ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 272 สี่ยอดตำนาน

จอมศาสตราพลิกดารา

ราวยี่สิบปีที่แล้ว จักรพรรดิฉินหมิงปีที่หกสิบเจ็ด เคยมีการจัดการสอบขุนนางครั้งที่สี่สิบสองแห่งจักรวรรดิฉินตะวันตกที่อึกทึกครึกโครม จนถูกบันทึกไว้ว่าเป็นการสอบขุนนางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด นับตั้งแต่จักรพรรดิกวงอู่เริ่มจัดสอบขึ้นมา เว้นก็แต่การสอบปีแรกสมัยกวงอู่เท่านั้น การสอบขุนนางครั้งนี้ทำให้ปรากฏสี่ยอดตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นของจักรวรรดิในปัจจุบัน

และหลี่กัง ก็เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานของปีนั้น

ช่วงนี้ หลี่มู่ที่อยู่ในเมืองฉางอันมีชื่อเสียงเป็นเซียนกวีวิถียุทธ์ เป็นบุคคลทรงอิทธิพล

แต่เมื่อเทียบกับหนึ่งในสี่ยอดตำนานอย่างหลี่กังแล้ว ยังคงห่างชั้นอยู่หลายขุมนัก

เพราะสิ่งที่หลี่กังเข้าไปมีอิทธิพลด้วยก็คือเมฆลมของทั้งจักรวรรดิฉินตะวันตกเลยนั่นเอง

หลี่กังตอนนั้นเป็นเพียงนักเรียนยากจนคนหนึ่ง ศึกษาสำเร็จมาก็ใช่ว่าจะดีเด่ เพราะยากจนได้เล่าเรียน ร่ำรวยถึงได้ฝึกยุทธ์ ทว่าหลี่กังที่สำเร็จการศึกษาแล้ว กลับได้รับฉายา ‘เซียนกระบี่’ แห่งเมืองหลวงฉินมาในเวลาไม่นาน เขากำกระบี่หนึ่งเล่ม เริ่มตั้งแต่เอาชนะผู้ใช้กระบี่ตามกลุ่มเล็ก ไปจนถึงจอมกระบี่แห่งเมืองหลวงฉิน และไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง ท้ายสุด กระทั่งเจ้าสำนักกระบี่แห่งยุคจากกลุ่มเล็กก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่หลี่กัง นับตั้งแต่นั้นมา ฉายาเซียนกระบี่จึงสั่นสะเทือนทั่วหล้า

ปีนั้น ‘กระบี่ธุลีแดง’ เล่มหนึ่งอยู่ในมือของหลี่กัง เรียกได้ว่าหั่นมารสะบั้นเทพ ฟาดฟันประชาราษฎร์ มีคนเล่าลือว่าหลี่กังที่อายุยี่สิบกว่าๆ มีท่วงท่าสง่างามของ ‘เจ้ากระบี่’ เฉินชางไห่ขั้นทะลวงสวรรค์เมื่อห้าร้อยปีก่อน กระทั่งมีคนสงสัยว่าหลี่กังอาจเป็นเฉินชางไห่กลับชาติมาเกิดก็เป็นได้

ช่วงเวลานั้น สกานการณ์ผันผวนไม่คงที่

หลังจบการสอบครั้งนั้น ในวันที่ทุกคนต่างเฝ้ารอการผลการคัดเลือกขุนนางในเมืองฉินอยู่ ภายใต้เงื่อนไขของผู้อาวุโสจอมกระบี่ในตำนานหลายคน ‘กระบี่ธุลีแดง’ มีราศีของมือกระบี่อันดับหนึ่งของฉินตะวันตกอยู่รางๆ และสามยอดตำนานที่เหลืออย่าง ‘ดาบฟ้าคำราม’ ‘หอกเทพครวญ’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ กล่าวได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจ จนได้รับขนานนามว่าเป็นสี่ยอดตำนานในการสอบครั้งนั้น กระทั่งจักรพรรดิฉินหมิงเองเคยขอพบทั้งสี่คนด้วยตนเอง และมอบฉายาให้กับพวกเขาเป็น ‘เซียนกระบี่’ ‘จักรพรรดิดาบ’ ‘เทพหอก’ และ ‘อสูรทวนวงเดือน’

