เล่ม 1 ตอนที่ 298 อืม ให้ชายรูปงามเข้าวัง

ราชินีพลิกสวรรค์

รูปปั้นหินที่คุกเข่าอยู่กับพื้น ราวกับสำนึกผิด ร่างแบกศิลาจารึก ถูกทับอยู่ใต้ล่างศิลาจารึกตลอดกาล

หลังจากที่ทุกอย่างสงบ ทุกสิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

ซีเฉียน ผู้คนของจยาเซียน ล้วนแต่มองศิลาที่ไม่มีอักษรจารึกที่ใหม่เอี่ยมนั้นอย่างไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับถูกเจียงหลีทำให้ตกใจกลัวไปหมด

“คนๆ นี้ นำทหารมาเผาบ้านเรือน ฆ่าผู้คน ปล้นชิงทรัพย์ในมณฑลสุ่ยหันแห่งจยาเซียนของข้า ข้าตัดสินโทษเขา ให้เขาคุกเข่าสารภาพผิดต่อประชาชนชาวสุ่ยหันของข้าตลอดกาล” เสียงของเจียงหลี ดังไปในอากาศ ทำลายความเงียบลง ดังก้องอยู่ในใจของทหารทั้งสองฝ่าย

นางคือจักรพรรดินี!

จักรพรรดินีแห่งใต้หล้า!

ใครที่กล้ารังแกประชาชนของนาง นางก็ตัดสินโทษให้เขากลายเป็นรูปปั้นหิน สารภาพผิดตลอดกาล ถูกทับอยู่ตรงนี้ เพื่อเตือนผู้คน

หลี่ชังมองไปยังรูปปั้นหินนั้น ที่มีลักษณะคุกเข่าสารภาพผิด ทำให้เขารู้สึกหนาวไปหมด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสิ้นหวังกับการหาเรื่องคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย

เพราะคำพูดนี้ของเจียงหลี ทำให้ชาวจยาเซียนเร่าร้อนเดือดพล่าน

จักรพรรดินีของพวกเขา! นี่คือจักรพรรดินีของพวกเขา! สามารถปกป้องพวกเขาได้ จักรพรรดินีที่สามารถให้พลังแก่พวกเขาได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สายตาที่แม่ทัพแห่งจยาเซียนมองเจียงหลี ถึงได้เผยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมากออกมา

ผู้บังคับบัญชาซีฝางมองเจียงหลีด้วยแววตาที่เร่าร้อน ในแววตามีความซึ้งใจเป็นอย่างมากผุดขึ้นมา เหมือนว่าพอมาถึงตอนนี้ เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่านายน้อยลู่เจี้ยที่พวกเขาเคารพและเลื่อมใสที่สุด ถึงได้มอบราชวงศ์จยาเซียนไว้ในมือของสาวน้อยคนนี้

เพราะว่านางเอาอยู่!

เพราะว่านางคู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดินี!

การเข่นฆ่าและการยั่วยุของอาณาจักรซีเฉียน ตอนนี้ก็ดูโง่เขลาเหมือนกับตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกา ที่ทำให้ความเป็นราชาของจักรพรรดินีเจียงหลีคนนี้เด่นชัดขึ้นมา

ทันใดนั้น เจียงหลียกมือขึ้น ใช้พลังวิญญาณสลักบนศิลาจารึกที่ว่างเปล่านั้นไว้สี่คำ ‘เขตจยาเซียน’

“……” ในแววตาของหลี่ชังเจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงอย่างไรอย่างนั้น

ศิลาจารึกนั้น เลยเขตแดนเดิมเข้ามาในซีเฉียนประมาณหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าที่เลยมานี้เป็นเพราะจักรพรรดินีแห่งจยาเซียนจงใจหรือไม่

ถึงแม้ว่าประเทศซีเฉียนจะเสียพื้นที่ไปเล็กน้อย แต่สำหรับซีเฉียนแล้ว เป็นการหยามหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

หยามหน้ากันอย่างมาก!

ยิ่งกว่าบุกยึดเมืองได้เสียอีก ยังทำให้โกรธจนกระอักเลือดได้เลย

เหมือนว่าหลี่ชังจะคาดเดาได้ หลังจากที่ฮ่องเต้แห่งซีเฉียนรู้เรื่องนี้ จะเกิดอะไรขึ้นในราชวงศ์ แต่ว่าเขากลับไม่กล้าเตือนเจียงหลีว่าศิลาจารึกเขตแดนนี้เลยเข้ามาในดินแดนของซีเฉียน ไม่อยากมีชิวิตต่อไปแล้วรึ

เขตจยาเซียน!

เขตจยาเซียน!

