ตอนที่ 4 - 4 เขตปกครองตนเองแห่งใหม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

ไกลออกไปพวกเฮฮาเจ็ดคนกำลังปรบมือร้องยินดีว่า “ฮ่าๆๆ เข้าเมืองแล้ว เจอคนแล้ว พวกเราหาเงินได้มากกว่าผู้ใดทั้งนั้น…” เสียงร้องยินดีกระตือรือร้นแว่วผ่านที่นี่ ยิ่งทำให้ภายในภายนอกรถม้าดูเงียบสงบจนแทบจะอ้างว้างเย็นเยือก 

 

 

เขายืนนิ่งเงียบกริบ ผ่านไปเนิ่นนานจึงเดินกลับมาที่ข้างลำธาร ล้างเกล็ดปลาบนมือออกอย่างเชื่องช้า 

 

 

กระแสน้ำพัดพาคราบโลหิตให้เจือจางสูญสลาย เขามองดูนิ้วมือ ไม่รู้ว่าถูกเกล็ดปลาขีดข่วนจนเป็นแผลเล็กแผลน้อยมากมายตั้งแต่เมื่อไร 

 

 

‘เจ้ากำลังชดใช้ความผิดอยู่หรือ?…ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรืออย่างไร คุ้มค่าหรือ?’ 

 

 

ชดใช้ความผิดหรือ? ไม่ใช่ ไม่รู้ ไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้น เขาเพียงมีส่วนร่วมในการก่อกวนสถานการณ์ในตี้เกอ การลาจากตี้เกอไม่นับว่าเป็นความพ่ายแพ้ของเขา เขามองเห็นซากศพเรียงรายตลอดเส้นทางการแย่งชิงอำนาจจนชินตา ถึงขนาดเตรียมพร้อมที่จะเสียสละตนเองทุกเวลาด้วยซ้ำ แล้วจะหวาดกลัวว่าจะติดค้างหนี้บุญคุณความแค้นที่ยากจะชำระสะสางตลอดกาลกับผู้ใดได้อย่างไร? 

 

 

หากเกี่ยวกับนาง แต่ไหนแต่ไรมาเขาคล้ายไม่อยากครุ่นคิดให้มากมาย เพียงหวังกระทำตามหัวใจ 

 

 

ยามเข้าร่วมแผนการ เขาไม่เคยลังเลด้วยเพราะรู้สึกว่านางไม่เหมาะสมจะเป็นราชินี 

 

 

ทว่ารุ่งอรุณกลางหิมะวันนั้น ยามที่เขามองเห็นนางถูกคนในจวนหามไว้เตรียมโยนออกไปข้างนอก มองเห็นดวงพักตร์ขาวราวหิมะน่าตกใจของนาง บนคิ้วดำขลับเปรอะเปื้อนหิมะและโลหิต พลันรู้สึกว่าตกตะลึงในปราดเดียว 

 

 

ดั่งถูกวิหคเหินจิกอย่างรุนแรงเพียงครั้ง กระชากเนื้อส่วนหัวใจก้อนหนึ่งออกไปในพริบตา 

 

 

พอยามนั้นถึงได้เข้าใจว่า ความเฉิดฉายของนางก็สาดส่องห้องดวงใจของเขามาโดยตลอด 

 

 

ถึงได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง เหล่าบุรุษควบเมฆคลุมฝนดึงดันทำตามใจตนเอง สูญเสียความรู้สึกที่ล้ำค่าที่สุดไปตลอดทาง ยามสุดท้ายครอบครองเอาไว้ไม่ได้ ยากจะประเมินค่าระหว่างการสูญเสียและการได้รับ 

 

 

นางถูกลากออกมาจากตี้เกอ ไม่รู้ว่ายินดีหรือกังวล ยินดีด้วยเพราะนับแต่นี้ฟ้าดินยิ่งกว้างใหญ่ ภายภาคหน้าอาจจะได้อยู่เคียงข้างนางตลอดทาง กังวลด้วยเพราะอุปสรรคในทุกวันจะทำให้นางเติบโต เพียงชั่วครู่จะกลายเป็นนักวางแผนชั้นยอด พรสวรรค์และความรอบรู้ของนางพลันเกิดขึ้น อนาคตจะแผ่คลุมบึงโคลนกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้อย่างไร? 