ต่อมา สี่ยอดตำนานต่างพัฒนาตนเองไปคนละทิศทาง

นอกจาก ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินที่แย่งชิงสาวงามกับ ‘กระบี่ธุลีแดง’ หลี่กัง แล้วพ่ายแพ้หนีหายไปจากยุทธจักรไม่รู้แห่งหน ‘กระบี่ธุลีแดง’ ‘ดาบฟ้าคำราม’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ สามคนล้วนกลายเป็นหนึ่งในดาราที่เจิดจรัสที่สุดของทางการจักรวรรดิฉินตะวันตก

‘กระบี่ธุลีแดง’ หลี่กังที่ชนะจากสนามรัก ยิ่งก้าวหน้ากว่าในสนามการเมือง เขาเริ่มจากเข้ามาเป็นผู้นำในอำเภอหนึ่งของฉางอัน ต่อมาได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของเมืองฉางอัน

ส่วน ‘ดาบฟ้าคำราม’ กวนหมิ่นเหรินอยู่ที่เมืองหลวงฉิน กลายเป็นหัวหน้าทหารรักษาวัง และเลื่อนขั้นในหลายปีต่อมา เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลทหารรักษาวังทั้งหมดแปดแสนนายแห่งเมืองฉิน กุมอำนาจเมืองหลวงไว้ในกำมือ ได้รับความไว้วางใจอย่างมากจากจักรพรรดิฉินหมิง

ทางด้าน ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้ากลับตรงไปที่สนามรบชายแดน ปัจจุบันได้เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารชายแดนที่ชายแดนซ่งเหนือกับฉินตะวันตก ในมือมีกำลังรบ ‘กองพันโองการฟ้า’ สี่แสนนายที่เป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ

และนอกจากสี่ยอดตำนานนี้แล้ว การสอบขุนนางครั้งนั้นปรากฏดาวเด่นอัจฉริยะมากมาย เพียงแต่ถูกรัศมีเจิดจ้าของสี่ยอดตำนานกลบไปหมด แต่ในหลายปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้ก็ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก สามคนนั้นในกลายเป็นเจ้าเมือง สี่คนกลายเป็นขุนพล และมีอีกสิบหกคนเป็นขุนนางหลวง…

ผลลัพธ์ของการสอบขุนนางครั้งที่สี่สิบสองสมัยจักรพรรดิฉินหมิง จะบอกว่าส่งผลกระทบกับชะตาของจักรวรรดิฉินตะวันตกก็ไม่เกินความจริงเลย

อัจฉริยะจากการสอบครั้งนี้ขับเคลื่อนชะตาของจักรวรรดิในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะแปดปีก่อนหน้านี้ จักรพรรดิฉินหมิงใกล้สิ้นอายุขัย เพื่อที่จะบรรลุสู่ขั้นเทวะ จึงฝืนตนฝึกฝน ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ จนธาตุไฟเข้าแทรก สั่นคลอนชะตาประเทศ ก็ได้ขุนนางรุ่นใหม่เหล่านี้เข้ามาประคับประคองกระดูกสันหลังหลักของฉินตะวันตกเอาไว้

‘เซียนกระบี่’ หลี่กังเป็นยอดอัจฉริยะแห่งอัจฉริยะ และผู้เข้าสอบที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการสอบครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

