บทที่ 33 รางวัล Ink Stone_Fantasy

ภายใต้แสงเรืองรอง วัตถุแวววาวนี้เปล่งประกายอยู่ในขี้เถ้าของผีดิบใต้น้ำ ลูเซียนจึงเดินเข้าไปใกล้ ใช้กริชค่อยๆ เขี่ยมันออกมา และก็พบว่ามันคือแหวนสีเงินวงหนึ่ง

ตัวแหวนทำขึ้นจากโลหะที่ส่องประกายแวววาว บนนั้นมีลวดลายธรรมดาเล็กๆ และมีอัญมณีไม่ทราบชื่อสีฟ้าขนาดเท่านิ้วก้อยฝังอยู่

‘แหวนวงนี้เป็นของผีดิบใต้น้ำงั้นเหรอ’ ลูเซียนคิดใคร่ครวญขณะก้มลงไปเก็บแหวน แล้วลูบนิ้วด้านในวงแหวน

โลหะแผ่ไอเย็นออกมา และภายในวงแหวนก็มีถ้อยคำสลักไว้อย่างเหนือความคาดหมาย ลูเซียนเพ่งมองและพบว่ามันเป็นภาษาสามัญ เขียนว่า

‘จิตใจมนุษย์นั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งและหิมะ’

แหวนวงนี้ดูธรรมดาสามัญ แต่เมื่อมองให้ดี เขาก็รู้สึกถึงความลี้ลับและพลังอันน่าทึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในอัญมณีสีฟ้าใส

ลูเซียนคิดอยากจะลองสำรวจวิเคราะห์มันให้ดี ดังนั้น หลังจากที่ดวงจิตซึ่งได้รับบาดเจ็บจากผลย้อนกลับดีขึ้น เขาจึงค่อยๆ แผ่พลังจิตออกมาช้าๆ

เพียงสัมผัสกับอัญมณีสีฟ้าใสบนตัวแหวน ดวงจิตที่ยังบาดเจ็บอยู่ของลูเซียนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ถึงลมพายุและหิมะที่อยู่ภายในอัญมณี และโครงสร้างเวทมนตร์ที่ซ่อนอยู่ในหิมะนั้นก็มีความซับซ้อนกว่าเวทมนตร์ระดับฝึกหัดอย่างมาก

ลูเซียนถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความปีติและผ่อนคลายเล็กน้อย ‘เป็นแหวนเวทมนตร์จริงๆ ด้วย แต่ฉันไม่รู้ว่ามันอยู่ในระดับไหนนี่สิ มันให้ความรู้สึกพิเศษซับซ้อนกว่าตรานักบุญแห่งสัจธรรมของเบนจามินเสียอีก บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผีดิบใต้น้ำตนนี้ถึงกลายพันธุ์ก็ได้’

ขณะคิดในใจ เขาก็ถอนพลังจิตที่ใกล้จะหมดลงกลับมา ด้วยสภาพเช่นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ในแหวนวงนี้ได้ และไม่สามารถประทับตราดวงจิตของเขาลงในใจกลางวงเวทเพื่อให้เรียกใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงรอให้พลังจิตฟื้นตัวเต็มที่ก่อนค่อยกลับมาวิเคราะห์มัน

ถ้าลูเซียนได้เป็นนักเวทจริงๆ และได้เรียน ‘เวทปลดผนึก’ เขาก็จะระบุอุปกรณ์เวทมนตร์ในระดับหนึ่งได้ทั้งหมด และถ้าเขาสะสมความรู้เพิ่มเรื่อยๆ เขาก็จะระบุอุปกรณ์เวทมนตร์ได้ทั้งระดับสองและระดับสาม แบบนั้นเขาจะไม่จำเป็นต้องมานั่งวิเคราะห์โครงสร้างเวทมนตร์ในอุปกรณ์เหล่านั้น แต่จะเรียกข้อมูลขึ้นมาทำความเข้าใจได้ในทันที และยังประทับดวงจิตทำสัญลักษณ์มนตร์ได้โดยไม่ต้องอาศัยตราประทับพลังจิตที่เหลืออยู่แต่เดิม