 

 

เกล็ดปลาไหลตามกระแสน้ำดุจเสี้ยวธุลีบนดวงใจ 

 

 

ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนี้ 

 

 

ข้าเพียงอยากจากไปทว่าจากไปไม่ได้ อาลัยไม่ยอมลาจาก 

 

 

ข้าเพียงแต่อยากมองดูเจ้าเดินก้าวหนึ่ง เดินต่อไปอีกก้าวหนึ่ง 

 

 

ข้าเพียงอยากมองเห็นว่าหนทางข้างหน้าจะแข็งแกร่งใต้ฝ่าเท้าเจ้ายามใด 

 

 

ข้าเพียงหวัง…มองเห็นสักวันที่เจ้าจะยิ้มแย้มออกมาอย่างจริงใจได้อีกครั้ง 

 

 

… 

 

 

จากเส้นทางคดเคี้ยวมุ่งสู่เส้นทางสายใหญ่เชื่อมต่อทั่วถึงกัน 

 

 

กิจการงานปล้นเงินครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเฮฮาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 

 

 

หากเอ่ยด้วยวาจาของอู่ซานว่า “ขอเพียงพบสถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่ ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะบิณฑบาต เหล่าญาติโยมหญิงชายเป็นคนดีมีศรัทธากันทั้งนั้น พอได้เห็นท่าทางเมตตากรุณาของอาตมานี้แล้วคงต้องเกิดจิตกุศลยินยอมช่วยเหลือเป็นแน่ เรื่องนี้อาตมาลงมือเพียงผู้เดียวย่อมได้แล้ว อมิตพุทธ” 

 

 

พวกเขา ‘บิณฑบาต’ กันเยี่ยงนี้ 

 

 

ภายในเพิงน้ำชาข้างทางแห่งหนึ่ง 

 

 

อู่ซานจูงเจ้าของร้านที่ยุ่งวุ่นวายไม่มีสิ้นสุดไว้ด้วยท่าทางเมตตากรุณา 

 

 

“อมิตพุทธ โยม อาตมาเห็นว่าวันนี้หน้าผากของเจ้าเขียวคล้ำ ดวงตาสองข้างไร้แวว ใบหน้าร่างกายไม่อิ่มเอิบ คิ้วสองข้างแลดูดุร้าย ประเดี๋ยวต้องเกิดเภทภัยหลั่งโลหิต ขอเพียงอาตมาร่ายคาถาให้เจ้าด้วยตนเองย่อมต้องบรรเทาภัยพิบัติให้เจ้าได้แน่…” 

 

 

“นักต้มตุ๋นจากที่ใดกัน ไว้ผมยาวทั้งยังเรียกตนเองว่าพระอีก! ไล่ออกไป!” 

 

 

“โอ๊ยๆๆ เจ้าห้าถูกรังแกแล้ว ต่อยเขา! ต่อยเขา!” 

 

 

“ปล้นเงิน! ปล้นเงิน!” 

 

 

หน้าขบวนรถม้าขบวนหนึ่ง 

 

 

อู่ซานขวางม้าของผู้นำขบวนด้วยท่าทางแขนเสื้อกว้างพัดพลิ้ว 

 

 

“อมิตพุทธ สินค้าใน**บห่อของพวกโยมคล้ายหนักยิ่งนักนะ…” 

 

 

“โอ้?” 

 

 

“อาตมาเต็มใจช่วยพวกเจ้าแบ่งเบาภาระ แบกสินค้าผ่านยอดเขาแห่งนี้ แน่นอนว่าทิ้งไว้ครึ่งหนึ่งเป็นค่าตอบแทนก็พอแล้ว…” 

 

 

“พระปลอมเช่นเจ้ายังกล้าหวังได้สินค้าเพชรนิลจินดาของข้า! ฆ่าเขา!” 

 

 

“โอ๊ยๆๆ เจ้าห้าถูกรังแกแล้ว ต่อยเขา! ต่อยเขา!” 

 

 

“ปล้นเงิน! ปล้นเงิน!” 

 

 

หน้ากองทัพของขุนนางตระกูลหนึ่ง 

 

 

“ใต้เท้าท่านนี้ องครักษ์ของท่านดูท่าทางจะมีไม่พอนะ…” 

 

 

“หืม?” 

 

 

“ใต้เท้าท่านนี้ คุณหนูในเกี้ยวของท่านคล้ายรูปโฉมงดงามยิ่งนักนะ…” 

 

 

“หืม?” 

 

 

“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด อาตมาเพียงแต่กลัวว่าคุณหนูของท่านจะถูกโจรภูเขาปล้นสวาท ยินยอมคุ้มกันคุณหนูให้ท่านด้วยตนเอง รับรองว่าจะส่งคุณหนูถึงจวนอย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ ท่านเพียงให้ค่าตอบแทนสักหน่อยก็พอ…” 

 

 

“โจรหวังปล้นสวาทคือเจ้ากระมัง? องครักษ์! ตีให้ขาหักแล้วโยนออกไป!” 

 

 

“โอ๊ยๆๆ เจ้าห้าถูกรังแกแล้ว ต่อยเขา! ต่อยเขา!” 

