EP.379 พยานบุคคล
สามวันถัดมา กลางฤดูร้อนภายในเมืองหลันเยี่ยนเงียบเหงาเป็นพิเศษ ลมพัดผ่านป่าหลิวนอกเมืองเกิดเสียงกรอบแกรบ มีผู้เดินทางมาทำการค้ามากมายจากนอกเมืองซึ่งแต่งต่างจากเมืองห้าหุบเขา แม้ว่าเมืองหลังจะเคยถูกกวาดล้าง แต่ยังคงสามารถกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง พร้อมทั้งมีผู้คนอพยพจากมณฑลอวิ้นจงและมณฑลชีไห่ทำให้จักรวรรดิไม่สูญเสียความรุ่งเรืองจากอดีต
หลินมู่อวี่และฉินเหยียนถูกสั่งให้หยุดทันทีที่เข้ามาในเมือง ก่อนที่ผู้บัญชาการกองร้อยจะพาทั้งสองไปหาจางเหว่ย ซึ่งทำให้เขาตกตะลึง
“ท่านหลินมู่อวี่…ในที่สุดก็กลับมา”
จางเหว่ยกระโดดโผกอดหลินมูอวี่พร้อมหัวเราะเสียงดัง “เฒ่าจางเป็นกังวลยิ่งนัก คิดว่าท่านจะถูกเผ่าปีศาจฆ่าเสียแล้ว”
หลินมู่อวี่ผลักเขาออกและเอ่ยถาม “ท่านจางเหว่ย ได้รับสาส์นจากมณฑลชางหนานหรือไม่?”
“ได้รับนานแล้ว เข้าไปตำหนักเจ๋อเทียนกันเถิด ถึงเวลาสำหรับการหารือช่วงบ่ายพอดี”
“อืม”
แม้ว่าทหารที่เซี่ยงอวี้ส่งมาจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่จางเหว่ยมียศเป็นถึงรองผู้บัญชาการกองทัพจักรวรรดิ พวกเขาจึงไม่สามารถขัดขืนได้และต้องเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน
…
หลินมู่อวี่รีบไปตำหนักเจ๋อเทียนทันที โดยไม่มีแม้แต่เวลาจะเปลี่ยนผ้าคลุมเปื้อนเลือด ภายในตำหนักมีทหารไม่มากซึ่งล้วนแล้วเป็นเหล่าเสนาบดีผู้มีอำนาจ ซูมู่หยุน ถังหลาน ซือหลิง ถังลู่ ถังเทียน ซูอวี่ และคนอื่นๆ รวมทั้งนายพลอย่างชางชู่หลิงพร้อมกองทหาร
“หลินมู่อวี่…ผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าราชบริพารประกาศต่อเนื่อง “พร้อมทั้งอ๋องน้อยฉินเหยียน และท่านจางเหว่ย”
ฉินอินสวมเสื้อคลุมปักดิ้นสีทองรูปดอกจื่อยิน นางลุกขึ้นฉับพลันจนพู่สีน้ำเงินรอบกระโปรงสะบัดไหว ขณะที่มือข้างหนึ่งจับด้ามกระบี่จื่อยินแน่นพร้อมสายตาที่จับจ้องทางเดิน นางทนรอไม่ไหวและก้าวลงจากบัลลังก์
“ฝ่าบาท”
ซูมู่หยุนกระแอม “ทรงรักษากิริยาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพลันยืนนิ่ง ขณะที่หลินมู่อวี่เดินเข้ามา ดวงตาคู่งามมองเขาด้วยความคิดถึง “พี่อาอวี่…สบายดีหรือไม่?”
หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและคุกเข่าลงพร้อมกระซิบ “เสี่ยวอิน…ข้าสบายดี แต่กองทัพทั้งหมดถูกทำลาย ยกเว้นข้าและอาเหยียนที่หนีออกมาได้”
“ลุกขึ้นเถิด…”
หลินมู่อวี่ยืนขึ้นพร้อมมองไปรอบบริเวณ เขาพบว่าบรรยากาศภายในค่อนข้างน่าอึดอัด พวกเฟิงจี้สิงและเว่ยโฉวมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวล ขณะที่ถังหลาน ซูมู่หยุน ถังลู่ และคนอื่นๆ มองด้วยสายตาเย้ยหยัน
“หมินยวี่หลินเสียชีวิตในการต่อสู้ใช่หรือไม่ท่านผู้นำ?” ถังลู่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ”
“เซินเว่ยโหวหมินยวี่หลินเสียชีวิตในเมืองตงฉวงพร้อมทหารห้าหมื่นนาย เหตุใดท่านผู้นำวิหารสามารถหนีกลับมายังเมืองหลันเยี่ยนด้วยร่างกายที่ยังสมบูรณ์เช่นนี้? จริงหรือไม่ที่เซี่ยงอวี้กล่าวในสาส์นว่าท่านกำลังหลบหนีสงคราม ละทิ้งศักดิ์ศรีทหารแห่งจักรวรรดิ และละทิ้งหมินยวี่หลินพร้อมคนอื่นๆ” ดวงตาถังลู่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ “หลินมู่อวี่ ในฐานะผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหลงลืมศักดิ์ศรีของทหารแห่งจักรวรรดิแล้วหรือ?”
“ข้าไม่ได้หนี” หลินมู่อวี่เงยหน้ามอง “เซี่ยงอวี้เป็นคนของท่าน ไม่จำเป็นต้องกล่าวหาข้าเช่นนี้ หากข้าอยากหนี คงหนีไปนานแล้ว เหตุใดจึงต้องรอกระทั่งเมืองตงฉวงแตกพ่าย?”
“อย่างนั้นรึ?”
ถังลู่เผยแววตาไม่พอใจและกล่าว “ข้ารู้ว่าท่านจะต้องปฏิเสธ โชคดีที่เรามีพยาน นำเขาเข้ามาในตำหนัก!”
หลินมู่อวี่มองถังลู่ด้วยท่าทีสงบนิ่งโดยไม่รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด แต่ฉินเหยียนรู้สึกโกรธมากพร้อมกัดฟันแน่น ฉินอินเองก็ดูเป็นทุกข์ขณะที่ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ท่านหลิงเป่ยโหวรู้ว่าหลินมู่อวี่คือพระเชษฐาของข้า เหตุใดจึงใส่ความเขาเช่นนี้”
ถังลู่ประสานหมัดกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้ใส่ความ แต่ทั้งหมดเป็นความจริง ฝ่าบาทจะทรงเห็นในไม่ช้าเมื่อความจริงถูกเปิดเผยพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้”
มุมปากฉินอินยกขึ้นเล็กน้อย “ท่านหลิงเป่ยโหวหากไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าหลินมู่อวี่กระทำผิด อย่ากล่าวโทษหากข้าถอนยศของท่าน”
ถังลู่ตกตะลึง ขณะที่ถังหลานขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ เขาเป็นหนึ่งในสองกงผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิและถือครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งในมือ กระนั้นเขาไม่เคยรู้เลยว่าช่วงเวลาที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง ถังลู่และถังเทียนจะปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของตนเช่นนี้
…
ไม่กี่นาทีต่อมา ภายใต้การดูแลของทหารของตำหนักเจ๋อเทียน นายพลในชุดเกราะโทรมๆ เดินเข้ามาในโถงพร้อมหันมองหลินมู่อวี่และฉินเหยียน
“ฉือฮั่ว”
“หลินมู่อวี่”
ใบหน้าฉือฮั่วเต็มไปด้วยความโกรธ “คงไม่คาดคิดว่าข้าจะหนีออกจากมณฑลหลิงตงได้ เจ้าไม่แม้แต่จะกล้าเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ เหอะ! ยังจะเสนอกลับมาเมืองหลันเยี่ยนอีกรึ?”
จากนั้นฉือฮั่วหันไปประสานหมัดกับฉินอิน “ฝ่าบาท วันที่สิบสองสิงหาคมเมืองตงฉวงถูกเผ่าปีศาจโจมตี อสูรเกราะหนึ่งแสนตนปิดล้อมกองทหารหยางเว่ย ขณะที่ท่านเซินเว่ยโหวออกคำสั่งให้กระหม่อมรอรับศึกหนัก ไม่มีคาดคิดว่าหลินมู่อวี่จะนำทัพล่าถอยออกจากเมือง ภายในกองทัพมีข่าวลือว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้นำเผ่าปีศาจ กระหม่อมจึงต้องการทูลขอฝ่าบาททรงดำเนินการตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างไร้สาระ!”
