บทที่ 74 อนาคตที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของดาร์ก เดม่อ

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活]

บทที่ 74 อนาคตที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ของดาร์ก เดม่อน

ดาร์กไม่ได้พยายามปกปิด อันที่จริงเขาไม่สามารถปกปิดมันได้

ผู้ที่สามารถเปิดร้านบนถนนนักเดินทางได้ย่อมไม่มีใครเป็นคนธรรมดา

ชายชราคนนี้อาจดูใจดี แต่เมื่อออกจากถนนนักเดินทาง เขาอาจจะเป็นคนนิสัยโหดเหี้ยมก็ได้ ใครจะไปรู้?

ดาร์กชี้ไปยังตะขอแล้วถามว่า “คุณปู่ครับ นี่คือตะขอแห่งโชคชะตาในตำนานไม่ใช่เหรอครับ?”

ชายชราลูบเครายาวของเขา แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “หายากมากที่คนอายุน้อยอย่างเธอจะดูออกได้ ใช่แล้ว รูปร่างของมันเหมือนกับตะขอแห่งโชคชะตา อืม… อันที่ใช้ตกวิญญาณล่ะนะ”

ดาร์กสงสัย “รูปร่างของมัน?”

ชายชราพยักหน้า หยิบตะขอที่เป็นสนิมออกจากหิ้งแล้วเช็ดฝุ่นออก

จากนั้นเขาก็พูดว่า “ที่ตำนานยังเป็นตำนานก็เพราะมันเป็นเรื่องประโลมโลกและคาดเดาไม่ได้ ถ้าคนพิสูจน์มันได้จริง ๆ แล้วตะขอนี้จะยังเป็นของที่คู่ควรกับคำว่าตำนานได้ยังไง? เพราะงั้นแล้วตะขอนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบตำนานนั้นเท่านั้น”

ดาร์กพยักหน้า ‘เหมือนจะเข้าใจ’ แต่ด้วยความสงสัยเล็กน้อย “งั้นมันเกี่ยววิญญาณได้ไหมครับคุณปู่?”

ชายชราเหลือบมองมาที่เขา และทันใดนั้นก็โบกตะขอไปข้างหน้า

วูบ!

ดาร์กก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และตะขอเคลื่อนผ่านหัวของเขาไปในทันใด

ชายชราหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ไม่ได้หรอก มันเกี่ยววิญญาณไม่ได้ สิ่งเดียวที่มันเกี่ยวออกมาได้มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านเท่านั้น”

“ความคิดฟุ้งซ่าน?”

จู่ ๆ ดาร์กก็เข้าใจและอดตั้งใจฟังไม่ได้

ชายชราพูดต่อ “มาเถอะ ฉันจะแสดงให้เธอดู… ว่าแต่เธอชื่ออะไร?”

ดาร์กตอบ “ดาร์กครับ แล้วคุณปู่ล่ะ?”

ชายชราพยักหน้า “เรียกฉันว่าปู่จอห์นเถอะ”

พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าไปในร้านที่มีแต่แสงสลัว ๆ

ดาร์กลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตามเข้าไป

คุณปู่จอห์นจุดตะเกียงน้ำมันเมื่อเขาเข้าไปข้างใน

แสงไฟพลันส่องสว่างไปทั่วทั้งร้าน

ปู่จอห์นหยิบกระดาษทรายชิ้นหนึ่งออกมาจากลิ้นชักแล้วสะบัดให้ดาร์กดู มันคือ ‘กระดาษขัดเงา’

จากนั้นก็ใช้กระดาษทรายถูที่ตะขออยู่ครู่หนึ่ง สนิมเก่าก็ค่อย ๆ หลุดออกมา

เมื่อเขาหยุดถู ‘ตะขอแห่งโชคชะตา’ ก็กลายเป็นของใหม่

ดาร์กรู้สึกประหลาดใจ

“ดูให้ดี!”

ปู่จอห์นมองไปที่ดาร์ก พลันมือของชายชราหยิบตะขอขึ้นมาจิ้มที่หัวของเด็กชาย!

ตะขอครึ่งหน้ากลายเป็นภาพลวงตาทันทีเมื่อแตะโดนผิวหนัง

จากนั้นก็มีฟองใส ๆ ถูกเกี่ยวออกมาจากหัวของเขา!