 

 

“ปล้นเงิน! ปล้นเงิน!” 

 

 

พอมาถึงตำบลหนึ่ง 

 

 

“มาดูมาชมกันสักหน่อยเร็ว พระอาจารย์ซานซาน พระมหาอาจารย์อันดับหนึ่งในโลกหล้าที่มหัศจรรย์ที่สุดจากยอดเขาเทพแห่งสรวงสวรรค์ที่มหัศจรรย์ที่สุดบนโลกนี้ วันนี้จะแสดงวรยุทธ์เทพบรรทมที่มหัศจรรย์ที่สุดเลิศล้ำที่สุดจากยอดเขาเทพแห่งสรวงสวรรค์ให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลได้เห็นแล้ว!” 

 

 

“วรยุทธ์ใดกัน” 

 

 

“ลองดูสักหน่อย ฟังดูแล้วสุดยอดยิ่งนัก” 

 

 

หนึ่งชั่วยามผ่านไป 

 

 

“ฟี้…ฟี้…” 

 

 

“เขากำลังนอนหลับหรือ?” 

 

 

“ไม่ใช่กระมัง…นี่อาจจะเป็นช่วงแรกของวรยุทธ์เทพบรรทม?” 

 

 

“รออีกสักหน่อย” 

 

 

“ไอ้หยา หิมะตกแล้ว…” 

 

 

สองชั่วยามผ่านไป 

 

 

“ฟี้…ฟี้…” 

 

 

สามชั่วยามผ่านไป 

 

 

“ฟี้…ฟี้…อ๊ะ ทุกท่านยังอยู่กันอีกหรือ? อาตมาแสดงวรยุทธ์เทพเสร็จสิ้นแล้ว วรยุทธ์เทพบรรทม พอนอนหลับแน่นิ่งไปครึ่งวัน แม้หิมะตกลมพัดยังนอนตระหง่านไม่ขยับเขยื้อน! เป็นอย่างไร? หากมิใช่ผู้เฉลียวฉลาดย่อมไม่อาจเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความศักดิ์สิทธิ์แห่งวรยุทธ์เทพบรรทมนี้ของอาตมาได้…มาๆๆ ผู้เฒ่าผู้แก่ทุกท่าน มองดูแล้วให้เงิน…โอ๊ย พวกท่านเขวี้ยงมันฝรั่งทำไม อาตมาไม่เอามันฝรั่ง…” 

 

 

“โอ๊ยๆๆ เจ้าห้าถูกรังแกแล้ว ต่อยพวกเขา! ต่อยพวกเขา!” 

 

 

“ปล้นเงิน! ปล้นเงิน!” 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวนับเงินอยู่ภายในรถม้า เหรียญเงินเหรียญทองแดงที่ปะปนกันมั่วซั่วซ้ำยังมีตั๋วเงินมูลค่าสูงกองเต็มทั่วพื้น 

 

 

นับเงินไปพลางนางก็ส่ายหน้าไปพลาง เอ่ยชื่นชมความสามารถในการปล้นเงินของเจ็ดสังหารไม่หยุดปาก 

 

 

“ด้วยวรยุทธ์ของพวกเจ้า เข้าไปยื้อแย่งโดยตรงเลยก็ได้ เหตุใดจะต้องสิ้นเปลืองเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้? ดูอู่ซานสิ หมู่นี้บวมช้ำทั่วศีรษะทุกวันเลย” 

 

 

อู่ซานพลันยื่นศีรษะเข้ามา แสดงท่าทางน้ำตาคลอเบ้าอยากให้ปัวปัวลูบศีรษะสักหน่อย 

 

 

“ภรรยาเจ้าน่ะไม่เข้าใจ พระภิกษุต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเสียสละ หากข้าไม่ถูกต่อยจนบวมช้ำ แล้วผู้ใดจะถูกต่อยจนบวมช้ำ?” อีชีกระแทกกำปั้นหนึ่ง จัดการรวมรอยปูดโปนสามรอยบนศีรษะเขาให้กลายเป็นรอยเดียว 

 

 

“อาจารย์เอ่ยว่าตามกฎสำนักของพวกเราห้ามรังแกผู้อ่อนแอกว่าตน” ซือซือเอ่ย 

 

 

จิ่งเหิงปัวเกิดความเลื่อมใสอย่างยิ่ง 

 

 

“ฉะนั้นยามหากอยากรังแกผู้อ่อนแอกว่าตนจำเป็นต้องแสวงหาเหตุผลสักข้อก่อน เช่น ศิษย์น้องถูกต่อยแล้วอะไรเช่นนั้น” เอ่อร์ลู่เอ่ย 