อุปกรณ์เวทมนตร์ส่วนใหญ่มักจะมีข้อมูลปิดผนึกไว้โดยผู้สร้าง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจจุดประสงค์ของอุปกรณ์นั้นๆ และเหตุผลที่มันถูกสร้างขึ้น

แน่นอนว่าถ้าลูเซียนเลื่อนระดับขั้น ‘เวทปลดผนึก’ ก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน

จากในบันทึกของแม่มด เหล่านักเวทนั้นขี้คร้านจะแบ่งขั้นให้กับอุปกรณ์เวทมนตร์ จึงยึดจากระดับเวทมนตร์โดยตรง และแบ่งมาตรฐานเป็น ระดับฝึกหัด ระดับหนึ่งถึงเก้า และระดับตำนาน

มาตรฐานการแบ่งระดับขั้นนั้นขึ้นอยู่กับว่าพลังของมันเทียบเท่ากับเวทมนตร์ระดับใด หรือความสามารถระดับใดของอัศวิน โดยที่ในแต่ละระดับยังแบ่งขั้นเป็น ต่ำ กลาง สูง และสมบูรณ์แบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าแหวนมีเวทมนตร์ระดับสามอย่าง ‘เวทสายฟ้า’ แล้วใช้ได้วันละครั้ง แหวนวงนั้นก็จะถือเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสามขั้นต่ำ แต่ถ้า ‘เวทสายฟ้า’ ใช้ได้สามครั้งต่อวัน ก็จะถือเป็นระดับสามขั้นกลาง และหากนักเวทเพิ่มเวทสนับสนุนเข้าไปอีก เช่น ลดความเสียหายจากสายฟ้าลงห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์ แหวนวงนั้นก็จะถือว่าเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับสามขั้นสูง

หากอุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นใดมีพลังเสริมถาวรเพิ่มเข้ามา ก็จะมีระดับสูงกว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ทั่วไปหนึ่งขั้น เช่น อุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นหนึ่งที่มี ‘ความต้านทานต่อการตรวจจับและควบคุมจิตใจ’ แสดงผลอยู่ตลอด จะมีพลังเทียบเท่ากับผลจากเวทมนตร์ระดับแปดอย่าง ‘เวทปิดกั้นจิต’ จึงถือว่าอุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นนี้อยู่ในระดับเก้าขั้นสมบูรณ์แบบ

มาตรฐานการแบ่งระดับขั้นนี้ยังใช้ได้กับดาบและเกราะเวทมนตร์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วมีพลังเทียบเท่ากับพลังโจมตีหรือพลังป้องกันของอัศวินในระดับเดียวกัน

ในเมื่อเขายังไม่ได้วิเคราะห์แยกแยะโครงสร้างเวทมนตร์และหาข้อมูลเกี่ยวกับแหวนวงนี้ ลูเซียนจึงไม่กล้าสวมมัน กลับเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อ เนื่องจากสิ่งของที่มีเวทมนตร์ในตัวเช่นนี้ เวลาสวมใส่มักจะมีปัญหา เพราะผลพวงจากเวทมนตร์มักจะเป็นคำสาป!

หลังจากเก็บอุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นแรกในชีวิตเสร็จ ลูเซียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข แต่เมื่อเห็นท่อระบายน้ำที่เต็มไปด้วยศพและเลือดนองพื้น ใบหน้าเขาก็พลันฉายความขมขื่น เขายังต้องจัดการกับสถานการณ์และสถานที่แห่งนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอาเยื่อสมองออกมาจากหัวของผีดิบใต้น้ำกลายพันธุ์เสียก่อน