เป๊าะ!

ปู่จอห์นเหยียดนิ้วออกเพื่อเป่าฟองสบู่

“การไม่มีความคิดฟุ้งซ่านนั้นเป็นความรู้สึกที่ดีมาก~”

ชายชรามีสีหน้าที่สดชื่น

ดาร์กอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “มันสามารถเกี่ยวสสารแห่งความคิดออกมาจากจิตใจได้ไหมครับ?”

ปู่จอห์นพยักหน้า แล้วเหวี่ยงตะขอกลับไปที่ชั้นวาง “ของเก่าไม่รับประกันคุณภาพหรอกนะ และเธอตอนนี้ก็ใช้มันไม่ได้ด้วย หากเธอขึ้นปีห้าแล้ว ถ้าตะขอยังอยู่ฉันจะขายมันให้เธอ”

ริมฝีปากของดาร์กขยับเหมือนจะพูด แต่ในที่สุดเขาก็ออกจากร้านขายของเก่าไปโดยไม่พูดอะไร

อันที่จริง ดาร์กรู้ว่าไอเทมระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับสมองทั้งหมดนั้นต้องการความสามารถในการควบคุมที่สูง

มันเหมือนกับเครื่องหยดสมองวิเศษในมือของเขา แต่เขากลับกล้าใช้เพียงแค่ ‘วิธีแมลงปอสัมผัสน้ำ’ ที่ปลอดภัยที่สุดเท่านั้น

ของเลียนแบบตะขอแห่งโชคชะตานี้คล้ายกับเครื่องหยดสมองวิเศษมาก ยกเว้นว่าอย่างหลังสามารถดึงสสารออกมาได้ทีละหยดเท่านั้น ในขณะที่อย่างแรกสามารถเกี่ยวออกมาได้อย่างมากมาย!

นั่นเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป

หากเป็นแค่ความคิดฟุ้นซ่านก็ไม่เป็นไร แต่มันอาจทำให้บางความคิดที่สำคัญหายไปได้เช่นกัน

“ปีห้าเหรอ?”

ดาร์กอดคิดไม่ได้

“ตอนปีห้าฉันจะยังต้องการมันอยู่ไหมนะ?”

หลังจากซื้อการ์ดเวทมนตร์เปล่าและวัตถุดิบสำหรับการทดลองแล้ว ดาร์กก็เดินออกจากถนนนักเดินทาง

เขายังคงคิดถึงตะขอแห่งโชคชะตาอยู่ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเดินเข้าไปในปราสาท หยาดฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างเงียบ ๆ

ฝนตกแล้ว

“โชคดีจริง!”

ดาร์กแหงนมองเมฆฝนที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน และรู้สึกว่าตนโชคดีอย่างช่วยไม่ได้

ในสองวันของวันหยุดสุดสัปดาห์

หากดาร์กไม่อยู่ห้องนั่งเล่น เขาก็จะไปสิงอยู่ในห้องสมุด

บางครั้งเขาก็ไปที่ถนนนักเดินทางเพื่อรวบรวมการ์ดดอกไม้เป็นหลัก

แต่จำนวนการ์ดดอกไม้ชุดใหม่ดูจะมีไม่มาก ราวกับว่าผู้ที่แจกจ่ายมันไม่มีเหลือในมือแล้ว

หลังจากที่ดาร์กไปซื้อของที่ถนนนักเดินทาง เขาได้การ์ดดอกไม้กลับมาเพียงสามใบเท่านั้น

แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด

ในเมื่อมีการ์ดดอกไม้ เขาก็สามารถขอให้นักเรียนคนอื่นรวบรวมให้ได้

เพียงแต่ว่าการ์ดดอกไม้นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่น่าเชื่อถือตลอด และบางทีมันอาจจะใช้ไม่ได้ในสักวัน

ท้ายที่สุด พลังของมันก็ถูกยืมมาจากที่อื่น

ดาร์กใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุดเพื่อศึกษาความรู้เชิงทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความคิด

เขาพบว่าความรู้ของเขาในด้านนี้ยังบกพร่องอยู่มากเกินไป ถ้าสามารถศึกษาให้ละเอียดกว่านี้ได้ เขาอาจจะใช้วิธีการที่ชาญฉลาดกว่านี้ดึงเอา [อัตตา] และมหาบาปอื่น ๆ ออกมาภายในหนึ่งเดือนได้