ตั้งแต่นี้ บนโลกนี้ไม่มีราชวงศ์สุ่ยหันอีกต่อไป ศิลาจารึกของราชวงศ์จยาเซียน ตั้งอยู่ตรงที่เขตแดนติดกับซีเฉียน

เขตจยาเซียน! ในใจเจียงเฮ่าเกิดความฮึกเหิม มองไปยังตัวหนังสือทั้งสามตัวที่ปรากฏขึ้นมา เขารู้ว่านี่คือศิลาจารึกเขตแดนของเจียงหลี และจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของทั้งราชวงศ์จยาเซียนในอนาคต

หลังจากในตอนที่เจียงหลียึดครองผืนแผ่นดินนี้ได้ ศิลาจารึกนี้ก็ไม่ต้องเอามาใช้เป็นตัวแบ่งเขตอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสถานที่ที่น่านับถือในใจประชาชน

ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดเช่นนี้ เขาหันกลับไปมอง ในสายตาของชาวจยาเซียนทุกคน ล้วนแต่เห็นเปลวไฟที่ถูกปลุกขึ้น แล้วก็ความเลื่อมใสศรัทธาครั้งใหม่

บนศิลาจารึกเขตแดน เต็มไปด้วยพลังอำนาจของจักรพรรดิ ทำให้หลี่ชังมีความรู้สึกที่อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงสวามิภักดิ์

“พวกเจ้าไปได้แล้ว” ทุกอย่างเสร็จสิ้น เจียงหลีถึงได้พูดอย่างสงบนิ่งและเย็นชา

ไปซะ!

ไปหรือ

หลี่ชังได้สติจากความตกใจกลัว ไม่กล้าพูดเรื่องการเจรจาสงบศึกขึ้นมาอีก รีบหนีไปเหมือนกับนักโทษที่ได้รับอภัยโทษอย่างไรอย่างนั้น ทหารซีเฉียนพันคนนั้นก็รีบตามเขาไปอย่างหดหู่และสิ้นหวัง

“ฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี”

“ฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี!”

ในตอนที่ทหารซีเฉียนหนีไปอย่างจนตรอก ด้านหลังของพวกเขา กลับมีเสียงดังกึกก้องดังขึ้นมา

ปิดฉากสงครามครั้งยิ่งใหญ่

ไม่มีการเจรจาสงบศึก แล้วก็ไม่มีการเปิดศึก

การปรากฏขึ้นของศิลาจารึกเขตแดนสารภาพผิดนั้น ก็เหมือนกับหนามที่ปักลงในใจของฮ่องเต้แห่งซี เฉียนอย่างแรง ทำให้ในขณะที่เขาโกรธก็รู้สึกเต็มไปด้วยความหวาดกลัวด้วย

มากจนกระทั้งทำให้เข้าเสียใจภายหลัง ที่ว่าทำไมตอนแรกที่เอาเจียงหลีเข้ามาในวัง ถึงไม่ฆ่านาง

เจียงหลีและฮ่องเต้แห่งซีเฉียนรู้กันดีอยู่แก่ใจว่าจยาเซียนและซีเฉียนต้องได้รบกันสักครั้งแน่นอน! เพียงแต่ว่าสงครามที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ ต้องเตรียมหลายสิ่งหลายอย่าง ดังนั้นความสงบในตอนนี้ก็คือกำลังค่อยๆ เตรียมการเพื่อศึกครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้น

เรื่องที่ศาลาอำลา แพร่กระจายในหนานฮวงอย่างรวดเร็ว

การบอกเล่าปากต่อปาก ภาพลักษณ์ของเจียงหลีกลายเป็นตำนานมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ล้างภาพลักษณ์ของนางในใจประชาชนไป

อย่างน้อย ในมณฑลสุยหัน นางไม่เพียงแต่เป็นจักรพรรดินี ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นนางฟ้าที่ประชาชนเลื่อมใสศรัทธา

นางเป็นผู้นำรบ แต่กลับสามารถรอดพ้นจากความตายได้!

หลังจากที่ข่าวคราวแพร่ไปถึงเป่ยโหรว เล่ากันว่าฮ่องเต้แห่งเป่ยโหรวพูดอย่างเย็นชาเพียงว่า “ฮ่องเต้แห่งซีเฉียนคิดหาผลประโยชน์จากผู้อื่น แต่กลับเสียหายเสียเอง!”

….

ณ ราชวงศ์จยาเซียน เมืองซั่งตู ในพระราชวัง ตำหนักหวงจี๋

เจียงหลีเพิ่งกลับมาถึงวันที่สอง หลังจากที่จัดการกิจการบ้านเมืองไปทั้งเช้าแล้ว เหมือนเป็นอัมพาตอยู่บนบัลลังก์มังกร ไร้ซึ้งความกล้าหาญฮึกเหิมเหมือนตอนอยู่ที่สุ่ยหัน

เห็นอวี้ซูถือจดหมายเข้ามาอีกแล้ว นางรีบเอนตัว หลับตา คลึงหัวแล้วแกล้งพูดว่า “อวี้ซูเจ้ายกโทษให้ข้าเถอะ ข้าปวดหัวจะตายอยู่แล้ว!”

อวี้ซูหัวเราะขึ้นมา ยืนอยู่หน้าโต๊ะ พูดอย่างจนปัญญาว่า “ฝ่าบาทคนดีของหม่อมฉัน สาสน์กราบทูลของขุนนางที่ดองเอาไว้เหล่านี้ หม่อมฉันข้ามไปหลายครั้งแล้ว จำเป็นต้องให้ท่านจัดการ ก็มีแค่นี้ ไม่มีแล้วเพคะ”

ได้ยินคำนี้ เจียงหลีรีบลืมตา นั่งตัวตรงแล้วมองนาง “ไม่มีแล้วหรือ เช่นนั้นในมือเจ้าคืออะไร”

พูดจบ ดวงตาที่สดใสคู่นั้นของนางก็ตื่นตัวขึ้นมา

ท่าทางนี้ของนาง ทำให้อวี้ซูกลั้นยิ้ม นำจดหมายในมือวางไว้บนโต๊ะ ถอยหลังไปสองก้าวแล้วพูดว่า “นี่คือรายชื่อและหนังสือภาพของชายรูปงามจากครอบครัวขุนนางที่จะเลือกเข้าวัง ฝ่าบาทไม่อยากดูหรือ”

ชายรูปงามอย่างนั้นหรือ

เจียงหลีแววตาเป็นกระกาย

นางนึกออกแล้ว ก่อนจะไปสุ่ยหัน นางเคยสั่งอวี้ซูให้ดำเนินการเรื่องคัดเลือกชายรูปงามเข้าวังต่อ รอนางกลับมา แล้วจะคัดเลือกชายรูปงามเข้าวังอีกครั้ง

ดูแล้ว ช่วงเวลาที่นางไม่อยู่ อวี้ซูได้คัดเลือกคนเหล่านี้ไปทีหนึ่งแล้ว แล้วก็ให้จิตรกรวาดลักษณะของพวกเขาลงบนหนังสือภาพ นางจะได้เลือกได้สะดวกๆ

“ชายรูปงามก็ต้องดูอยู่แล้ว! ชายรูปงามน่าดูมากกว่าสาสน์กราบทูลเหล่านี้ของขุนนางอยู่แล้ว!” เจียงหลีหัวเราะอย่างสนุกสนาน หยิบหนังสือเหล่านั้นขึ้นมาเปิดดูทีละหน้าๆ

เป็นการดูชายรูป แต่ว่าดวงตาที่สดของนาง กลับดูท่าทางเหมือนไม่หลงใหลในความรูปงามเลย

นางเปิดดูอย่างช้าๆ เหมือนว่ากำลังดูชายรูปงามที่แตกต่างกันอย่างละเอียดอยู่จริงๆ ทำความเข้าใจอย่างละเอียดกับคำบรรยายของพวกเขา

แต่อวี้ซูรู้ว่าคนในนี้ไม่มีใครที่จะได้รับความชื่นชอบจริงๆ จากฝ่าบาทสักคน

เปิดดูไปเกินครึ่ง ในตอนที่คนๆ หนึ่งปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าเจียงหลี แววตาของนางเปล่งประกายเล็กน้อย ชี้ท่านชายที่ดูสะโอดสะองบนหนังสือ พูดอย่างหยอกเย้าว่า “เขาแล้วกัน”

อวี้ซูโถมตัวเข้าไปดู ชั่วพริบตาก็เข้าใจ นางยิ้ม แล้วถามเจียงหลีว่า “ฝ่าบาท จะให้รับชายรูปงามเข้าวังเมื่อใด แล้วการคัดเลือกชายรูปงามนี้ยังต้องดำเนินการต่อไปหรือไม่เพคะ”

“ในเมื่อเลือกชายรูปงามได้แล้ว การคัดเลือกชายรูปงามก็หยุดลงก่อน ชายรูปงามเข้าวัง เป็นธรรมดาที่ต้องเลือกเป็นวันดีวันมงคล เรื่องนี้ให้ขุนนางชินเทียนจัดการ อย่าลืมว่าต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ อย่าให้ชายรูปงามรู้สึกน้อยใจ” เจียงหลียิ้มตาหยีแล้วพูด

อวี้ซูอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมา แล้วถอนสายบัว “รับทราบเพคะ”