‘ฉันยังไม่ได้เรียนเวทมนตร์ระดับฝึกหัดที่ชื่อ “มนตร์คงสภาพอวัยวะ” เลย แต่ดันได้เยื่อสมองของผีดิบใต้น้ำมาแล้ว ดีนะที่เจ้านี่เป็นเผ่าพันธุ์ผีดิบ สมองของมันเลยเก็บไว้ได้ประมาณสามถึงห้าวัน มีเวลาให้ฉันเรียนมนตร์คงสภาพอวัยวะให้คล่องได้พอดี’

แม้ว่าเวทมนตร์ระดับฝึกหัดบทนี้จะมีชื่อว่า ‘คงสภาพอวัยวะ’ แต่แท้จริงแล้วมันสามารถใช้คงสภาพของสดได้ทุกอย่าง ผลของมนตร์จะอยู่ได้ครั้งละยี่สิบสี่ชั่วโมง และไม่มีส่วนประกอบเวทมนตร์ใดที่ต้องใช้ในการร่าย

ลูเซียนเปิดกะโหลกศีรษะของผีดิบใต้น้ำด้วยกริช แล้วก็ได้เห็นสมองสีดำที่อยู่ข้างในนั้น ซึ่งหน้าตาเหมือนกับหนอนน่าขยะแขยงที่ขยับไปมาช้าๆ

เขาพยายามไม่สนใจภาพที่เห็นตรงหน้า กลับหยิบกระเป๋าที่มีหินเยือกแข็งออกมา ก่อนจะค่อยๆ นำสมองของผีดิบใต้น้ำใส่ลงไป ในเมื่อหินเยือกแข็งใช้ในการร่ายเวทลำแสงเยือกแข็ง เช่นนั้นมันก็ต้องมีผลที่ช่วยคงสภาพของสดไว้ได้แน่

ลูเซียนที่รู้ว่าการเรียนเวทมนตร์จะต้องใช้เงินมหาศาล ความคิดอันละโมบจึงผุดขึ้นในหัว จากนั้นเขาก็ลักของจากทุกศพ รวมถึงสองซากศพชวนสยดสยองที่สมองถูกเลียกินที่อยู่ในสายน้ำดำมืด และเขาก็ได้เงินมาทั้งหมดสามสิบสามนาร์และห้าสิบสองเฟลล์

จากซากศพทั้งหมดนั้น ชายชราคือผู้ที่มีเงินเยอะที่สุด เพียงคนคนเดียวก็ทำให้เขาได้เงินมาถึงยี่สิบห้านาร์กับอีกสองสามเฟลล์ ส่วนแจ็กสัน หัวหน้ากลุ่มของแก๊งอันธพาล มีเงินติดตัวอยู่สี่นาร์กับหกเฟลล์

เมื่อเห็นเงินที่ส่องแสงเปล่งประกาบวิบวับ และสภาพกระเป๋าตุงๆ แล้ว ลูเซียนก็อดแย้มยิ้มไม่ได้

ทว่า ขณะที่ลูเซียนเก็บเงินอยู่นั้น เขาก็สังเกตได้ว่าภาพที่เขามองเห็นนั้นพร่าเลือน ในหูเริ่มได้ยินเสียงหนักๆ ในหัวก็เริ่มเกิดอาการวิงเวียนและปวดตุบ เวลาก้าวเท้า เขารู้สึกเหมือนเดินอยู่บนพรมหนาๆ และในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าดวงจิตของเขาบาดเจ็บจากการหยุดใช้เวทมนตร์กลางคัน และสูตรน้ำยาในบันทึกของแม่มด ถ้าไม่นับบางสูตร ที่เหลือนั้นอยู่ในระดับฝึกหัดทั้งหมด ซึ่งไม่มีน้ำยาตัวใดที่จะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของดวงจิตได้ เกรงว่าต้องใช้เวลาสักพักกว่ามันจะหายดี ในระหว่างนั้น การร่ายคาถาย่อมเป็นไปไม่ได้