แทนที่จะรอเดือนหน้าเหมือนอย่างในตอนนี้…

สัปดาห์ที่สามของเดือนตุลาคมมาถึงในพริบตา

ในคาบเรียนแรกของเช้าวันจันทร์ ศาสตราจารย์ซิลเวอร์ยังคงพูดถึงความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับการอัญเชิญบูชายัญ นักเรียนแทบจะไม่ได้เรียนจนจบคาบ แต่หลังจากเลิกเรียน จู่ ๆ พวกเขาก็ตื่นตัว

แม้แต่ดาร์กก็อดยิ้มไม่ได้

คาบเรียนต่อไปเป็นวิชาเวทมนตร์พื้นฐานของศาสตราจารย์เคเซอร์ จากคำเกริ่นนำของศาสตราจารย์เคเซอร์ พวกเขาจะได้เริ่มการสร้างการ์ดวิญญาณใบที่สองในชีวิตของพวกเขา

แน่นอนว่า…มีคนอย่างดาร์กที่สร้างใบที่สองไปแล้ว

เอ็มม่า มอร์ติสก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อเธออยู่ในห้องสมุด เธอจะอัญเชิญสปิริตตัวที่สองออกมาเป็นครั้งคราว

มันคือเหรียญทองที่มีปีก และสกิลที่ดีที่สุดของมันคือ การเล่นเป็นเหรียญทอง

สิบนาทีก่อนเวลาสิบโมงเช้า

ศาสตราจารย์เคเซอร์มาถึงห้องเรียนก่อนเวลาสิบนาที และห้องเรียนก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่านักเรียนแล้ว

เขาเหลือบมองไปยังจอมเวทฝึกหัดที่กระตือรือร้นด้วยความพึงพอใจและปรบมือตรงประตู

ทันใดนั้นเอง พลันมีก้อนเนื้อ รูปร่างเหมือนกับมนุษย์สองตนขนกล่องขนาดใหญ่เข้ามา

“ฉันต้องการนักเรียนสามคนมาช่วยฉันแจกเอกสารหน่อย”

หลังจากนำสปิริตกลับเข้าไป ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็พูดขึ้น

เอ็มม่าซึ่งอยู่แถวแรกเสมอยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ

เด็กหญิงอีกสองคนตามมาช่วยด้วยรอยยิ้ม “มาช่วยกันเถอะ”

ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความนิยมของเอ็มม่าเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว

“ฉันคิดว่าคงไม่มีใครในห้องนี้ลืมมันไปแล้วหรอกใช่ไหม?”

ศาสตราจารย์เคเซอร์เดินไปยังแท่นสอนหลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น เขายังคงความสุภาพไว้เสมอ

“ในบทเรียนนี้ เราจะมาฝึกวิธีการขัดเกลาพื้นฐานร่วมกัน อย่าดูถูกเพียงเพราะคำว่า ‘พื้นฐาน’ เชียว รู้ไหมว่าต่อจากนี้ไปอีกนานแสนนาน มันจะกลายเป็นวิธีที่พวกเธอใช้ทำการ์ดวิญญาณบ่อยที่สุด เอาล่ะ ตอนนี้เปิดตำราและมาทบทวนขั้นตอนเฉพาะของวิธีการขัดเกลาพื้นฐานกัน”

ทันทีที่เสียงของอาจารย์จบลง คลื่นเสียงบ่นเซ็งแซ่ก็กระหึ่มซัดเป็นคลื่นขึ้นไปยังแท่นโพเดียม

“หือ? เราควรจะเริ่มการสร้างการ์ดทันทีเลยไม่ใช่เหรอ?”

“ศาสตราจารย์~~~~~~”

จอมเวทฝึกหัดราวกับถูกเทน้ำเย็นราดใส่หัวในตอนที่พร้อมจะเริ่มกระบวนการสร้างแล้ว

บรรยากาศทั้งห้องเรียนดูหมดกำลังใจไปในทันที

แน่นอนว่าศาสตราจารย์เคเซอร์ยังคงสอนต่อ โดยไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย!