บทที่ 182 ข้ากับพี่สาวไม่ต้องการพ่อ

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 182 ข้ากับพี่สาวไม่ต้องการพ่อ

หลังจากหนานหว่านเยียนลงจากรถม้าแล้ว ก็อยากไปเจอหน้าบรรดาลูกสาวที่แสนน่ารัก ทั้งยังอบอุ่นรู้ใจไม่ต่างจากเสื้อนวมตัวน้อยของนางให้เร็วขึ้นอีกนิด

ช่วงสองวันมานี้นางเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเลยจริง ๆ ลูกสาวคือแสงสว่างในใจ เป็นความหวังที่ทำให้นางมีแรงก้าวต่อไป นางรู้สึกอยากเข้าไปกอด แล้วหอมแก้มพวกนางสักฟอดเหลือเกิน

หนานหว่านเยียนเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปในเรือน แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสาวน้อยทั้งสอง

นางตกใจจนผงะ รู้สึกตื่นตระหนก ระหว่างที่กำลังจะหันไปเรียกคนมาถาม วินาทีต่อมา ก็ได้ยินน้ำเสียงทรงภูมิของหลินอวี้เฟิงดังมาจากห้องข้าง

“ขอถามคุณหนูน้อยทั้งสองท่าน รู้จัก “หลักปฏิบัติของเยาวชน”* หรือไม่?

(*เป็นกาพย์กลอนที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ท่องจำในสมัยโบราณ สอนให้เด็ก ๆ เรียนรู้ภาษาจีน วัฒนธรรม และปลูกฝังความกตัญญู อุปนิสัยที่ดี พื้นฐานการเป็นคนดีและแนวทางในการมีชีวิตสอดคล้องกลมกลืนกับผู้อื่น ปลูกฝังหลักการดำรงชีวิตตามหลักของขงจื๊อ)

หลินอวี้เฟิงยืนอยู่ข้างหน้า ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งพลางถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หนานหว่านเยียนรีบเดินอย่างรวดเร็วไปที่ห้องข้าง ซ่อนตัวอยู่อีกด้าน แอบดูสองศรีพี่น้องอย่างเงียบ ๆ อารมณ์พลุ่งพล่านเมื่อครู่ค่อยสงบลงมาอย่างช้า ๆ

เวลานี้ เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยต่างนั่งตัวตรง มองไปที่หลินอวี้เฟิงอย่างเชื่อฟังตั้งอกตั้งใจ

ซาลาเปาน้อยส่ายหน้าอย่างสับสน แต่เกี๊ยวน้อยกลับยกมือขึ้นอย่างภูมิอกภูมิใจ “อาจารย์หลิน! ข้ารู้จัก “หลักปฏิบัติของเยาวชน” เจ้าค่ะ!”

ใบหน้าของนางมีแก้มกลม ๆ ยุ้ย ๆ ดูน่ารักน่าชัง กับดวงตาดำขลับที่เปล่งประกายสดใสคู่โต

หลินอวี้เฟิงพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต “เช่นนั้น ให้คุณหนูหนานจือเป็นคนอธิบาย”

เกี๊ยวน้อยยืนขึ้นด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่น้องรักใคร่ปรองดอง…..”

เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหลินอวี้เฟิงก็สาดประกายชื่นชมออกมาอย่างปิดไม่มิด

เขาว่าแล้ว คุณหนูหนานจือนั้นมีความสามารถทั้งยังฉลาดหลักแหลม จะต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ปรับตัวในสังคมเก่ง สุดท้ายต้อง——

ไม่รอให้เขาชื่นชมในใจเสร็จ เกี๊ยวน้อยก็ยืดอกแล้วตบผาง ๆ พลางสาธยายอย่างมั่นใจว่า “พี่น้องรักใคร่ปรองดอง หมายความว่าพี่ชายกับน้องชายต่างก็รักใคร่ซึ่งกันและกัน สุดท้ายพวกเขาก็จะมีลูก ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป!”

หนานหว่านเยียนได้ยิน ก็แทบจะกระอักเลือดออกมาให้ได้แล้ว กุมหน้าผากพลางซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจเหลือแสน

ซาลาเปาน้อยตีความผิดไปขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย?

คำพูดเหล่านี้ทำให้หลินอวี้เฟิงถึงกับตะลึงอึ้งค้าง คล้ายจะเกิดอาการมือเท้าสับสนจนเกือบถือหนังสือในมือเอาไว้ไม่อยู่ “แค่ก ๆ คุณหนูหนานจือพูดถึงอะไรกันล่ะนี่?”

อายุยังน้อยแค่นี้ ทำไมถึงได้รู้อะไรมากมายขนาดนี้ล่ะ?

ซาลาเปาน้อยมองไปที่เกี๊ยวน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะร้องว้าวขึ้นมาเสียงหนึ่ง

เกี๊ยวน้อยกลับดูไม่ใส่ใจนัก พูดด้วยท่าทางเรียบเรื่อยเหมือนกำลังกินลมชมทิวทัศน์ว่า “ข้าเห็นในหนังสือของท่านแม่ ในนั้นมีผู้ชายสองคนที่ดูฉากหน้าเหมือนว่าจะนับถือกันเป็นพี่น้อง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย—”

“เอาล่ะ ๆ เรื่องที่จะสอนวันนี้ ไม่ใช่เรื่องพี่น้องรักใคร่ปรองดองหรอก” หลินอวี้เฟิงกลัวว่าถ้ายังฟังต่อไป ใบหน้าแก่ ๆ ของเขาคงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกด้วยความขวยอายแน่แล้ว จึงรีบหยุดไว้ทันที แล้วกำชับซาลาเปาน้อยว่า: “คุณหนูหนานจือ อย่างไรก็อ่านหนังสือพวกนั้นของพระชายาให้น้อยลงหน่อยเถอะนะ สำหรับท่านแล้ว มันออกจะ …ออกจะ…พูดสั้น ๆ ก็คือมันยังไม่ค่อยเหมาะกับวัยของท่านเท่าไหร่”

ถึงแม้เขาจะไม่ชัดเจนนัก ว่าโดยปกติแล้วหนานหว่านเยียนอ่านหนังสืออะไร แต่จากบทสนทนาที่ฟังแล้วเปี่ยมล้นไปด้วยมลพิษของซาลาเปาน้อย ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ พระชายาเลี้ยงลูกแบบนี้ ออกจะ…ไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง?

หนานหว่านเยียนที่ฟังอยู่อีกด้าน ถึงกับต้องขมวดคิ้ว

เชร้ด!

นางก็นึกสงสัยอยู่แล้ว ว่าทำไมเจ้าตัวแสบทั้งสองถึงได้หลุดคำศัพท์สมัยใหม่ออกมามากมายขนาดนั้น ทั้งที่นางก็ยังไม่เคยสอนมาก่อน ที่แท้ถึงกับกล้าแอบดูหนังสือของนางเลยเรอะ!

เป็นเพราะนางไม่ซ่อนไว้ให้ดี เจ้าหนังสือประหลาดพวกนี้ วันหลังต้องโยนเข้าไปในห้วงเวลาซะ!

เกี๊ยวน้อยทำหน้าย่นยู่ก่อนจะนั่งลง พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์หลิน ข้าผิดไปแล้ว”

“คุณหนูหนานเสี่ยวเกรงใจเกินไปแล้ว” หลินอวี้เฟิงเก็บสีหน้า สงบสติอารมณ์ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนคำว่า “กตัญญู” หนึ่งในคำสอนของ “หลักปฏิบัติของเยาวชน” ลงบนกระดาษ

ซาลาเปาน้อยดวงตามองดูอักษรที่เขาเขียนไปพลาง ปากก็อ่านด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้แบบเด็ก ๆ ไปพลางว่า “ยามพ่อแม่เจ้าเรียกหา อย่ารอช้ารีบรับขาน….”

หลังจากนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หันไปสะกิด ๆ มือเกี๊ยวน้อยด้วยท่าทางตื่นเต้น “พี่สาว! นี่กำลังพูดถึงท่านแม่ใช่หรือไม่?”

แม้ว่าเกี๊ยวน้อยจะมีท่าทีเหมือนเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างจริงใจ “เหมือนว่าจะใช่นะ!”

หลินอวี้เฟิงกระแอมในลำคอ กำลังเตรียมจะส่งเสียงปราม แม่หนูน้อยทั้งสองก็รีบนั่งนิ่งตัวตรงอย่างถูกต้อง สีหน้าจริงจังตั้งใจเต็มที่

ดูไปแล้วเหมือนว่า จะสนใจเรื่องนี้มากจริง ๆ

หนานหว่านเยียนนั่งขัดสมาธิ นั่งหลบอยู่ตรงมุมห้องแล้วฟังอย่างเงียบ ๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเรียนพร้อมลูกสาว เป็นอะไรที่ให้ความรู้สึกพิเศษดีทีเดียว

สีหน้าของหลินอวี้เฟิงราบเรียบสงบนิ่ง เดินไปข้าง ๆ หนูน้อยทั้งสอง “พระชายาเป็นท่านแม่ของพวกเจ้า ไม่ทราบว่าคุณหนูทั้งสองมีความประทับใจเช่นไรต่อพระชายาหรือ?”

เกี๊ยวน้อยพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่า “ท่านแม่อบอุ่นทั้งยังรักพวกเรามาก แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ดุไปบ้าง แต่ก็ทำไปเพื่อประโยชน์ของพวกเราทั้งสิ้น!”

ซาลาเปาน้อยกลอกตาไปมาไม่หยุด “ร่างกายของท่านแม่มีกลิ่นหอม ทั้งยังชอบทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเรากินอยู่เสมอ แต่พวกเราก็รู้ดีว่ามีบางครั้งที่ท่านแม่จะไปหลบอยู่คนเดียว แอบเศร้าเสียใจเงียบ ๆ ไม่ให้พวกเราเห็น”

นี่คือความจริง ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่ก็ตามที่แม่หนูน้อยทั้งสองล้มป่วย หนานหว่านเยียนที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังในเรือนเย็นแห่งนี้ แม้ว่าจะมีห้วงเวลาที่ช่วยเหลือเกื้อกูลได้อยู่ แต่ก็หลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานใจจนต้องร้องไห้ออกมาไม่ได้

หัวใจของหนานหว่านเยียนพลันอุ่นวาบ ที่ปลายจมูกรู้สึกแสบร้อนขึ้นมาน้อย ๆ

คิดไม่ถึงว่าเรื่องพวกนี้ แม่หนูน้อยทั้งสองต่างก็รับรู้มาโดยตลอด

นางยังคิดอยู่ว่า…… ตัวเองปกปิดเอาไว้ได้ดีมากแล้วเสียอีก

สีหน้าของหลินอวี้เฟิง ปรากฏแววซาบซึ้งใจบนใบหน้าซึ่งปกติแล้วจะไม่แสดงอารมณ์ตื่นเต้นตกใจต่อเกียรติยศหรือความอัปยศอดสูใด ๆ หลังจากนั้น เขาก็พูดขึ้นอย่างมีชั้นเชิงว่า

“นี่ก็คือความรักของคนเป็นแม่ แม่จะอ่อนโยนอยู่เสมอ จะให้อ้อมกอดและห่วงใยใส่ใจพวกเจ้า แต่ว่า แม่ก็มีด้านที่อ่อนแอเปราะบางอยู่เช่นกัน”

“ในเวลานี้ คนเป็นพ่อจึงจำเป็นต้องปรากฏตัวขึ้น”

เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดห้าปีมานี้คุณหนูทั้งสองไม่เคยได้รับการดูแลใส่ใจใด ๆ จากพ่อเลย น้ำเสียงจึงอ่อนลงไปเล็กน้อย

“พ่อเป็นผู้ชาย ยืนหยัดเป็นเสาหลักอันมั่นคงอยู่ข้างนอก ในบ้านก็เท่ากับเป็นที่หลบภัยให้พวกเจ้าและแม่”

ดวงตาของเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อย เป็นประกายขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นก็หรี่ลงพร้อมกัน ต่างมีแววผิดหวังน้อย ๆ ปรากฏขึ้น

พ่อของพวกนาง…..

หลินอวี้เฟิงไม่ทันได้สังเกต ยังพูดต่อไปว่า “พ่อจะใช้วิธีการที่เข้มงวด เพื่อดูแลพวกเจ้าอย่างหนักแน่นแต่ก็นุ่มนวล หากเวลาที่อยู่ข้างนอกพวกเจ้าถูกคนรังแก ก็สามารถบอกเขาได้ เขาจะต้องปกป้องพวกเจ้าอย่างแน่นอน ชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ เขาก็จะคอยปกป้องพวกเจ้าและแม่ อยู่เคียงข้างไม่ห่าง”

“พ่อแม่ คือคนที่วันข้างหน้าพวกเจ้าต้องให้ความเคารพและกตัญญู และเป็นคนที่จะขาดไปไม่ได้ในกระบวนการเติบโตตลอดชีวิตของพวกเจ้า”

สีหน้าของซาลาเปาน้อยดูผิดหวัง นางก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจ กัดริมฝีปากแน่น

นางเองก็ต้องการพ่อ แต่พ่อของนางเป็นแค่ผู้ชายชั่วช้าสารเลวแบบนั้น มันช่างแตกต่างจากสิ่งที่อาจารย์หลินพูดโดยสิ้นเชิง

มีประกายแสงสว่างวาบขึ้นในดวงตาของเกี๊ยวน้อย อันที่จริงนางเองก็ปรารถนาแบบนั้น จะมีเด็กคนไหนที่ไม่ต้องการครอบครัวที่สมบูรณ์ครบถ้วนบ้างล่ะ?

แต่แล้วจู่ ๆ นางก็มีท่าทางไม่ยอมรับในคำสอนนั้นขึ้นมา หันหน้าหนีไปอีกด้านพลางทำหน้าบึ้ง “ข้ากับซาลาเปาน้อยอยู่แบบไม่มีพ่อมาห้าปีแล้ว ก็ยังอยู่มาได้ดีไม่มีปัญหาอะไรนี่!”

“พวกเรามีเพียงท่านแม่ก็พอแล้ว! นอกจากนี้ในวันข้างหน้า พวกเราจะกตัญญูต่อท่านแม่ให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว!”

ซาลาเปาน้อยพยักหน้าถี่ยิบราวกับตำกระเทียม แต่ก็มีท่าทีกังวลใจน้อย ๆ

“ใช่ พวกเราจะดีกับท่านแม่ให้มาก! ข้ากับพี่สาวต่างก็ไม่อยากให้ท่านแม่ต้องลำบาก พวกเรารู้ดีว่าท่านแม่ต้องการคนดูแล แต่ข้ากับพี่สาวยังไม่โตพอ ยังดูแลท่านแม่ไม่ได้…..”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ผู้ใหญ่สองคนในห้องต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริศ

การป้องกันของหนานหว่านเยียนพังทลายลงทันที น้ำตาเกือบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ…..