บทที่ 349 จับเสือมือเปล่า

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 349 จับเสือมือเปล่า

ราตรีนี้ยังคงอีกยาวไกล ไม่มีใครข่มตานอนหลับได้ลงอีกแล้ว

เพราะหยานหวูซวงคนเดียวแท้ ๆ ทุกคนถึงไม่ได้ดูฉากการต่อสู้ครั้งสำคัญ

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ แองกัสพ่ายแพ้ให้แก่จอมมารฉู่ชวิ๋น

บรรดานักสู้ยุโรปเจ็บแค้นจนบ้าคลั่ง

ใบหน้าของหลุยส์ ครีเกอร์ เจ้าสำนักวิหารดวงตะวันกลายเป็นสีแดงก่ำ เนื่องจากเขาเป็นคนออกคำสั่งให้แองกัสไปที่เมืองชายแดนเพื่อฆ่าพวกของหยานหวูซวงให้หมด

ผู้อาวุโสของสำนักดวงตะวันต้องตายด้วยน้ำมือของฉู่ชวิ๋นมาหลายคนแล้ว แองกัสจะมีชะตากรรมแบบเดียวกันไม่ได้เด็ดขาด

แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี? หลุยส์มีใบหน้าเคร่งเครียด ได้แต่จ้องมองบรรดาผู้อาวุโสและสมาชิกระดับสูงในห้องประชุม

“อย่างไรแองกัสก็เป็นคนของวิหารดวงตะวัน จะให้ไปตายในเมืองจีนไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเราคงถูกคนทั้งโลกหัวเราะเยาะ” หลุยส์กล่าว

ไม่มีใครตอบรับคำใดกลับมาต่อคำพูดของหลุยส์ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากช่วยเหลือแองกัส แต่ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองจีนหลายพันไมล์ ต่อให้บินไปก็คงสายไปแล้ว

“นายท่านครับ ก่อนอื่นเราน่าจะลองติดต่อจอมมารฉู่ชวิ๋น และยื่นข้อเสนอให้เขาดูนะครับ เราจะแลกเปลี่ยนตัวแองกัสกับสิ่งที่เขาอยากได้ รบกวนนายท่านช่วยพิจารณาด้วยครับ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเสนอทางออก

หลุยส์พยักหน้า เข้าใจดีว่าไม่มีวิธีไหนดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงรีบส่งสัญญาณให้บริวารติดต่อจอมมารฉู่ชวิ๋นทันที

แน่นอนว่าถ้าเรื่องนี้ทำไม่สำเร็จ วิหารดวงตะวันก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

หยานหวูซวงพบว่ามีข้อความถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของเขาแบบนิรนาม “หรือว่าจะเป็นพวกวิหารดวงตะวัน?”

“เปิดดูหน่อยสิว่าพวกมันส่งมาว่ายังไง?” ฉู่ชวิ๋นว่า

เมื่อเปิดอ่านข้อความดูแล้ว หยานหวูซวงก็มีสีหน้าแปลกประหลาดไปเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “วิหารดวงตะวันยินดีแลกเปลี่ยนตัวแองกัสกับเครื่องประดับสังหาร 100 ชิ้น หญ้าจิตวิญญาณ 100 กำ และศิลาวิญญาณอีก 100 ก้อน”

อี้เสี่ยวซูหันไปมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความกังวลใจ เพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะตอบตกลง แล้วความตายของเยวี่ยต้าย่งกับสมาชิกของสมาคมนักล่ามังกรจะต้องสูญเปล่า

หยานหวูซวงตบไหล่ชายชรา “วางใจเถอะ เจ้าหมอนี่มันชั่วร้ายขนาดนี้ วิหารดวงตะวันมันจะกล้าต่อรองได้ยังไง? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แองกัสก็ไม่รอดแน่นอน”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ายืนยันและหันมาพูดกับหยานหวูซวงว่า “บอกพวกมันไปว่าฉันอยากได้อย่างละ 500 ชิ้น!”

