บทที่ 146 มู่เหมียนจวิ้นจู่

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

เมื่ออาบน้ำออกมา ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ก็ไปที่จวนอ๋อนตวนด้วยกัน

ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นเคลิ้บหลับไปสักพัก ถึงแม้ระยะทางไม่ได้ไกลมากนัก ทว่าก็ยังจะนอนบนตักของหนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาพลันได้ยินเสียงต้นไผ่สวบสาบ นางจัดแจงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่เข้าใจจริงๆ สามีแต่งพระชายารองมีอะไรให้น่ายินดีกัน”

“นี่เป็นเกียรติของชายาเอก ตั้งแต่พระชายารองให้สามีตนก็สามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์จิตใจโอบเอื้ออารีและมีคุณธรรมได้” หนานกงเย่ลงจากรถม้า แล้วเอื้อมให้ฉีเฟยอวิ๋น เพื่อนางจะได้ไม่ตกลงมาโดยไม่ทันระวังตัว ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า หนานกงเย่ก็อธิบายไปพลาง

หลังฉีเฟยอวิ๋นลงมาถึงก็อุ้มจิ้งจอกหางสั้น กล่าวอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ข้าว่าฝืนมากกว่า ใครจะชอบปันสามีตัวเองให้ผู้อื่น ยินดีปรีดาบ้าบออะไรกัน”

หนานกงเย่รู้สึกขำ “พระชายาตวนไม่สำเหนียกสนใจ เจ้ากังวลแทนกระไร”

“ล้วนเป็นสตรีเช่นกัน เลยสงสารเสียหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นลูบไล้จิ้งจอกหางสั้น หนานกงเย่โยนจิ้งจอกหางสั้นกลับเข้ารถม้า จิ้งจอกหางสั้นกระตุกใบหู ก่อนจะมุดเข้าไปด้านในรถม้าอย่างรู้งาน

ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมอง หนานกงเย่จูงมือนางหมุนกายเดินไปเบื้องหน้า

หน้าประตูจวนอ๋องตวนมีคนยืนต้อนรับอยู่กลุ่มหนึ่ง เห็นแขกเหรื่อมาเยือนก็รีบเข้ามาเชื้อเชิญ

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นทุกคนพกของขวัญมาด้วย แต่นางดันมามือเปล่า อดถามหนานกงเย่ไม่ได้ “พวกเราไม่มอบของขวัญหรือ?”

“พระชายาอยากมอบหรือ?” หนานกงเย่อย่างมีเลศนัย ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัว ไม่อยากเลย

หนานกงเย่จูงนางเข้าไป “ข้ามาร่วมได้ก็ดีถมเถแล้ว อย่างที่พระชายาเอ่ย เรื่องพรรค์นี้ พระชายาตวนคงไม่ได้อยากได้ของขวัญพวกนั้นหรอก”

“อืม”

ทั้งสองเดินเข้ามาก็เจอะเจอคนมักคุ้น ฉีเฟยอวิ๋นอ่านอดีตในสมองหนึ่งจบ ส่วนมากนางรู้จัก ครั้งกระโน้น ยามที่หนานกงเย่ได้แต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คนพวกนี้เคยไปแสดงความยินดีด้วย

เมื่อคุณคนเห็นหนานกงเย่กับฉีเฟยอวิ๋นพลันยอบกายคารวะ ฉีเฟยอวิ๋นมีบรรดาศักดิ์เป็นพระชายา ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยกว่านาง ล้วนพยักหน้าแสดงความเป็นมิตร

พอเดินมาถึงด้านในพลันเห็นเหล่าจวิ้นจู่กับจวิ้นอ๋อง และยังมีองค์หญิงอีกด้วย ทว่าไม่ใช่เครือญาติของหนานกงเย่

คนสกุลเฉินก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน ฉีเฟยอวิ๋นทอดสายตามองออกไปไกลพลันเห็นเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ ซึ่งเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ยังคงสะดุดตาเช่นเดิม นางสวมอาภรณ์เรียบหรู มีผู้คนล้อมรอบมากมาย

ยามนี้เฉินอวิ๋นชูผู้เป็นฮองเฮาทรงตั้งพระครรภ์ สกุลเฉินถูกจัดเป็นกลุ่มขุนนางที่พอพระทัยฝ่าบาทอีกครา คนพวกนั้นแข่งกันประจบประแจงเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หยุดหย่อน