สายตาฉินอินที่จ้องมองแหลมคมดั่งใบดาบ “พี่อาอวี่ไม่ใช่คนเช่นนั้น ลากฉือฮั่วลงมา และตัดหัวมันซะ!”
ถังลู่รีบพูดแทรก “ฝ่าบาท สิ่งที่นายพลฉือฮั่วกล่าวไม่ได้ไร้สาระ ฉือฮั่ว…รีบเอาหลักฐานของท่านออกมา”
ฉือฮั่วกัดฟันขณะที่มองหลินมู่อวี่ ก่อนจะดึงธงรบออกจากแขนเสื้อซึ่งมีคำว่า ’หมิน’ อยู่จางๆ จากนั้นเขาชักดาบออกมาและใช้ธงพันรอบ “ฝ่าบาท ท่านเซินเว่ยโหวมอบสิ่งนี้ให้และฝากคำพูดก่อนที่เขาจะเสียชีวิต”
“กล่าวมา” ฉินอินพูดเสียงเบา
ฉือฮั่วตอบ “ท่านเซินเว่ยโหวกล่าวว่า หลินมู่อวี่เกณฑ์ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาตและยังทำตัวแข็งกร้าวไม่รับฟังคำสั่ง อีกทั้งหลินมู่อวี่กำหนดเส้นทางลำเลียงเสบียงเอง ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย เนื่องจากอสูรเกราะโจมตีเกวียนเสบียงจนหมด จากนั้นมีคนรายงานว่าวันที่สามสิบกรกฎาคม หลินมู่อวี่นำกำลังคนออกไปเก็บลูกธนูอาบยาพิษทำให้เกิดโรคระบาดในเมืองตงฉวงและผู้คนล้มตายนับหมื่นคน ในวันที่เก้าสิงหาคม ผู้บัญชาการฉายหงขุดหลุมอุโมงค์ ก่อนที่เผ่าปีศาจจะพบตัวและถูกสังหาร มีเพียงหลินมู่อวี่ที่รอดชีวิต ทั้งหมดพิสูจน์ได้ว่าหลินมู่อวี่ติดต่อและสมรู้ร่วมคิดกับศัตรูโดยตลอด ฝ่าบาท…โปรดทรงอย่าเห็นพระทัยเพียงเพราะเขาเป็นพระเชษฐา มิเช่นนั้น…”
ฉินเหยียนชี้หน้าฉือฮั่วและตะโกนดัง “เจ้ามันอสูรร้ายกระหายเลือด! ไอ้สาระเลว!”
ฉินอินมองหลินมู่อวี่และเอ่ยถาม “พี่อาอวี่บอกข้าทีว่าสิ่งที่เขากล่าวเป็นเรื่องโกหก”
หลินมู่อวี่รู้สึกขมขื่นในหัวใจ แต่ไม่สามารถกล่าวออกไปได้ เขาประสานหมัดและพูดว่า “ฝ่าบาท มีบางส่วนที่เป็นความจริง แต่เขาเองไม่ได้กล่าวถึงส่วนนั้น”
“พี่อาอวี่โปรดกล่าวมา”
หลินมู่อวี่หันมองฉือฮั่วและกล่าว “ก่อนวันที่เมืองตงฉวงจะถูกตีพ่าย ฉือฮั่วและกองทหารของเขาขุดศพทหารแห่งจักรวรรดิที่เสียชีวิตในสนามรบ เขาก่อกบฏขณะที่กำลังถูกไต่สวน โดยการนำทหารห้าพันนายของกองทัพเมืองชีไห่เปิดประตูเมืองทิศใต้ด้วยความประสงค์ของตนเอง และสิ่งนี้…นำไปสู่ความล่มสลายของเมืองตงฉวงในที่สุด”
ร่างกายฉือฮั่วสั่นสะท้านพร้อมชี้นิ้วไปที่หลินมู่อวี่ “จะ…เจ้าโกหก!!”