หยานหวูซวงยิ้มกริ่ม ส่งข้อความกลับไปหาวิหารดวงตะวันตามที่ฉู่ชวิ๋นต้องการ

“โลภมากเกินไปแล้ว” บรรดาผู้อาวุโสของวิหารดวงตะวันอุทานออกมาด้วยความฉุนเฉียว

แต่เมื่อหันไปมองสีหน้าของหลุยส์ ผู้เป็นเจ้าสำนักกลับตอบว่า “ตกลงไป ในเมื่อมันกล้าขอ พวกเราก็กล้าให้”

“พวกมันตกลงด้วยแฮะ” หยานหวูซวงพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้อต่อรองแบบนี้พวกมันยังยอมรับ แสดงว่าต้องมีเจตนาแอบแฝงแน่”

“เรื่องนั้นมันแน่นอน พวกมันอยากมาจับเสือมือเปล่า ไม่ได้ตั้งใจจะให้อะไรกับพวกเราอยู่แล้ว ต่อให้พวกเราบอกไปว่าอยากได้เป็นพันชิ้น พวกมันก็ต้องตกลง” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะอย่างรู้ทัน

“แล้วจะเอาไงต่อไปดี?” หยานหวูซวงถาม

“ถามพวกมันว่าจะให้แลกของกันที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นพูด

หลังจากหยานหวูซวงพิมพ์ข้อความกลับไปแล้ว เขาก็แจ้งกับฉู่ชวิ๋นว่า

“พวกมันบอกให้เราปล่อยตัวแองกัสไปก่อน วิหารดวงตะวันขอใช้ภาพลักษณ์ของตัวเองการันตีว่าจะไม่หักหลังพวกเราแน่นอน”

“ภาพลักษณ์ของวิหารดวงตะวันเรอะ?” ฉู่ชวิ๋นอดหัวเราะออกมาไม่ได้ พวกมันคิดว่าเขาเป็นคนโง่หรือไง? ชายหนุ่มบอกกับหยานหวูซวงว่า

“บอกพวกมันไป ถ้าอยากแลกตัวก็ให้มาที่ชายแดนจีน – เวียดนาม มีกำหนดไม่เกินสามวัน ไม่งั้นให้พวกมันรอรับศพแองกัสได้เลย”

หยานหวูซวงพิมพ์ข้อความตามที่ฉู่ชวิ๋นพูด และรอคอยให้อีกฝ่ายตอบกลับมาอยู่ครึ่งค่อนวัน

เมื่อได้รับทราบถึงข้อเรียกร้องของฉู่ชวิ๋น หลุยส์ก็ทุบโต๊ะปังและคำรามว่า “ไอ้หมอนี่มันเจ้าเล่ห์นัก”

“นายท่านครับ เราจะตอบไปว่าอะไรดี?” ผู้อาวุโสที่เป็นเจ้าของความคิดการแลกตัวคนกับของวิเศษถามขึ้น

หลุยส์มีสีหน้าคิดไม่ตกอยู่สักครู่หนึ่ง หน้าอกของเขายุบเข้ายุบออกจากการหายใจที่รุนแรง ชายชรารู้สึกหัวร้อนจนเหมือนกับมีควันลอยขึ้นมาแล้ว เขาตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า “บอกมันไปว่าพวกเราตกลง”

“นายท่าน นอกจากนายท่านแล้ว พวกเราก็ไม่ใช่คู่มือของจอมมารฉู่ชวิ๋นนายท่านจะไปที่นั้นด้วยไหมครับ?”

“ระดับพลังอย่างมันไม่ต้องถึงมือของฉันหรอก” หลุยส์แสยะยิ้มด้วยความดูถูกแล้วสีหน้าของเขาก็เป็นประกายชั่วร้าย “ตอนที่พวกนายออกเดินทาง อย่าลืมเอาตะเกียงจ้าวตะวันไปด้วยก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินคำว่าตะเกียงจ้าวตะวัน ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมก็มีสีหน้าอำมหิตขึ้นมา

ว่ากันว่าตะเกียงจ้าวตะวันบรรจุพลังของดวงอาทิตย์เอาไว้ มันคืออาวุธวิเศษที่ตกทอดมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ความน่ากลัวของมันคือมีพลังไร้ขอบเขตไม่มีสิ้นสุด

“นายท่านครับ งั้นปล่อยหน้าที่ช่วยเหลือแองกัสให้เป็นของผมเอง” ชายที่พูดขึ้นมามีนามว่า ออร์โล