โดยเฉพาะสตรีวัยปักปิ่น กระตือรือร้นเหลือแสน

ฉีเฟยอวิ๋นโดนจูงออกไป เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เห็นทั้งสองปรากฏกายในอาภรณ์สวยหรู ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ ทั้งสองสวมอาภรณ์สีม่วง แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายคลึงกัน ฉีเฟยอวิ๋นเกล้าผมแล้วปักปิ่นทองคำไม่กี่อันเท่านั้น เครื่องประดับอย่างอื่นก็ไม่มีให้พบเห็นอีก เรียบง่ายทว่าสง่างาม

หนานกงเย่จัดทรงผมด้วยเครื่องหัวสีทองอร่ามและผ้าคาดผมสีทองหลายเส้นระบนเรือนผม เข้ากับการแต่งกายของฉีเฟยอวิ๋นอย่างลงตัว เหมาะสมกันยิ่งนัก

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กำหมัดแน่น ฉีเฟยอวิ๋น ต้องมีวันที่เจ้าสะอื้นไห้แน่

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าดูสินางได้ใจเหลือเกิน” โจวเหม่ยเหรินรู้สึกฉีเฟยอวิ๋นขัดหูขัดตาตลอด เพราะไม่ได้ตบแต่งกับหนานกงเย่พร้อมกับเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ สุดท้ายก็เป็นได้แค่โจวเหม่ยเหริน ชิงชังยิ่งนัก

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์หันหน้าไปอีกด้าน หามุมนั่งลง “ไม่ต้องพูดแล้ว”

“อวิ๋นเอ๋อร์ ประเดี๋ยวข้าจะทำให้นางร้องไห้” ความเกลียดแค้นผุดขึ้นกลางใจโจวเหม่ยเหริน

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์มองโจวเหม่ยเหรินปราดหนึ่ง นางไม่ได้กล่าวสิ่งใด ซึ่งถือว่าอนุญาตเงียบๆแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นมาได้เหมาะเจาะมาก พระชายารองอวิ๋นหลัวฉวนเข้าประตูพอดี

อวิ๋นหลัวฉวนสวมชุดแต่งงานสีชมพูอ่อน เดินเยื้องย่างเข้าประตูทีละก้าว ด้านหน้ามีแม่นมจูงมาตลอดทาง พอเข้ามาถึงด้านในก็ยอบกายคารวะแล้วถอยห่าง

จวินฉูฉู่สวมชุดสีแดงชาดนั่งอยู่ด้านบน วันนี้ใบหน้าจวินฉูฉู่เปี่ยมไปด้วยสีแดงก่ำ งดงามยิ่งนัก นางทำทรงผมมู่ตาน ใช้ปิ่นทองรูปมู่ตาน นั่งอยู่ในอิริยาบถสง่าราศีเหลือคณา

ด้านข้างมีหนานกงเหยี่ยนที่สวมชุดแดงฉานพร้อมกับใส่มงกุฎมังกรเก้าเศียรประดับด้วยไข่มุกทองคำนั่งอยู่ พลางใช้แววตาเรียบเฉยจดจ่อกับพระชายารองตรงหน้า

พระชายารองยอบกายคารวะ

เพราะเป็นพระชายารอง พิธีแต่งงานจึงเรียบง่ายกว่ามาก หลังจากคารวะท่านอ๋องตวนกับพระชายาตวนก็ถูกคนนำออกไป

สตรีนางอื่นเริ่มกล่าวแสดงความยินดีขึ้นมา สุดท้ายก็ถึงตาฉีเฟยอวิ๋น

พวกนางเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน ย่อมต้องกล่าวแสดงความยินดีอยู่แล้ว

ทว่าฉีเฟยอวิ๋นมองจวินฉูฉู่ปราดหนึ่ง ไม่ได้กล่าวแต่อย่างใด

หนานกงเย่เองก็ตามนางออกไปด้วย

สีหน้าจวินฉูฉู่ยังคงเบิกบาน หนานกงเยี่ยนนั่งสักพักก็ลุกขึ้น จวินฉูฉู่ก็ลุกเดินเป็นเพื่อนเขา จากนั้นก็กลับห้องไป