กระทั่งพูดได้ว่าในยุคสมัยนั้น หลี่กังที่มีฉายาว่า ‘ชายงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ’ น่าจะเป็นผู้โดดเด่นที่สุด มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ที่ล้ำเลิศเช่นเดียวกันอย่าง ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินคงไม่พ่ายแพ้ศึกรักให้กับหลี่กัง ต้องรู้ไว้ว่า อู๋กุยเหรินก็เป็นชายงามมีชื่ออีกคน ความรู้ความสามารถก็เคยเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงฉินเช่นกัน

แต่ว่าหากพูดอย่างละเอียด เส้นทางการเป็นขุนนางของสี่คนนี้ต่างมีสูงต่ำแตกต่างกัน

นอกจาก ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหรินที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ในบรรดาคนที่เหลืออีกสามคน ‘ดาบฟ้าคำราม’ ควบคุมทหารรักษาวังแปดแสนนาย ลูกหลานสายตรงแทรกซึมเข้าสู่แทบทั้งฝ่ายทหารของฉินตะวันตก ‘ทวนปราบอสูร’ ขึ้นรับตำแหน่งที่ชายแดน ‘กองพันโองการฟ้า’ ถูกเรียกขานว่าเป็นทหารที่แข็งแกร่งหกลำดับแรกของแผ่นดินใหญ่เสินโจว เคยโจมตีทหารเกราะหนักฝ่ายซ่งเหนือที่เหิมเกริมไปทั่วจนเงยหัวไม่ขึ้นมาแล้ว

ทว่า ‘เซียนกระบี่’ หลี่กังที่โดดเด่นที่สุดตอนนั้น ความก้าวหน้ากลับน้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย จักรวรรดิฉินตะวันตกมีเมืองอยู่นับสิบ เมืองฉางอันถึงแม้จะเป็นเมืองแถวหน้า แต่ด้วยเป็นระบบขุนนาง ทำให้ชื่อเสียงไม่เท่า ‘ดาบฟ้าคำราม’ และ ‘ทวนปราบอสูร’ ตัวหลี่กังเองเดิมทีก็เป็นคนที่จงใจเก็บตัว ไม่ต่อสู้หลายปี ทำให้ผู้คนมากมายค่อยๆ ลืมชื่อ ‘เซียนกระบี่’ ของเขาไป หนำซ้ำเขายังทิ้งภรรยาที่ได้มาครอบครองจากการเอาชนะ ‘หอกเทพครวญ’ เมื่อครั้งนั้น ตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาดกับหลี่มู่ลูกในไส้ กลายเป็นเรื่องเล่าขำขันในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิ ต่อมาเขาแต่งภรรยาคนหนึ่ง ว่ากันว่านางทั้งขี้ริ้วทั้งไม่เพียบพร้อม มีลูกกี่คนก็ไม่ได้เรื่องได้ราว โดยเฉพาะในช่วงนี้ หลี่มู่ที่ถูกเขาทอดทิ้งเริ่มมีชื่อเสียง บทกลอนมากมายเล่าขานส่งต่อมายังเมืองฉิน ไม่รู้ว่าผู้คนมากมายเท่าไรกำลังแอบยิ้มเย้ยเซียนกระบี่ในอดีตผู้นี้อยู่…

ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่ผู้นี้ มีแนวโน้มจะกลายเป็นตัวตลกมากขึ้นเรื่อยๆ

เป้าหมายขององค์ชายสองที่มาเมืองฉางอันครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่การไล่จับแม่ม่ายลูกกำพร้าตระกูลถัง และยิ่งไม่ใช่หลี่มู่ที่เคยปฏิเสธการเชื้อเชิญของเขา…ในสายตาขององค์ชายสอง พวกนี้เป็นเพียงมดปลวก เป็นแค่หินก้อนเล็ก ไม่มีคุณสมบัติมาขวางทางเขา หากเขารู้สึกขวางหูขวางตา เหยียบทิ้งให้ตายไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว

เป้าหมายของเขาคือหลี่กัง

‘เซียนกระบี่’ ที่ลงมาจุติ ผู้ที่ค่อยๆ ถอยห่างจากความรุ่งโรจน์ของตำนานเซียนกระบี่ไป