หลุยส์พยักหน้าและส่งลูกศิษย์ฝีมือดีของวิหารดวงตะวันไปคอยช่วยเหลืออีกสิบคน

ณ เมืองชายแดนระหว่างประเทศจีนกับเวียดนาม หยานหวูซวงลุกพรวดขึ้นมาตะโกนว่า “พี่ฉู่ พวกมันตอบตกลง แถมตอนนี้เดินทางมาแล้วด้วย”

ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“แบบนี้มันไม่ปกติแล้วนะครับ” อี้เสี่ยวซูพูด

ฉู่ชวิ๋นฆ่านักสู้ยุโรปตายเป็นเบือ แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับยังกล้าส่งคนมาที่นี่ พวกนั้นไม่กลัวกันหรือไงว่าฉู่ชวิ๋นจะวางกับดักเอาไว้?

“คนพวกนี้มันคิดอะไรอยู่นะ?” หยานหวูซวงพึมพำ “หรือว่าไอ้หลุยส์หัวหน้าของพวกมันจะมาด้วย”

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นตึงเครียดขึ้นมา ถ้าระดับเจ้าสำนักมาเองเขาก็คงลำบากหลุยส์น่าจะมีพลังฝีมือไม่ด้อยไปกว่าสมเด็จพระสันตะปาปา ถ้าฝ่ายนั้นมาที่นี่จริงๆ ฉู่ชวิ๋นก็คงทำได้เพียงอย่างเดียวคือหลบหนีไปก่อน

“ไม่น่ามาเองคนระดับนั้นออกจากฐานตัวเองไม่ได้ง่าย ๆ หรอกนะ เพราะศัตรูของมันไม่ได้มีแค่ฉัน สำนักหรือนิกายอื่น ๆ ก็คงรอโอกาศอยู่ พวกมันอาจวางแผนอะไรเอาไว้?” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ ถ้าไม่ได้วางแผนอะไรเอาไว้ล่วงหน้า พวกมันคงไม่กล้าเดินทางมาที่ชายแดนจีน – เวียดนามทันทีแบบนี้

“พี่ฉู่ชวิ๋นคะ หรือว่าพวกเราจะฆ่าแองกัสแล้วรีบหนีกันเลยดีกว่า” ถางโร้วเสนอความเห็น

ความตายที่น่าอนาถใจของเยวี่ยต้าย่งกับสมาชิกคนอื่นของสมาคมนักล่ามังกรด้วยน้ำมือของแองกัส ทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนโยนอย่างเด็กสาวเปลี่ยนแปลงไปเธอคิดว่าฆ่า แองกัส ไปก็น่าจะง่ายที่สุด

ฉู่ชวิ๋นยังไม่ตอบอะไร สมองของเขากำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว

วิหารดวงตะวันวางแผนอะไรอยู่? พวกมันจะมาแลกตัวนักโทษจริง ๆ เหรอ? หรือว่าพวกมันมีอาวุธร้ายแรงที่เขายังไม่รู้อยู่ด้วย? หรือแองกัสเป็นบุคคลสำคัญต่อวิหารดวงตะวันจนปล่อยให้ตกตายไปไม่ได้

ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับไปมองที่แองกัส

“บอกความลับของวิหารดวงตะวันมาเดี๋ยวนี้” ฉู่ชวิ๋นสั่ง

แองกัสก้มหน้าก้มตาตอบว่า “ต่อให้แกทรมานฉันจนตาย ฉันก็จะไม่ทรยศวิหารของตัวเองเด็ดขาด”

“ฉันฆ่าแกไม่ได้หรอก คนของวิหารดวงตะวันกำลังมาที่นี่ เพื่อเอาหญ้าจิตวิญญาณและศิลาวิญญาณจำนวนมาก มาแลกเปลี่ยนกับตัวแก” ฉู่ชวิ๋นบอก

ดวงตาของแองกัสเป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น “พูดจริงเหรอ?”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าตอบว่า “พวกเขาจะมาถึงในอีกสามวัน ฉันว่าแกลองคิดให้ดีก่อนดีกว่า แกต้องยอมร่วมมือกับฉันเพื่อให้รอดชีวิตต่อไป ไม่งั้นฉันจะส่งศพแกให้พวกเขาแทน”

“แล้วถ้าฉันไม่พูดล่ะ?” สีหน้าของแองกัสเปลี่ยนไปในพริบตา

ผลั่ก!