พิธีมงคลย่อมต้องร่วมรับประทานอาหาร ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ไปทานข้าว จึงจะรู้ว่าเฉินอวิ๋นเจี๋ยก็มาด้วย ทว่าเฉินอวิ๋นเจี่ยนั่งตรงข้ามพวกฉีเฟยอวิ๋น ถือว่าห่างกันพอสมควร

หนานกงเย่จับมือฉีเฟยอวิ๋นพลันกระซิบข้างหูนาง “หากมองอีกปราดเดียว ข้าจะไปพังจวนเสนาบดี”

ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะร่า รอบๆมีเสียงคุยเรื่องสัพเพเหระดังเซ็งแซ่อยู่ เมื่อนางอดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว คนกว่าครึ่งต่างหันมามองนาง

ฉีเฟยอวิ๋นเม้มปากยิ้ม แววตาที่หนานกงเย่มองนางนั้นอ่อนนุ่มราวกับหยดน้ำ กำลังนั่งทานข้าวแท้ๆ ยังจะจับมือนางอีก

ฉีเฟยอวิ๋นไม่แยแสต่อสายตาที่มองมายังนาง ทางกลับกัน นางพูดขึ้นมาว่า “พูดเสียจริงเชียว แน่จริงท่านก็ไปสิ?”

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ขณะที่เอ่ยหนานกงเย่ก็ลุกขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง ฉีเฟยอวิ๋นรีบคว้ามือหนานกงเย่ไว้

“ข้าผิดแล้วเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอโทษราวกับจรวดเสียอีก หนานกงเย่จึงจัดแจงเสื้อผ้าหย่อนกายนั่งอีกครั้ง

ทว่าเขาจับมือฉีเฟยอวิ๋นไว้พร้อมกับนึกอะไรบางอย่างได้ ก้มลงถามใกล้หูนาง “พิธีแต่งงานชาติปัจจุบันมีคนเข้าร่วมเยอะเพียงนี้หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้างัน เล่าเรื่องงานแต่งงานให้เขาฟังเบาๆ

หนานกงเย่ฟังอย่างจดจ่อ คนรอบๆ บ้างก็ชื่นชอบ บ้างก็กลัดกลุ้ม

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กำหมัดแน่น รู้สึกเกลียดแทงเข้ากระดูก

ส่วนเฉินอวิ๋นเจี๋ยนั้นราบเรียบ เพียงแต่สายตาละจากรอยยิ้มฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้

เพลานี้ท่านอ๋อนตวนกับพระชายาตวนออกมาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ จากนั้นก็เดินมาหาฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ ทางด้านนี้มีที่ว่างสำหรับพวกเขาสองคน

ต่างพากันนั่งลง พระชายาตวนมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยรอยยิ้มเจือจาง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดไปหมด ระหว่างพวกนางไม่ได้มีบุญคุณความแค้นธรรมดา ทว่ากลับต้องปั้นหน้าคล้ายกับไม่มีสิ่งใด แล้วกล่าวทักทายอีกฝ่าย จิ้งจอกไม่ใช่จิ้งจอก ทว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวดีๆนี่เอง

“ทานข้าวกัน”

ท่านอ๋องตวนกล่าวทักทายไม่กี่ประโยคก็เริ่มรับประทานอาหารขึ้นมา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอร่อยไม่เบา จึงไม่ได้ใส่ใจสิ่งอื่น

ผู้อื่นกำลังพูดคุยกัน ฉีเฟยอวิ๋นล้วนครุ่นคิดแต่เรื่องตัวเองจะกินอะไรต่อดี

มีคนเสนอว่า วันนี้เป็นวันเปรมปรีดิ์ ทุกคนออกมาแสดงความสามารถส่วนตัวเพื่อสร้างบรรยากาศรื่นรมย์กัน

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินก็อยากก่นด่าโจวเหม่ยเหรินสักตั้ง เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เคยพ่ายแพ้ให้กับฉีเฟยอวิ๋นอย่างราบคาบที่เนินเขาสิบลี้มาแล้ว นางกลับเสนอเช่นนี้อีก

ช่างน่าโมโหนัก

จวินฉูฉู่มองไปยังโจวเหม่ยเหริน พลางคลี่ยิ้ม “ข้อเสนอของคุณหนูโจวดีเยี่ยมมาเลย เช่นนั้นเชิญคุณหนูโจวแสดงก่อนเลย”