เพราะว่าหลี่กังในตอนนี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดตำนานที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด และมีพละกำลังอ่อนแอที่สุด นอกจาก ‘เทพหอกครวญ’ ที่หายตัวไปไร้ร่องรอย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้สนับสนุนองค์รัชทายาทอย่างชัดเจนคนหนึ่งด้วย

การสนับสนุนจากขุนนางใหญ่ท้องถิ่นคนหนึ่ง สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว ถือว่าเป็นตัวแปรใหญ่สำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ไหนแต่ไรมา หลี่กังก็เป็นทั้งแขนซ้ายแขนขวาขององค์รัชทายาท

สำหรับผู้ที่มุ่งมาดจะชิงตำแหน่งจักรพรรดิอย่างองค์ชายสอง เรื่องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับหนามยอกอก

หลังจากหยั่งเชิงและชักชวนพลาดหลายครั้งหลายครา เขาก็คิดจะกำจัดหลี่กังนานแล้ว

เพียงแต่ การคิดจะกำจัดเจ้าเมืองที่พลังฝึกวรยุทธ์แกร่งกล้ายิ่งแล้วจะง่ายดายเพียงนั้นเสียที่ไหน?

หลายปีมานี้ องค์ชายสองพยายามหาโอกาสมาตลอด

แต่เมื่อเกิดเรื่องในระหว่างล่าสัตว์ฤดูวสันต์ในปีนี้ จักรพรรดิฉินหมิงโกรธจนกระอักเลือด ผลกระทบลูกโซ่แผ่ขยายออกไป โอกาสกำจัดหลี่กังทิ้ง ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

การเดินทางมาเมืองฉางอันขององค์ชายสองจึงเกิดขึ้น

พวกตระกูลถังที่เหลือเป็นแค่ตัวล่อเท่านั้น

เขี้ยวเล็บที่แท้จริง จนตอนนี้ถึงจะค่อยๆ เผยออกมา

ดังนั้นต่อให้สูญเสียเจ้าสำนักยมบาลไป องค์ชายสองจึงยังคงรู้สึกเบิกบานสบายใจอยู่

เพียงแต่ก่อนจะจัดการรวบแห ตอนนี้เอง หินขวางเท้าก้อนหนึ่งก็ดันเข้ามาขวางหน้าเขา

“องค์ชายสองอยู่ที่ไหน ออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้”

เสียงของหลี่มู่ดังไปในรัศมีสิบลี้ กึกก้องราวพายุสายฟ้า สั่นสะเทือนทั่วทิศจนเมฆสลาย

องค์ชายสองมองหลี่มู่ที่ใช้ดาบโบยบิน ยังคงไม่มีความคิดที่จะลงมือ วิชาดาบเหินหาวแข็งแกร่งยิ่งก็จริง หลี่มู่คนนี้ก็ถือเป็นอัจฉริยะอีกคน แต่น่าเสียดายที่ยังอ่อนหัด ห่างชั้นกันอีกมาก ไม่คุ้มค่าที่เขาจะลงมือเอง เป้าหมายของเขาคือหลี่กัง ขอแค่สามารถเอาชนะ ‘เซียนกระบี่’ หนึ่งในสี่ยอดตำนานเมื่อวันวาน ก็จินตนาการได้เลยว่าชื่อเสียงของเขาในเมืองหลวงฉินจะระบือไปถึงขนาดไหน

สังหารหลี่มู่?