ฉู่ชวิ๋นเตะแองกัสลอยกระเด็นก่อนที่จะเดินตามไปใช้เท้าเหยียบหน้าอก เมื่อฉู่ชวิ๋นเพิ่มแรงเหยียบอีกเล็กน้อย กระดูกหน้าอกของแองกัสก็เสียงดัง “กร๊อบ” ใบหน้าของนักสู้ชาวต่างชาติบิดเบี้ยวไปทันที

“ฉันขอบอกให้แกรู้ไว้นะ ว่าตอนนี้แกจะเป็นหรือตายมันขึ้นอยู่กับฉันและฉันหวังว่าแกคงไม่รนหาที่ตายหรอกนะ” ฉู่ชวิ๋นยกเท้ากลับขึ้นมา

แองกัสสีหน้าโล่งอก แต่ก็ยังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่ฉู่ชวิ๋นด้วยความหวาดกลัว

“ทีนี้จะพูดได้หรือยัง?” ฉู่ชวิ๋นถามอีกครั้ง

แองกัสไม่ตอบ เขากำลังคำนึงถึงข้อดีข้อเสีย

เปรี้ยง!

เลือดสาดกระจาย แองกัสร้องโหยหวน หัวไหล่ของเขาถูกแสงสีม่วงจากลมปราณของฉู่ชวิ๋นซัดใส่

เปรี้ยง!

ลำแสงอีกหนึ่งสายทุ่งตรงเข้าไปที่แขนของแองกัส เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจำนวนมาก

ฟู่…!

แองกัสร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด แต่ฉู่ชวิ๋นยังไม่ยอมหยุดมือ ทั่วตัวของแองกัสจึงมีรูพรุนไปหมด

หยานหวูซวงกับอี้เสี่ยวซูเดินเข้ามาร่วมวงด้วย

“พี่ฉู่ งานสกปรกแบบนี้ทำให้พี่เสียแรงไปเปล่าๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเถอะ” หยานหวูซวงดึงตัวฉู่ชวิ๋นมายืนอยู่ด้านข้าง ก่อนที่จะกดไหล่ชายหนุ่มให้นั่งลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

ฉู่ชวิ๋นกำชับว่า “อย่าให้ถึงตายล่ะ” ฉู่ชวิ๋นรู้ดีว่าอี้เสี่ยวซูกับหยานหวูซวงโกรธแค้นแองกัสขนาดไหน จึงต้องออกปากเตือนเอาไว้ก่อน

“หายห่วง!” หยานหวูซวงตอบกลับมาแล้วกระโจนเข้าไป

หลังจากนั้น ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีก็มีแต่เสียงกรีดร้องของแองกัส

ไม่ใช่แต่เพียงอี้เสี่ยวซูกับหยานหวูซวงเท่านั้น สมาชิกคนอื่นๆ ของสมาคมนักล่ามังกรก็เข้ามาร่วมวงด้วยเช่นกัน ฉู่ชวิ๋นกำชับพวกเขาไม่ให้ฆ่าแองกัส ดังนั้นทุกคนจึงใช้แต่เพียงหมัดลุ่น ๆ ของตัวเองระบายความโกรธแค้นที่อัดอั้นเต็มหัวใจ

ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นกวาดตามองไปรอบตัว แองกัสบุกมาโจมตีเมืองชายแดนยามกลางคืน ถ้าเขามาช่วยเหลือได้ไม่ทันเวลา ผลที่ตามมาก็คงไม่อาจคาดคิด ดังนั้น การสังหารแองกัสก็คงไม่อาจบรรเทาความโกรธแค้นของเขาได้

ชายหนุ่มไม่สนใจหญ้าจิตวิญญาณ 500 กำมืออะไรนั่นหรอก ต่อให้ขนมาเป็นพันกำ เมืองจีนก็หาได้ขาดแคลนหญ้าจิตวิญญาณไม่ ฉู่ชวิ๋นแค่อยากจะสร้างความเสียหายให้กับวิหารดวงตะวัน และนี่คือสิ่งที่พวกมันจะต้องจดจำกันไปจนวันตาย

ฉู่ชวิ๋นเริ่มเดินตรวจตราบริเวณเขตชายแดนระหว่างจีนกับเวียดนาม เท้าของเขาก้าวเดินอย่างแปลกประหลาด เนื่องจากในระหว่างที่เดินลาดตระเวน มือของเขาก็หย่อนศิลาวิญญาณลงไปสร้างเป็นม่านพลังขึ้นมาตามจุดต่างๆ บนพื้นดิน แต่เขาซ่อนมันเอาไว้ใต้ดินไม่ให้ใครมองเห็น