คนรอบข้างไม่ใส่ใจ รอชมการแสดงของโจวเหม่ยเหริน

เมื่อโจวเหม่ยเหรินลุกขึ้นก็สั่งให้คนนำถ้วยเล็กมาหลายสิบใบ จากนั้นก็ใช้ตะเกียงเคาะบรรเลงเป็นเสียงดนตรี

มีคนเปรยขึ้นว่าเสียงดนตรีนี้มีเพียงบนสวรรค์เท่านั้น ส่วนบนโลกมนุษย์จะมีให้ฟังสักกี่ครา

ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดปาก มองคนทั้งสี่ด้านอย่างไม่ชอบความครึกครื้น

หนานกงเย่รู้ว่าลายมือฉีเฟยอวิ๋นคนนี้ดีมาก ทว่าอย่างอื่นก็ไม่รู้ จึงรู้สึกอยากรู้ยิ่ง

“กินเสร็จแล้วหรือ?”

หนานกงเย่หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า เตรียมชมการแสดงแล้วก็คิดจะกลับไป

โจวเหม่ยเหรินพยักหน้า ถอยออกอย่างมีเลศนัย เฉินอวิ๋นเอ๋อร์มองโจวเหม่ยเหรินอย่างไรก็รู้สึกไม่เจริญตายิ่ง พบว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายวันนี้ไม่เพียงแต่เป็นหนานกงเย่ ยังมีพี่สามนาง เฉินอวิ๋นเจี๋ยอีกด้วย ยามนี้นางรู้จักมองพี่ชายของตัวเองสักที

อีกฝ่ายแสดงความสามารถเยี่ยงนี้ ล้วนทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ไม่เคยคำนึกถึงนางเลยสักนิด

เป็นอย่างที่คิด จวินฉูฉู่มองไปยังรอบกาย พร้อมกับกล่าวว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ คุณหนูเฉินเป็นสตรีงามล่มเมือง ไม่สู้เชิญคุณหนูเฉินแสดงให้พวกเราชื่นชมสักครั้ง”

สีหน้าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์แปรเปลี่ยน นางไม่อยากแสดง

ทว่าพระชายาตวนเอ่ยปาก นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้
นางกำลังเตรียมตัวลุกขึ้น เฉินอวิ๋นเจี๋ยพูดขึ้นกะทันหันว่า “ในเมื่อไม่สบายก็ช่างเถอะ”

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์มองต้นเสียง อยากจะพูดอะไรบ้าง ทว่าจวินฉูฉู่ชิงพูดก่อนว่า “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ร่างกายสำคัญที่สุด ย่อมมีโอกาสอีกแน่นอน”

จวินฉูฉู่มองสำรวจรอบๆ กล่าวอย่างลำบากใจว่า “ข้าคิดการแสดงไม่ออก”

ท่านอ๋องตวนก็ไม่มีความสนใจด้านนี้ โจวเหม่ยเหรินพูดขึ้นมาว่า “ไม่สู้เชิญพระชายาเย่แสดง ให้พวกข้าเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

ความโกรธประเดประดังเข้าหาเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ทั่วสารทิศ วันนี้โจวเหม่ยเหรินกินยาผิดหรือว่าอย่างไร ทำไมพูดถึงฉีเฟยอวิ๋นติดปากตลอด ฉีเฟยอวิ๋นให้ผลประโยชน์อะไรกับนางไว้?

ฉีเฟยอวิ๋นมองผู้เสนอ ไม่ได้พูดกระไร

คนรอบกายล้วนเพ่งมองมายังนาง

หนานกงเย่ดูจากท่าทางนางแล้วเหมือนไม่อยากจะไปแสดง จึงปฏิเสธขึ้นมา

“อวิ๋นอวิ๋นไม่ชอบความคึกคัก วันนี้ช่างเถอะ” หนานกงเย่กล่าวเสียงเรียบ

โจวเหม่ยเหรินเห็นแววตาไม่สู้ดีนักของหนานกงเย่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอีก

ทว่ามีจวิ้นจู่คนหนึ่งไม่ชอบหน้าฉีเฟยอวิ๋น กล่าวขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน จวิ้นจู่ข้าขอเรียนเชิญพระชายาร่วมบรรเลงพิณปี่กับข้า เช่นไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่พูด หนานกงเย่สีหน้ามืดครึ้ม มองคนกล่าว นางเป็นบุตรสาวของท่านลุงใหญ่ ราชทินนามว่า มู่เหมียนจวิ้นจู่

ความสัมพันธ์ของนางกับเขาไม่สู้ดีนัก หลังจากนางอ้อนวอนอยากแต่งงานกับเขา ทว่าเขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย นางจึงริษยาจนกลายเป็นเคียดแค้น ไม่เพียงไม่ชอบเขา สตรีที่เข้าใกล้เขาล้วนถูกนางกลั่นแกล้งจนอยู่ไม่เป็นสุข

ตอนแรกชื่อเสียงฉีเฟยอวิ๋นไม่ดีจริงแท้

และมู่เหมียนจวิ้นจู่ก็ไม่ได้ดีกว่ากัน หลายครั้งหลายคราว พวกนางทั้งสองเคยตบตีเพราะเขาไม่น้อย

ทว่าท้ายสุด มู่เหมียนจวิ้นจู่เป็นรอง ขายหน้าไปทั่วอาณาจักร

แววตาหงุดหงิดของหนานกงเย่ ไหนเลยมู่เหมียนจวิ้นจู่จะหวาดหวั่น ทางกลับกัน นางลุกขึ้นมา

“พระชายาเย่ ไม่ยินดีหรือ?” มู่เหมียนจวิ้นจู่เดินไปถามฉีเฟยอวิ๋น เฉินอวิ๋นเอ๋อร์อยากรู้นักว่าฉีเฟยอวิ๋นจะรับมือเช่นไร

ยามนี้โจวเหม่ยเหรินนั่งด้านข้างเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ ส่งสายตาให้นางวางใจ

เฉินอวิ๋นเอ๋อร์รู้ว่าตัวเองเข้าใจโจวเหม่ยเหรินผิดไป จึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

“มู่เหยียน กลับมาเมื่อไหร่?” หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะด้วยเรื่องที่เขาแต่งงาน มู่เหมียนโวยวายไปถึงจวนกั๋วจิ้ว สุดท้ายหวังฮวายอันผู้เป็นเสี่ยวกั๋วจิ้วแล้วส่งตัวกลับไป

กลับเมืองหลวงเมื่อไหร่ หนานกงเย่ก็ไม่ล่วงรู้

“ข้ากลับเมื่อไหร่ เสด็จพี่ยังสนใจด้วยหรือเพคะ?” แววตามู่เหมียนประกายแสงเสียใจแวบผ่าน นางไม่ดีตรงไหน?

หนานกงเย่ไม่อยากพูดไร้สาระกับนาง ลุกขึ้นหมายจะเดินออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมออกไป ทว่าปากกลับขยิบพูดออกมาว่า “งั้นก็แสดงเถอะ วันนี้ลืมนำของขวัญมา จากไปก็รู้สึกเกรงใจ”

หนานกงเย่ปรายตามอง ดวงตาคนรอบกายล้วนเปี่ยมไปด้วยความวาดหวังรอคอย

มู่เหมียนจวิ้นจู่กับพระชายาเย่ ต่างก็เป็นบุคคลที่หาเรื่องไม่ได้ง่ายๆ

“ดี เอาปี่ของข้าไป” มู่เหมียนจวิ้นจู่ฐานะสูงศักดิ์ มีความเย่อหยิ่งโอหังอยู่ในตัว

ถึงแม้ต้ากั๋วจิ้วจะไม่ก้าวก่ายเรื่องในราชสำนัก ทว่านางชอบเข้าพระราชวังแต่เด็ก กอปรที่พระพันปีไม่มีพระธิดา ตัวนางเป็นบุตรสาวคนเล็กสุดของต้ากั๋วจิ้ว พระพันปีจึงชื่นชอบและพะเน้าพะนอนางเป็นพิเศษ ทำให้นางมีนิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว

ด้วยความโปรดปรานจากพระพันปี คนในเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องกับนาง

แต่ฉีเฟยอวิ๋นดันไม่เต็มใจ มักปะทะกับนางอยู่ร่ำไป