บทที่ 326 เรื่องมงคลหรือเรื่องร้าย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สายลมฤดูใบไม้ร่วงในชานเมืองเสียนหยางพัดผ่าน พืชพันธุ์เหี่ยวเฉาส่งเสียงกรอบแกรบไปตามสายลมยามค่ำคืน

หมาป่าสีขาวตัวใหญ่บินด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ในหญ้าขนาดสูงเท่าเอว มันบินผ่านวิหารแห่งหนึ่งด้วยความรวดเร็วแล้วหยุดลงด้านหลังเนินเขา ดมๆ ด้วยจมูก มองหาบางสิ่งบางอย่างรอบๆ เนินเขา

หลังจากที่เจ้าอี่โหลวล้มป่วยลง มันก็ตามกลิ่นอันยุ่งเหยิงเพียงลำพังจนมาถึงที่นี่ มันอ้อยอิ่งอยู่แถวนี้มานานกว่าสองเดือนแล้ว

ภายในระยะเวลาสั้นๆ กลิ่นของซ่งชูอีได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ทว่ามันสามารถแยกแยะกลิ่นที่แปลกแยกไปจากสัตว์บริเวณใกล้เคียงได้อย่างดีเยี่ยม บางครั้งเพราะทิศทางลมที่แตกต่างกันทำให้กลิ่นประเภทนี้มีกลิ่นอื่นมากลบ ดังนั้นมันจึงใช้เวลาตามหาเนิ่นนานและในที่สุดก็เจอรูเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือสองสามแห่ง

หมาป่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดและระมัดระวังตัวมาก หลังจากสองเดือนของการสังเกต มันก็พบว่ามีสิ่งมีชีวิตเข้ามาใกล้ปากถ้ำทั้งสามนี้ทุกๆ ห้าถึงหกวัน และเมื่อวานนี้ก็เพิ่งมีสิ่งมีชีวิตผ่านมาครั้งหนึ่ง

การได้ยินที่เป็นเลิศของหมาป่าทำให้มันตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าตอนนี้มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ ดังนั้นมันจึงลอกหญ้าที่หนาแน่นออกและเริ่มขุดดินด้วยกรงเล็บของมัน

มันฉลาดมากที่เริ่มขุดดินจากภายนอก เช่นนี้คนที่อยู่ข้างในจะไม่พบว่าปากถ้ำมีการเปลี่ยนแปลงใดภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้

ดวงจันทร์กำลังตกทางทิศตะวันตก มันใช้เวลาขุดเกือบทั้งคืนก่อนที่เขย่าสิ่งสกปรกบนหัวของมันออก คาบหญ้ามาปกคลุมในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นก็ยกขาฉี่ใส่หญ้าตามปกติ

ภายในถ้ำยังคงมืดมิดเช่นเคย

ถูกคุมขังนานเช่นนี้ บวกกับร่างกายที่ค่อยๆ อ่อนแอลง เวลานอนของซ่งชูอีก็ยิ่งมากขึ้นทุกที

นางคิดไม่ออกว่าตนได้พบตู้เหิงเป็นครั้งสุดท้ายมานานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อคิดว่าใกล้ได้เวลาแล้วจึงเปล่งเสียงดัง “เด็กๆ!”

น้ำเสียงนั้นแหบแห้งและล้ำลึก

ไม่ช้าก็มีคนตอบรับจากข้างนอก “มีอะไร?”

“เรียกตู้เหิงมา!” ซ่งชูอีเอ่ย

หลังจากผู้นั้นจากไป ไม่ช้าตู้เหิงก็รุดเข้ามา

ซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบนั้น มุมปากก็กระตุกยิ้มในความมืด

“ซ่งจื่อคิดดีแล้วรึ?” ตู้เหิงเอ่ยถาม

“เปิดประตูเถิด” ซ่งชูอีกล่าวอย่างอ่อนแรง “อย่าคิดได้คืบจะเอาศอกอีก นี่คือขีดจำกัดของข้า หากเจ้ายังมีคำขออื่นอีกก็รีบฆ่าข้าเสีย…ป้องกันไม่ให้เจ้าและข้าต้องทนทุกข์ทรมานอีก”

“ได้” ตู้เหิงเปิดประตู ทันใดนั้นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็ทะลักออกมา ทำให้เขาสำลักอย่างรุนแรง

สาวใช้สองคนที่อยู่ข้างหลังเขามีความหวาดกลัวผุดขึ้นในดวงตา สถานที่แห่งนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่สามารถทนได้ถึงสามเดือนทั้งยังมีสติครบถ้วน! พวกนางไม่รู้ว่าการถูกขังอยู่ในสถานที่เช่นนี้รู้สึกอย่างไร แต่แค่อยู่ในห้องสุสานก็อุดอู้จนหายใจไม่ออกแล้ว