ดวงตาหลินมู่อวี่เย็นชาพร้อมตะโกนดัง “ฉือฮั่ว เมืองตงฉวงถูกล้อมทุกด้านด้วยอสูรเกราะนับหมื่น เจ้าและข้าต่างรู้ดีว่าจะต้องตายในสนามรบ กระนั้นข้าก็พาอาเหยียนฝ่าวงล้อมมาได้ แต่ด้วยความสามารถของเจ้า…เป็นไปได้หรือที่จะหนีออกมาด้วยตนเอง? อีกทั้งเจ้าถือดาบและธงรบของท่านเซินเว่ยโหวกลับมา คงมีเพียงสิ่งเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือ เจ้ายอมจำนนต่อเผ่าปีศาจและทำสัญญาเป็นทาส เช่นนั้นพวกมันจึงปล่อยเจ้ากลับมายังเมืองหลันเยี่ยนเพื่อทำลายเมืองจากภายในใช่หรือไม่?”
“เจ้า!”
ใบหน้าฉือฮั่วแดงก่ำด้วยความโกรธ “อย่ามากล่าวหาข้าและสร้างความสับสนให้แก่ผู้คนเช่นนี้!”
ถังลู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังฉือฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หลินมู่อวี่ ความจริงอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ยังกล้าเล่นลิ้นอีกรึ เจ้าเพิ่งหนีจากสงคราม แล้วยังไม่ยอมรับความสามารถของฉือฮั่วผู้เป็นแม่ทัพของเมืองชีไห่อีก เขามักพุ่งตรงจัดการกับศัตรูอย่างกล้าหาญที่กองทัพแนวหน้าเสมอ ฉือฮั่วไม่ได้พูดปดแน่นอน ข้ารับประกันด้วยชีวิต”
“เช่นนั้นชีวิตของเจ้าคงสูญเปล่า”
หลินมู่อวี่มองถังลู่ด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนจะชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมา “ฉึก!” คมกระบี่แทงทะลุหัวใจฉือฮั่วทันที
“พระเจ้า…”
ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าหลินมู่อวี่จะสังหารฉือฮั่นเช่นนี้
“หลินมู่อวี่!”
ถังลู่มองฉือฮั่วที่ล้มลงด้วยใบหน้าขาวซีด “เจ้ามัน…เสียสติไปแล้ว! บังอาจสังหารคนในตำหนักเจ๋อเทียนต่อหน้าองค์จักรพรรดินี เจ้า…”
“พี่อาอวี่…” ฉินอินมองเขาด้วยความสับสน
…
“เคร้ง!”
กระบี่วิญญาณมังกรเจาะเข้าก้อนอิฐหยกหน้าตำหนัก ขณะที่หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินอินและพึมพำ “เสี่ยวอิน กองทัพปีศาจกำลังบุกเข้ามา เมื่อใดที่พวกมันข้ามแม่น้ำต้าวเจียงมาได้ แผ่นดินจะถูกกวาดล้างและจักรวรรดิจะถึงคราล่มสลาย ข้าไม่ต้องการเสียเวลาโต้เถียงกับคนเหล่านี้ หากฉือฮั่วแข็งแกร่งมากพอ คงไม่ถูกข้าสังหารได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่งเอง ข้ารู้ว่าตนเองจะต้องถูกลงโทษ แต่…เราจำเป็นต้องส่งกำลังเสริมไปยังเมืองห้าหุบเขาและเมืองเฉินหยิ่งโดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นอาจไม่มีโอกาสอีกแล้วหากพวกมันข้ามแม่น้ำมา”
เฟิงจี้สิงพึมพำ “อาอวี่ เผ่าปีศาจแข็งแกร่งมากเลยหรือ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “พี่เฟิง หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ พี่ต้องระวังตัว พวกมันมีกองกำลังอสูรเกราะอย่างน้อยหนึ่งแสนตน และเพียงหนึ่งตนมีพลังเทียบเท่าทหารฝีมือดีของจักรวรรดิถึงยี่สิบนาย!”
“อะไรนะ?” เฟิงจี้สิงตกตะลึง
………………………………….