ฉู่ชวิ๋นทำการวางศิลาวิญญาณอยู่สองชั่วโมงจึงได้หยุดมือ

ชายหนุ่มหอบหายใจเล็กน้อยในขณะที่เดินกลับมายืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง เมื่อเขากระทืบเท้าลงไปบนพื้นดิน ลมปราณสีม่วงก็พวยพุ่งลงไปสู่ใต้ดินทันที

หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็เดินกลับไปสั่งให้พวกของหยานหวูซวงหยุดมือ ในขณะนี้ แองกัสผู้น่าสงสารมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง? ผมสีทองของเขาฉีกขาดไม่มีชิ้นดี จมูกเป็นสีม่วงคล้ำ ใบหน้าบวมช้ำมีรอยรองเท้าประทับเด่นหรา เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นไม่ต่างไปจากขอทาน

ฉู่ชวิ๋นเตะแองกัสกระเด็นไปอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างชายแดนจีนกับเวียดนาม แล้วเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งโคจรพลัง ก่อนที่จะดีดนิ้ว แล้วม่านพลังสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ฟู่!

เกิดเป็นกำแพงม่านพลังผุดขึ้นมากักขังแองกัสเอาไว้ทั้งสี่ด้าน

เปรี้ยง!

บังเกิดเสียงอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงในกำแพงม่านพลังนั้น ปรากฏเมฆดำปกคลุมอยู่เหนือศีรษะแองกัส สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในก้อนเมฆดำเหมือนงูทองคำกำลังเลื้อยไปมากลางความมืด

“ปล่อยฉันไปนะ…ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้…” แองกัสแหงนหน้ามองสายฟ้าแลบแปลบในเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือหัวของตัวเองด้วยความหวาดกลัว

เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาจากกลุ่มเมฆดำ ซัดเข้าที่กลางแผ่นหลังของแองกัส

อ๊าก!

นั่นคือเสียงกรีดร้อง เสียงกรีดร้องของแองกัส แผ่นหลังของเขามีเลือดไหลโชก เนื้อและผิวหนังไหม้เกรียม แล้วร่างกายของนักสู้ชาวต่างชาติก็ถูกฟ้าผ่าลงมาอีกนับครั้งไม่ถ้วน แองกัสได้แต่นอนชักกระตุกอย่างไม่อาจตอบโต้

เปรี้ยง!

ยังคงมีฟ้าผ่าลงมาจากกลุ่มเมฆดำ ฟาดพลังเข้าใส่แองกัสด้วยความรุนแรง

เสียงกรีดร้องของแองกัสทวีความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นดิน รอบตัวมีแต่เศษเนื้อหนังกับกองเลือดสาดกระจายเต็มไปหมด

“ปล่อยฉันออกไปนะ…ปล่อยฉันออกไปเถอะ ฉันยอมบอกทุกอย่างแล้ว ฉันจะบอกความลับทุกอย่างเลย…” แองกัสร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว ตัวของเขาสั่นระริกและมีควันสีขาวลอยขึ้นมาตลอดเวลา

ฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามายืนมองด้วยความเฉยชา “ตอนนี้ฉันไม่อยากรู้แล้วสิ ถ้าแกอยากจะพูดอะไร เอาไว้บอกฉันวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“ไม่นะไม่…ฉันอยากจะบอกตอนนี้ ขอร้องล่ะ…”

“แองกัส ฉันจะบอกให้เอาบุญนะว่าฟ้าจะผ่าแกครึ่งชั่วโมงและจะหยุดให้แกได้พักหนึ่งชั่วโมง สลับกันไปแบบนี้ตลอดคืน หวังว่าแกคงใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงที่ได้หยุดพัก ฟื้นตัวให้เร็วก็แล้วกัน ไม่งั้นเจอฟ้าผ่ารอบต่อไป แกคงไม่รอด”

หลังจากพูดจบ ฉู่ชวิ๋นก็เดินกลับไปสมทบกับคนอื่น ๆ ก่อนที่จะพากันกลับเข้าที่พัก แล้วค่อยกลับมาหาแองกัสใหม่ในวันพรุ่งนี้