ตู้เหิงสั่งให้พวกนางฉีกผ้าม่านที่ปิดประตูและหน้าต่างออก แสงสลัวของโคมไฟส่องเข้ามาภายใน เขาสามารถมองเห็นคนที่นอนบนเตียงได้อย่างชัดเจน

ใบหน้าขาวซีดนั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวาราวกับได้กลายเป็นศพไปแล้ว

นางลืมตาขึ้นกะทันหันและมองตรงไปที่เขา สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือดวงตาสดใสคู่นั้นแปลกแยกกับความมืดนี้โดยสิ้นเชิง

เนื่องจากไม่เจอแสงนาน ซ่งชูอีจึงหรี่ตาลง

“ย้ายซ่งจื่อไปอีกห้อง” ตู้เหิงกล่าว

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองอดทนต่อกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและเปิดผ้านวมออก พยุงซ่งชูอีขึ้นมา

น้ำภายในสุสานมีไม่มาก นับตั้งแต่พวกตู้เหิงเข้ามาก็ไม่ได้อาบน้ำเลย หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีอุณหภูมิต่ำก็คงเน่าไปแล้ว

ถูกคุมขังเนิ่นนาน ทันทีที่ซ่งชูอีออกมาจากห้องนั้นก็รู้สึกว่าทั้งตัวผ่อนคลาย

หลังจากเปลี่ยนห้อง ตู้เหิงก็นั่งลงบนเบาะด้านหน้าเตียง มองนางพลางเอ่ยว่า “ซ่งจื่อช่างมีความอดทนเหลือเกิน”

ซ่งชูอีไม่ยินยอมพูดจา ปล่อยให้สาวใช้สองคนเช็ดตัวของนางด้วยผ้าแห้ง โดยที่ไม่หลบเลี่ยงตู้เหิง

ส่วนตู้เหิงก็ไม่มีความสนใจในร่างกายของนางแม้แต่น้อย

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเสร็จสรรพ ตู้เหิงกล่าวว่า “ซ่งจื่อพูดได้แล้วหรือยัง?”

“เอาอาหารมา” ซ่งชูอีเอ่ย

ตู้เหิงขี้คร้านที่จะพูดมากขึ้นทุกที เพียงแต่ส่งสายตาบอกให้สาวใช้คนหนึ่งไปเอาอาหารมา

แม้ว่าจะทำความสะอาดแล้ว ทว่ากลิ่นของร่างกายซ่งชูอีก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก นางเอียงศีรษะโดยอาศัยแสงจางๆ สำรวจเขาเล็กน้อย “กองทัพใหม่อยู่ในรัฐปา ใกล้กับอู-สยา”

“ไม่น่าเล่า ข้าแทบจะพลิกแผ่นดินรัฐฉินก็ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย” ตู้เหิงถามด้วยความสงสัย “เหตุใดถึงตั้งอยู่ในอู-สยา?”

ซ่งชูอีกลอกตา ไม่สนใจเขา

“เพื่อป้องกันกองทัพฉู่?” ตู้เหิงถาม

“คำถามที่ชัดเจนเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับการยืนยันอีกหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างหัวเสีย “บัดนี้รัฐฉู่กัดปาสู่ไม่ปล่อย จะไม่ป้องกันได้อย่างไร? สำหรับการต่อกรกับรัฐเว่ยนั้น…”

นางยิ้มเยาะ “หึ ไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพชั้นยอดหรอก ต่อให้รัฐเว่ยล่มสลายก็จะล่มสลายภายใต้ทหารม้าแห่งรัฐฉิน! ทั้งยั้งล่มสลายอยู่ในมือของเว่ยอ๋องอีกด้วย!”

หลังจากกล่าวสองสามประโยคนี้ ซ่งชูอีก็อ้าปากหายใจเฮือกใหญ่ มีเหงื่อเม็ดละเอียดไหลออกมาบนใบหน้าขาวซีด

“ตราทหารอยู่ที่ใด?” ตู้เหิงถาม

ซ่งชูอีหลุบตาลงเพื่อปรับลมหายใจ

ตู้เหิงเห็นอาการหายใจรวยรินของนางก็ไม่ได้ถามต่ออีก

สาวใช้นำขนมเปี๊ยะ เนื้อแห้งและน้ำวางไว้บนโต๊ะ ซ่งชูอีนอนพักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบาก นำขนมเปี๊ยะไปแช่น้ำแล้วกิน

