก เธอทุบแขนจ้าวเฉียนไปสองสามทีพร้อมกล่าวว่า

“ทั้งๆที่นายรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจขนาดไหน แต่ทำไมนายยังเห็นแก่ตัว เอาความไม่ชอบขี้หน้าส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงาน ถือซะว่าหลับตาข้างหนึ่งสักครั้งได้ไหม? เขาเป็นผู้กำกับดาวรุ่งเลยนะ ถ้ามีเขาอยู่บริษัทของนายจะเติบโตขึ้นมาก!”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันที

“แต่ยังไงผมก็ไม่ยอม นี่เป็นงานฉลองความสำเร็จของคนในที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าล้ำเส้นให้มันมากนัก มิฉะนั้นอย่าหาว่าผมไม่สุภาพ!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โบกมือให้อู่เลอและคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวไปเลี้ยงฉลองกันต่อที่โรงแรมตงไห่

ในเวลานี้เองก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งแหกันเข้ามา พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพื่อขอสัมภาษณ์อู่เลอ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เวลาแก่พวกตน

อู่เลอรู้สึกประหม่าเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับกล้องและไมค์ไหว เขารีบหันมาปรึกษากับจ้าวเฉียนทันที

“บอสควรออกหน้าแทนผมนะ”

จ้าวเฉียนเร่งคว้าตัวอู่เลอที่คิดจะวิ่งหนี และกล่าวน้ำเสียงจริงจังกับเขาขึ้นว่า

“นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนายแล้ว พอนายกลายมาเป็นนักแข่งชื่อดัง หลังจากประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย นายก็จะสามารถโยกย้ายไปสายงานอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องแข่งรถไปจนตาย นายลองคิดดูนะ พอนายเกษียญตัวเองขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังมีแรงเหยียบคันเร่งแข่งกับพวกวัยรุ่นไฟแรงไหวเหรอ? รีบสร้างมูลค่าให้ตัวเอง พอนายแก่ตัวลง จะได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนขับรถ หรือไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าต่างๆก็ทำได้ มีนักแข่งตั้งหลายคนที่พอได้แชมป์ก็ผันตัวเองเป็นดารานักแสดง นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับนายนะ ถือซะว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเอง ไปได้แล้ว! พวกนักข่าวรอนายอยู่!”

พออู่เลอได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจในคำพพูดของจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังกลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวอยู่ดี

“บอส ทำไมเราถึงไม่ออกไปสัมภาษณ์ด้วยกันล่ะ? ถ้าเกิดผมตอบคำถามไหนไม่ได้ บอสจะได้ช่วยผมได้ไง”

อู่เลอเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนเองก็คิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จึงพยักหน้าและเดินออกไปด้วยกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปสัมภาษณ์กับพวกนักข่าว สีกหน้าท่าทางกระตือรือร้นและให้คาวมร่วมมือเป็นอย่างดี

เฟิงเต๋อที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก พลางกระซิบกับหวานเจียงน้ำเสียงต่ำว่า

“ผมไม่รู้จริงๆว่า หมอนั่นต้องโชคดีขนาดไหน ถึงฟรุ๊กไปลงทุนกับทีมนั้น”

หวานเจียงที่ยังหัวร้อนไม่หาย เธออารมณ์เสียมากในขณะนี้ จึงหันหน้าหนีไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงดูผ่อนคลายสบายๆ แต่สภาพของอู่เลอกลับดูไม่จืด ทั่วทั้งแผ่นหกลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความประหม่า มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

ในเวลานี้เอง เฟิงเต๋อก็เดินกลับเข้ามาหาอีกครั้งและกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“คุณลงทุนในทีมนี้เท่าไหร่ครับ?”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามกลับไปเจือน้ำเสียงกวนๆ

เฟิงเต๋อยิ้มและหันมูดกับอู่เลอว่า

“เขาลงทุนกับคุณมากแค่ไหนกันเขียว? เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า และจะให้เงินคุณเป็นค่าขนมอีก10ล้านหยวน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทีม ผมรับผิดชอบเอง แต่ในอนาคตคุณต้องฟังคำสั่งของผมแค่คนเดียว ตกลงไหม?”

เฟิงเต๋อเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ไม่มีใครสามารถทนการล่อลวงด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้แน่

ต่อให้ทีมเก่งแค่ไหนแต่ถ้าขาดเงินไปก็ไม่สามารถลงแข่งได้

และที่เฟิงเต๋อกล้าวลงมุนขนาดนี้กับอู่เลอ เพราะเขาเชื่อว่า อู่เลอจะต้องกลายมาเป็นดาราดังระดับประเทศอแน่นอน และหนังเรื่องต่อไปที่เขาสร้างจะต้องทำรายได้ทะละพันล้านอีกครั้ง กล่าวได้ว่าลงทุนครั้งนี้ได้กลับคืนมานับสิบเท่า ตัวเขามีแต่ได้กับได้

อู่เลอหันควับจับจ้องจ้าวเฉียนในทันใด สีหน้าของเขาในขณะนี้ซีดเผือกราวกับจะเป็นลม