ตอนที่ 342 พูดคุยกับมิตรสหาย

แม่ครัวยอดเซียน

“พวกเจ้ามาแบบไม่สะดุดตาคนอื่นได้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารู้สึกได้ พวกเจ้าคิดจะให้ข้าไปพาพวกเจ้ามาจากที่ไหน” หลิวหลีมองคนสนิทแล้วรู้สึกสบายใจ แต่สามคนนี้เหลวไหลเกินไป

“ก็ไม่ใช่เพราะอยู่กับเจ้ามานานเลยติดนิสัยเจ้าหรือ” เอ๋าเลี่ยเอ่ยอย่างไม่สนใจ

หลิวหลีขมวดคิ้ว สรุปว่านี่เป็นความผิดของนาง

“จะว่าไป ทำไมพวกเจ้าถึงบรรลุกันได้เร็วเช่นนี้ พวกเจ้าต้องอยู่ขั้นจักรพรรดิเซียนไปอีกนานไม่ใช่หรือ” หลิวหลีจำได้ว่ายาเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่นางทำตอนนั้นทำให้พวกเขาต้องติดอยู่ในขั้นจักรพรรดิเซียนนานขึ้น

“ถึงแม้การกู้หายนะจะเป็นผลงานอันเยี่ยมยอดของเจ้ากับเวิ่นเทียน แต่พวกเราก็ช่วยด้วยเหมือนกันด้วย ผู้คุมกฎสวรรค์ยอมรับ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะบรรลุได้อย่างไรกัน” เอ๋าเลี่ยกล่าว ผู้คุมกฎสวรรค์ก็ยอมรับในความดีความชอบของพวกเขาเช่นกัน ถึงได้บรรลุอย่างราบรื่นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่คิดเลยว่าโลกเทพจะเป็นเช่นนี้

“ก็จริง ถ้าพวกเจ้าบรรลุแล้ว แล้วปิงเซียวกับเหลยรุ่ยล่ะ” หลานชายที่น่ารักของนางทั้งสองคนล่ะ

“ใกล้แล้วล่ะ สองหนุ่มนั่นตั้งแต่ที่เจ้าบรรลุไป พวกเขาก็ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังจะได้พบเจ้าอีกครั้งในเร็ววัน ตำแหน่งน้าอย่างเจ้าในใจเด็กสองคนนั้นทำเอาพ่อแม่อย่างพวกข้าอิจฉาไปหมด” เอ๋าเลี่ยจงใจพูดอย่างเจ็บปวด

“ฮ่าๆ อาเลี่ย เจ้าอิจฉาอะไรแบบนี้ด้วยหรือ จื่อฉี มู่มู่กับเหมียวเหมี่ยวล่ะ” หลิวหลีหันมองจื่อฉีที่อยู่ข้างๆ

“พลังของมู่มู่ยังขาดอยู่เล็กน้อย ตอนที่ข้าบรรลุขึ้นมา เหมียวเหมี่ยวมีพลังอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้ว แม่ยายบอกว่าท่านจะยืดเวลาในการบำเพ็ญให้ช้าลงเพื่อรอเหมียวเหมี่ยว อีกอย่างจักรพรรดิหลายฝั่งล้วนสละตำแหน่งกันหมดแล้ว ตอนนี้ผู้สืบทอดของพวกเขาในตอนนั้นมารับตำแหน่งต่อ หลังจากหายนะครั้งนั้น เหล่าจักรพรรดิก็ไม่ได้สนใจในพลังอำนาจอีกแล้ว” จื่อฉีพูด

“ก็จริง โลกเทพแห่งนี้ก็วุ่นวายมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกเจ้าต้องรีบเพิ่มพลัง พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพ พยายามกำจัดคู่แข่งแล้วกลายเป็นเทพที่แท้จริง” หลิวหลีพูด

“เทพที่แท้จริงหรือ” ทั้งสามคนมึนงงไปกับคำศัพท์ใหม่นี้

“ดังนั้นเจ้าจะบอกว่าพวกเราสามารถกลายเป็นเทพได้ เทพเจ้าสูงสุดนะหรือ” เอ๋าเลี่ยฟังหลิวหลีอธิบายจบก็ใจเต้น เช่นนั้นดวงตาสีแดงของเขาจะสามารถสืบทอดตำแหน่งเทพองค์ไหนได้

“จะว่าแบบนั้นก็ได้ ตอนนี้ตำแหน่งเทพยังว่าง และยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นผู้ชนะ แต่การเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องสำคัญ” หลิวหลีพูดความคิดของตนเองออกมา นางให้ทั้งสามคนดูว่าทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์แห่งเทพอยู่ ส่วนจะไปได้ถึงไหนนั้นขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขา

“น่าสนใจ เช่นนั้นดวงตาสีแดงอย่างข้าต้องแย่งชิงตำแหน่งเทพอัคคีกับนังหนูหรือนี่ ส่วนเนตรเหมันต์อย่างอิงเสวี่ยก็ต้องแย่งชิงตำแหน่งเทพเหมันต์กับเจ้าหนูเวิ่นเทียน จื่อฉีดีที่สุดเลย คู่แข่งเป็นคนนอก ไม่กดดันมากนัก” เอ๋าเลี่ยรู้สึกอยากแข่งขันขึ้นมา แม้จะรู้ดีว่าคงสู้หลิวหลีไม่ได้ แต่ก็อยากลองแข่งกันดูสักครั้ง

“ไม่ใช่ อาเลี่ย ตำแหน่งที่เจ้าต้องแย่งชิงมาคือตำแหน่งเทพสงคราม อิงเสวี่ยต้องชิงตำแหน่งเทพวารี ส่วนจื่อฉีชิงตำแหน่งเทพอัคคี” หลิวหลีพูด

“นอกจากปัญจธาตุแล้ว ยังมีเทพอื่นๆอีกหรือ?” เอ๋าเลี่ยฟังดูแล้วเหมือนมีตำแหน่งเทพให้เลือกมากทีเดียว

“บอกไม่ได้” อยู่ๆหลิวหลีก็ทำตัวลึกลับ เอ๋าเลี่ยอ่านสายตาของหลิวหลีออก กำลังถูกจับตามองอยู่ล่ะสิ แน่นอนว่าหลิวหลีรู้สึกได้ว่าเงาดำนั้นกลับมาอีกครั้ง จึงได้หยุดสนทนา ตั้งแต่เข้าฌานไป เงาดำนี้เฝ้าจับตาดูอยู่สักพักและจากไป คงได้ยินว่าตนออกจากฌานแล้วถึงได้กลับมาเฝ้าสังเกตการณ์ต่อ

“ช่างเถอะ ที่พักของพวกเราก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน ติดกับเจ้าไว้ก็ดี พวกเราก็อยากจะแผลงฤทธิ์ได้อย่างเจ้าเหมือนกัน” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจ พวกเขาก็ต้องการพลัง พลังความสามารถที่จะทำให้คนเคารพเชื่อฟัง

“เฮ้อ พลังนะพลัง” หลิวหลีพูดกับตัวเองหลังจากที่เอ๋าเลี่ยจากไป แล้วไปเข้าฌานต่อ อืม ถึงขั้นแม่ทัพเทพแล้วค่อยออกจากฌานแล้วกัน

จากนั้นก็มีคนจำนวนไม่น้อยทยอยกันบรรลุเป็นเทพตามมา แต่กลับมีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ทุกคนล้วนเป็นคนสนิทของหลงหลิวหลี แต่เรื่องที่ชวนตกใจที่สุดในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นคนที่มาหาเอ๋าเลี่ยคนนั้น หลังจากกลับไปรักษาบาดแผล ผ่านไปครู่ใหญ่ อยู่ๆก็สูญเสียสถานะในการเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพ กลายเป็นศิษย์ธรรมดา ส่งผลให้ทุกคนตกใจอย่างมาก คนที่ตกใจกลัวที่สุดก็คือเซวียนหลิง นางคิดว่าเป็นฝีมือของหลงหลิวหลี แต่ผลคือพอเวลาผ่านไปนานเข้า แต่นางยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทำให้โล่งใจ

“เป็นไปได้อย่างไร เมล็ดพันธุ์แห่งเทพจะหายไปได้อย่างไร” หมิงเยี่ยคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นกับตาว่าศิษย์ระดับพิเศษคนนั้นกลายเป็นศิษย์ธรรมดา เขาก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกัน

“หรือว่าผู้สืบทอดตำแหน่งมหาเทพสูงสุดจะอยู่ในสำนัก เป็นใครกันนะ” หมิงเยี่ยคาดเดาออกอย่างอาจหาญ หรือจะเป็นหลงหลิวหลี คนผู้นี้สามารถปกปิดสีผมและดวงตาได้ ไม่แน่ว่าสีแดงก็อาจเป็นของปลอมเหมือนกัน แต่เวลาไม่ถูกต้องเหมาะเจาะ หมิงเยี่ยไม่ได้รู้เลยว่าตนเองยิ่งหนีความจริงออกไปไกลอีกครั้ง