รังแต่จะทำให้คนอื่นคิดว่าสายเลือดราชวงศ์ชั้นสูงลงไปรังแกเด็กน้อยผู้หนึ่ง

“องค์ชาย กระหม่อมจะไปจัดการแมลงตัวจ้อยนี่ให้เอง”

ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาด้านหน้า รูปร่างสูงโปร่ง ผมเผ้าเคราขาว คิ้วยาวลงมาปิดข้างแก้ม เขาค้อมตัวและเอ่ยขึ้น

องค์ชายสองผงกศีรษะ “อืม เช่นนั้นต้องรบกวนท่านนักพรตคิ้วยาวแล้ว”

ชายชราผู้นี้ เป็นหนึ่งในผู้สำเร็จขั้นเหนือมนุษย์ที่มีชื่อแห่งเมืองฉิน ฉายานักพรตคิ้วยาว ผู้ใช้ ‘สามสิบหกฝ่ามือเมฆา’ และ ‘ฝ่ามือสลักหินผา’ ฝีมือสูงส่งนัก หนึ่งปีก่อนหน้าได้เข้ามาเป็นกำลังใต้บัญชาองค์ชายสอง และถือเป็นหนึ่งในคนสนิทขององค์ชายสองเช่นกัน

……

ด้านหน้าหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์

หลี่กังเล่นงานเจ้าสำนักยมบาลด้วยกระบวนท่าเดียว ราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

“กองกำลังคมโลหิต ยังไม่คิดถอยทัพออกจากเมืองฉางอันอีก?” เขากวาดตามองกลุ่มทหารชุดเกราะรอบๆ น้ำเสียงราบเรียบแฝงความน่าเกรงขามที่เด็ดขาด

กลุ่มทหารชุดเกราะค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง

พวกเขาเป็นทหารของกองกำลังคมโลหิต หากพูดตามหลักการ จะต้องฟังหลี่กังที่มีศักดิ์เป็นถึงเจ้าเมือง เพราะระบบราชการของจักรวรรดิฉินตะวันตก ตำแหน่งเจ้าเมืองมีอำนาจเบ็ดเสร็จทางการทหาร กองกำลังหลักที่ตั้งมั่นอยู่ในเมืองต้องฟังคำสั่งของเจ้าเมือง แต่กองกำลังคมโลหิตเป็นทหารโดยตรงของ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ ผู้บังคับบัญชาจากเมืองหลวงฉินคนนี้ เป็นคนที่องค์ชายสองแอบส่งเข้ามาในเมืองฉางอันอย่างชัดเจน ทหารที่ถูกคัดเลือกมาเป็นหน่วยลาดตระเวนก็เป็นคนสนิทของเมิ่งอู่ทั้งสิ้น ฟังคำสั่งเมิ่งอู่เท่านั้น ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของหลี่กัง พวกเขาจึงถอยออกมา ลังเล แต่ก็ไม่ได้ถอยกลับไปหมดในทันที

“สังหาร!”

หลี่กังเอ่ยขึ้น

ด้านหลังของเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่อง กลางอากาศปรากฏคลื่นคล้ายระลอกน้ำ เงาดำสิบสายพุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มทหารชุดเกราะราวภูตผี ประหนึ่งถูกเลือกออกมาจากกลางฟ้า

“อ๊าก…”

เสียงครวญครางดังขึ้น

กลางเลือดสาดกระเซ็น ภายใต้การพุ่งสังหารของเงาดำทั้งสิบ กลุ่มทหารกองกำลังคมโลหิตที่สวมเกราะชั้นเยี่ยม ล้มระเนระนาดเหมือนข้าวสาลีที่ถูกชาวนาเกี่ยว ไม่มีทางตอบโต้ได้เลย นี่เป็นฉากการเข่นฆ่าสังหารอยู่ฝ่ายเดียว

คนของโรงฝึกยุทธ์ถูกภาพตรงหน้าตรึงให้ตะลึงงัน

การปรากฏตัวของเจ้าเมืองท่านนี้ เดิมทีก็ราวกับเรื่องโกหก แต่ตอนนี้ใต้เท้าเจ้าเมืองกลับสั่งเข่นฆ่าทหารกองกำลังคมโลหิต ตนเองสังหารคนของตนเช่นนั้นหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? สมองของพวกเขาคิดตามไม่ค่อยทัน