หลังจากเก็บเงินเสร็จและเปลี่ยนไปใช้กริชสะอาดๆ ลูเซียนก็เริ่มใช้แรงงานตนเอง เขาโยนศพลงไปในสายน้ำทีละศพๆ และใช้ไม้ยาวๆ ช่วยดันพวกเขาออกไปทางหลุมใหญ่ใต้ตาข่ายลวดหนามเพื่อให้ลอยออกไปยังแม่น้ำเบเล็ม เหมือนกับศพที่แจ็กสันและสการ์เพิ่งจัดการไปก่อนหน้านี้

ส่วนหัวใจ ลำไส้ ตับ และอวัยวะภายในส่วนอื่นๆ ที่หลุดร่วงลงมาจากตัวสการ์นั้น ลูเซียนต้องสะกดกลั้นความอยากอาเจียนเอาไว้เต็มที่ แล้วห่อพวกมันด้วยเศษผ้าและส่งมันไปยังแม่น้ำเบเล็ม เขาเชื่อว่าอีกไม่นานกลิ่นเลือดของมันจะต้องดึงดูดสัตว์ประหลาดที่เหมือนกับปลาปิรันย่าอย่างปลากระบอกเขี้ยวแหลมเป็นแน่

หลังจากเก็บมันไปสักพัก ลูเซียนก็เริ่มชินชา ยังถึงกับเล่นไตของสการ์อยู่ครู่หนึ่งด้วยความรู้สึกเหมือนตนเป็นนักเวทศาสตร์มืด

ลูเซียนเช็ดเลือดที่อยู่รอบๆ ท่อระบายน้ำด้วยเศษผ้าชุบน้ำ ก่อนจะไปเจอเหยือกน้ำแตกๆ จึงตักน้ำไว้ในนั้นเพื่อใช้ซักเศษผ้า

หลังจากมั่นใจว่าไม่มีร่องรอยที่ชัดเจนหลงเหลืออยู่ ลูเซียนก็ล้างมือ กระชากชายเสื้อที่ฉีกขาด แล้วใช้มันพันรอบมือขวาที่ถูกไฟลวก จากนั้นจึงเดินเลี้ยวอ้อมทางเดินข้างท่อระบายน้ำ เขาจะอยู่ในท่อระบายน้ำนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว

‘ดูเหมือนว่าผีดิบใต้น้ำจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกลัทธินอกรีต แม้ว่าพวกนั้นจะเป็นคนส่งศพไปสังเวยก็ตาม แต่ทำไมกันล่ะ’ ลูเซียนเดินอย่างระวังตัว พลางนึกถึงเยื่อสมองผีดิบที่อยู่ในกระเป๋า ‘จะว่าไป การที่ฝูงหนูตาแดงพวกนั้นปรากฏขึ้นเกี่ยวข้องกับพวกนอกรีตหรือเปล่า หรือว่าจะเป็นเหมือนกับผีดิบใต้น้ำกันนะ’

ลูเซียนนึกขึ้นได้ว่าแม่มดเองก็หาที่มาของฝูงหนูดวงตาสีแดงเลือดนั้นไม่ได้ เขาจึงเบนเข็มไปทางพวกนอกรีต

‘พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ ก่อนจะไปที่สมาคมนักดนตรี ฉันต้องไปหาจอห์นที่คฤหาสน์ของลอร์ดเวนน์ และบอกว่าฉันได้ยินใครสักคนพยายามเผยแพร่ลัทธินอกรีต’ ลูเซียนคิดถึงสิ่งที่ต้องทำพรุ่งนี้อยู่ครู่ใหญ่ พลางมองสังเกตรอบกายและออกไปจากท่อระบายน้ำอย่างระมัดระวัง

จากนั้นลูเซียนก็หยิบกำมะถันออกมาและโรยให้ทั่วตัวเขา มันไม่เพียงจะกลบกลิ่นอื่นๆ บนตัวเขาด้วยกลิ่นฉุนๆ ของกำมะถัน แต่มันยังทำให้คนตรวจสอบจากลัทธินอกรีตและแก๊งอันธพาลที่อาจมาที่นี่ไม่สามารถใช้กลิ่นกำมะถันนี้เพื่อติดตามหาร่องรอยของเขาได้

แต่ด้วยสถานะผู้ฝึกใช้มนตร์และข้อเท็จจริงที่ว่าแม่น้ำเบเล็มข้างนอกตาข่ายลวดหนามนั้นเต็มไปด้วยผีดิบใต้น้ำ ลูเซียนจึงไปรายงานกับทางโบสถ์โดยตรงไม่ได้ และเขาก็ไม่สามารถไปที่อาณาเขตคฤหาสน์ของลอร์ดเวนน์ผ่านทางแม่น้ำเบเล็มได้ เขาจึงทำได้เพียงลบร่องรอยและทำให้ผู้ที่คิดจะติดตามสับสนให้มากที่สุด แล้วแสร้งเป็นเพียงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ในบ้าน ขณะฟื้นฟูพลังจิต เขาก็เฝ้ารอให้รุ่งอรุณมาเยือนอย่างใจจดใจจ่อ

ภายในท่อระบายน้ำ สายน้ำดำมืดจะไหลผ่านตาข่ายลวดหนามและพัดพาเศษขยะบางส่วนไปยังริมฝั่งแม่น้ำเบเล็ม ทุกๆ สามวัน กลุ่มบาทหลวงฝึกหัดจะนำอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์มาที่แม่น้ำเพื่อใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กลบฝังขยะ และทำความสะอาดแม่น้ำ

หลังจากที่ลูเซียนจากไปแล้ว ภายในนั้นก็กลับมาเงียบงันและมืดทึม มีเพียงแสงจากตะไคร่น้ำเรืองแสงเท่านั้นที่ส่องสว่างเรืองรอง แต่ทันใดนั้น เงาดำเงาหนึ่งก็แยกตัวออกมาจากความมืดโดยไร้สุ้มเสียง

เขายกมือขึ้นปิดปากและหัวเราะขันระคนรังเกียจเดียดฉันท์ ‘เจ้ามหาลัทธิอาเจนต์ ความเงียบอันเป็นนิรันดร์…’ ชายผู้นี้ยังพูดกับตัวเอง ‘ชื่ออื่น ตัวตนอื่นงั้นหรือ? น่าสนใจแฮะ…ดูเหมือนเจ้านั่นต้องมนตร์ของท่านเจ้าลัทธิเข้าแล้ว ชักรอให้เงาของท่านเจ้าลัทธิคลืบคลานมาถึงที่นี่ไม่ไหวแล้ว ศึกระหว่างท่านกับคาร์ดินัลนครอัลโต้ น่าสนุกจริงๆ’

‘หรือว่าจะมีมรดกจากจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณที่ฝังลึกอยู่ใต้เมืองอัลโต้แห่งนี้ที่เขานำมาใช้ประโยชน์ได้กันนะ’

‘ทว่าบาดเจ็บขนาดนั้น หากตอนที่ทางโบสถ์เริ่มออกตรวจตราท่อระบายน้ำ แผนการของเขาอาจล้มเหลว หรือเขาอาจมีแผนอื่นเตรียมไว้แล้วก็ได้’

‘แผนข้าจำต้องเปลี่ยนแปลง ข้าไม่จำเป็นต้องดึงดูดความเกลียดชังมาที่ตนเองงานก็เสร็จสิ้นลงได้’

‘เฮะๆ เจ้าหนุ่มนั่นเพิ่งจะเรียนรู้เวทมนตร์โบราณไป เขาสามารถดัดแปลงมนตร์ด้วยตนเองจนใช้ “เวทกำแพงไฟซัลเฟอร์” ได้ ทั้งๆ ที่นั่นเป็นเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นเมื่อสามร้อยกว่าปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักเวทที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่ง เจ้าหนุ่มคนนี้น่าประทับใจจริงๆ’

ท่ามกลางเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ เงาร่างนั้นค่อยๆ บิดเบี้ยวและแตกกระจายเป็นเศษเงาดำชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะหายลับไปจากท่อระบายน้ำแห่งนี้

……………………………………….