ปัจจุบันศิษย์ในสำนักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกมีจวินหาวเป็นหัวหน้า อีกกลุ่มมีเหยียนซวี่เป็นหัวหน้า ส่วนกลุ่มสุดท้ายมีหลิวหลีเป็นหัวหน้า โดยในกลุ่มของนางล้วนเป็นเทพหน้าใหม่ที่เพิ่งบรรลุขึ้นมา เรียกได้ว่าเด็กใหม่ของทั้งสองกลุ่มถูกหลิวหลีชิงไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินเรื่องวีรกรรมอันทรงเกียรติของหลิวหลีว่านางเป็นผู้กอบกู้โลกเบื้องล่าง เป็นคนที่สวรรค์ยอมรับ และเรื่องที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุดก็คือคนที่โหดเหี้ยมผู้นี้บรรลุขณะที่อายุไม่ถึงหมื่นปี ได้ยินว่าตอนบรรลุเป็นเซียนใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีด้วย ดังนั้นคนเช่นนี้จะไม่โดดเด่นได้อย่างไร ศิษย์ระดับล่างและศิษย์ระดับกลางจำนวนไม่น้อยเริ่มเคารพนางขึ้นมา น่าเสียดายที่ศิษย์พี่ที่เป็นดั่งเทพผู้นี้เป็นดุจเงาเทพ ไม่ปรากฏตัวเป็นเวลานาน ข่าวล่าสุดดูเหมือนว่านางกำลังจะบรรลุขอบเขตแม่ทัพเทพ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าต่อให้ท่านพี่ไม่ออกมา ผู้คนก็ยังมีเรื่องราวของนางให้พูดถึงกันอยู่ดี

“เพราะอย่างนั้นตอนนี้ข้าก็คือคนดังสินะ” และนี่คือเรื่องที่หลิวหลีได้ฟังหลังจากออกจากฌาน ดูท่าเรื่องซุบซิบจะมีอยู่ทุกที่

“ถูกต้อง ทั้งยังเป็นตำนานด้วย” ผ่านมานานตั้งเท่าไหร่ โลกเบื้องล่างมีคนบรรลุขึ้นมาได้ไม่น้อย อีกทั้งเอ๋าเลี่ยพบว่าศิษย์ที่ได้นับการดูแลเป็นพิเศษล้วนเป็นคนใกล้ตัวของนาง อย่างเช่นบรรพชนเอ๋าเฟิงจะเป็นแค่ศิษย์ระดับสูง ไม่ได้กลายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนก็เป็นศิษย์ระดับต้น

“คนพวกนี้มีเวลาเยอะไปจริงด้วย ว่างเกินไป” หลิวหลีวิจารณ์มีเวลาให้สิ้นเปลืองมากเกินไป

“หลิวหลี เจ้านี่ยังเฉียบคมเหมือนเดิมเลยนะ ว่าแต่นังหนู ผู้ท้าชิงตำแหน่งเทพมีแค่นี้เองหรือ?” เอ๋าเลี่ยถามอย่างสงสัย

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” หลิวหลีออกตัวว่านางไม่รู้ เฮ้อ ตอนนี้นางรู้ตำแหน่งของคนที่จับตามองนางอยู่อย่างชัดเจน แต่ทำได้เพียงแสร้งไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อไหร่วันที่แสนลำบากนี้จะสิ้นสุดลงเสียที

“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็ไม่รู้สึกละอายใจ หากได้ก็ถือเป็นเกียรติของข้า สูญเสียไปก็ถือซะว่าเป็นโชคชะตา” เอ๋าเลี่ยคิดได้

“ช่วงนี้ไปอ่านอะไรมา คำพูดพวกนี้ไม่เหมือนสิ่งที่เจ้าจะพูดออกมาได้เลยอาเลี่ย” หลิวหลีรู้สึกราวกับไม่ได้เจอกันนานจนต้องมองดูใหม่ เอ๋าเลี่ยที่นางรู้จักพูดจาดูมีความรู้เช่นนี้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“แค่กๆ ข้าจะพูดแบบนี้บ้างไม่ได้เลยหรือ” เอ๋าเลี่ยไม่ยอมรับ เป็นเพราะถูกลูกชายทั้งสองคนเมิน เขาถึงต้องศึกษาเพิ่มเติม

“ช่างเถอะ ในเมื่อข้าออกจากฌานแล้ว ข้าก็ควรไปเจอทุกคนเสียหน่อย” หลิวหลีคิดว่าตนเองควรจะไปเยี่ยมเยียนสหายได้แล้ว ส่วนสามีของนางนั้น นางคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

……………………………