ทั้งร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรง จุกเสียดในช่องท้องอย่างมาก กลิ่นก็ตัวก็ไม่พึงประสงค์ ไม่มีความรู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย ทว่านางต้องรวบรวมพลังและรอโอกาสที่จะหลบหนี

วันนั้นที่นางเดินไปรอบๆ ท้องพระโรงก็สังเกตเห็นว่าโครงสร้างท้องพระโรงแห่งนี้เหมือนกับพระราชวังเสียนหยางไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่ประตูทั้งสองข้างก็เหมือนกัน สถานการณ์ในตอนนี้ นางเพียงต้องเอาตัวเองออกจากการควบคุมของตู้เหิง ค่อยๆ หาทางออกจึงจะสามารถมีชีวิตรอดได้

ตู้เหิงยิ่งมีความสนใจในตัวซ่งชูอีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาคุมขังคนมาไม่น้อย คนที่มีชีวิตรอดจากห้องมืดหลังจากหนึ่งหรือสองปีก็มีมาก แต่โดยพื้นฐานแล้วเพียงสองหรือสามเดือนสติก็เริ่มสับสน พูดจาหรือทำอะไรก็เชื่องช้ากว่าคนปกติมาก ทว่าคนเยี่ยงซ่งชูอีที่ยังคงมีสติแจ่มชัดหลังจากถูกขังเป็นเวลาสามเดือนกว่านั้นหาได้ยากอย่างแท้จริง

เขาไม่รู้ว่านี่ต้องใช้พลังใจมากแค่ไหน แต่รู้ว่าการมีสติในขณะที่ถูกคุมขังอยู่ข้างในนั้นในความเป็นจริงแล้วเจ็บปวดยิ่งกว่า

ยิ่งไปกว่านั้นห้องมืดของสุสานแห่งนี้ทั้งมืดมน หนาวเหน็บและอากาศก็น้อยกว่าปกติมาก

หลังจากค่อยๆ กินขนมเปี๊ยะขนาดเท่าฝ่ามือและเนื้อแห้งสองสามชิ้นจนหมดแล้ว ซ่งชูอีก็เช็ดปาก พลิกตัวขึ้นเตียง หลับตารักษาพลังต่อ

ตู้เหิงเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ อดที่จะเอ่ยไม่ได้ “ซ่งจื่อยังคิดที่จะหนีใช่หรือไม่?”

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีคนตอบ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของซ่งชูอีดังขึ้นมาจากบนเตียง

ตู้เหิงรู้ดีว่าเนื่องจากอากาศในห้องมืดอบอ้าว ผู้คนจึงเซื่องซึมเมื่อพวกเขาออกมา มีเวลาตื่นตัวน้อย ซ่งชูอีเป็นมนุษย์ไม่ใช่เซียน แม้ว่านางจะสามารถรักษาการตื่นตัวได้หนึ่งหรือสองชั่วยามทว่าก็รู้สึกง่วงนอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“นายท่านเจ้าคะ” หลังจากทั้งสามคนออกมาจากห้องแล้ว หนึ่งในสาวใช้ก็เอ่ยขึ้น “เมื่อครู่บ่าวช่วยจับชีพจรให้ซ่งจื่อ พบว่าชีพจรของนางคล้ายตั้งครรภ์เจ้าค่ะ”

“ตั้งครรภ์?” ตู้เหิงกระซิบเสียงต่ำ “เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่รู้!”

สาวใช้รีบค้อมตัวเอ่ย “บ่าวสมควรตาย ความรู้ของบ่าวไม่ดี เพราะอายุครรภ์ยังน้อย บวกกับชีพจรของซ่งจื่ออ่อนอยู่แล้ว บ่าวจึงไม่พบ”

ทักษะการจับชีพจรเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ใช่ว่าแพทย์ทุกคนจะจับเป็น การที่แพทย์โดยทั่วไปไม่สามารถแยกแยะอายุครรภ์หนึ่งหรือสองเดือนนับว่าเป็นเรื่องปกติ

“สวรรค์ช่วยเหลือข้า” ตู้เหิงเอ่ยขึ้นเชื่องช้า ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งย่อมเกิดมาพร้อมกับความเป็นแม่ เพื่อปกป้องลูกของตัวเองแล้วมีสิ่งใดที่นางทำไม่ได้บ้าง?

เขาไม่ได้ดีใจเพราะว่าสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ ท้ายที่สุดการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ทว่า…เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะไม่มีทางยอมแพ้

“อย่าเพิ่งบอกนาง” ตู้เหิงต้องการจะโจมตีนางอย่างหนักในช่วงเวลาสำคัญเพื่อขัดขวางแผนของนาง