 

 

จิ่งเหิงปัวตัดสินใจเก็บความคิดเมื่อครู่คืนมา 

 

 

“อาจารย์เอ่ยว่าหากกระทำเรื่องเรื่องหนึ่งเพียงด้านเดียวนับว่าน่าเบื่อ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่ามีหลักการไม่น้อย 

 

 

“ฉะนั้นไม่ว่ากระทำเรื่องใดจะต้องพิถีพิถันหลายหลากรูปแบบ กลอุบายยิ่งมาก สติปัญญายิ่งมาก” 

 

 

จิ่งเหิงปัวตัดสินใจเก็บความคิดเมื่อครู่คืนมา 

 

 

“หากวาดลวดลายมากเกินไปแล้วเกิดเรื่องเกิดราวเข้าเล่า?” 

 

 

“อาจารย์เอ่ยว่าพวกเราฝึกฝนวรยุทธ์กันเพื่อสิ่งใด” 

 

 

“แน่นอนว่าเพื่อเอาชนะผู้อื่น!” 

 

 

“หากฝึกฝนวรยุทธ์จนเชี่ยวชาญแล้ว ย่อมมีเพียงพวกเราสร้างปัญหาให้ผู้อื่น ไม่มีผู้ใดสร้างปัญหาให้พวกเราได้” 

 

 

“หากยังคงเกิดปัญหาเล่า?” 

 

 

“สู้คืนไปสิ” 

 

 

“หากสู้ไม่ไหวเล่า?” 

 

 

“หนีสิ” 

 

 

“เช่นนั้นความยุ่งเหยิงที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร?” 

 

 

“เกี่ยวอะไรกับข้า” คราวนี้เอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน 

 

 

แววตาของเจ้าหมาโง่เปล่งประกายอยู่บนหลังคารถ ฟังแล้วรู้สึกว่าตรงใจตนเองยิ่งนัก ตะโกนว่า “เหมยขาวมุมกำแพง แตกแขนงยามหนาวทั่ว พวกเฮฮาเจ็ดตัว ฆ่ามั่วซั่วไม่ยอมฝัง” 

 

 

จิ่งเหิงปัวกุมขมับ รู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่เลือกเดินทางผ่านแคว้นเซียง…ทัศนคติทั้งสาม[1]วุ่นวายในสายลมแบบนี้ 

 

 

แต่ตอนนี้คิดกลับไปที่เส้นทางเดิมอีกครั้งคงเป็นไปไม่ได้ ซ้ำยังใกล้จะมีหิมะตกแล้ว หากย้อนกลับไปเส้นทางนั้นในตอนนี้จะผ่านบึงโคลนตอนหิมะตกพอดี พอถึงตอนนั้นจำแนกพื้นหิมะกับบึงโคลนได้ไม่ชัดเจนจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง 

 

 

บนเส้นทางนอกรถพลันมีเสียงรถม้าแล่นอย่างรวดเร็ว พอจิ่งเหิงปัวชะโงกศีรษะมองออกไปข้างนอกจึงเห็นขบวนรถม้าแล่นผ่านประหนึ่งสายลม สารถีบนรถม้านำขบวนสะบัดแส้ส่งเสียงเพียะๆ ดังสนั่น ทำให้รถม้ารอบด้านทุกคันต้องถอยไปข้างทาง 

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเหยียลี่ว์ฉีร้อง “เอ๊ะ?” แผ่วเบาเสียงหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่ารถม้านั้นแลดูคุ้นตาเช่นกัน สั่งให้รถม้าของตนเองถอยออกมาด้วยไปพลาง พอหันหน้ามองเห็นรถม้าคันแรกแล่นผ่านไป ผ้าม่านสะบัดพัดพลิ้วขึ้น ผุดเผยด้านข้างของคนคนหนึ่งในรถม้า 

 

 

ด้านข้างนี้คล้ายเคยได้พบเจอเช่นกัน 

 

 

หลังจากขบวนรถผ่านไปด้วยท่าทางอึกทึกครึกโครม ผู้คนที่หลบหลีกไปข้างทางถึงค่อยๆ ทยอยกันออกมา จัดการรถม้าของตนเองพลางบ่นว่าไปด้วย 

 

 

“เมื่อครู่ผู้ใดกัน ท่าทางยิ่งใหญ่เหลือเกิน” 

 

 

“มองไม่เห็นสัญลักษณ์ชบาทองหรือ? เสนาหญิงเฟยหลัวกลับมาแล้ว!” 

 

 

 

 

 

[1] ทัศนคติทั้งสาม (三观) ได้แก่ ทัศนคติต่อโลก ทัศนคติต่อชีวิตและทัศนคติต่อคุณค่า