บทที่ 351 ระวังตัวไว้ก่อน

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 351 ระวังตัวไว้ก่อน

คำตอบจากปากของแองกัสทำให้ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเย็นชา “แกโกหกฉันหรือเปล่า?”

ถ้าไม่มีน้ำยาแสงตะวัน ก็ไม่สามารถฝึกวิชาพลังแสงอาทิตย์ได้ แองกัสยอมตอบคำถามนี้เพื่อแลกกับชีวิตของตัวเอง

“ฉัน…ฉันไม่ได้โกหกนะ…” แองกัสตอบด้วยเสียงอันสั่นเครือ เขาไม่อยากถูกจับกลับเข้าไปอยู่ในม่านพลังและโดนฟ้าผ่าตลอดเวลาอีกแล้ว แองกัสรีบตะโกนต่อทันทีว่า “น้ำยาแสงตะวันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของการฝึกวิชานี้แล้ว”

หลุยส์หน้าตาบูดบึ้ง โกรธจัดจนควันออกหู ได้แต่ดุด่า แองกัส ที่มันทำให้สำนักวิหารดวงตะวันของเขาต้องขายขี้หน้า

เจ้าสำนักวิหารดวงตะวันออกคำสั่งกับกลุ่มคนที่ได้รับหน้าที่ให้ไปช่วยเหลือแองกัสว่า ถ้าสบโอกาสก็ให้สังหารแองกัสไปได้เลย เนื่องจากมันเป็นผู้ทรยศต่อวิหารดวงตะวัน

ฉู่ชวิ๋นบอกให้หยานหวูซวงติดต่อกลับไปหาหลุยส์ และเพิ่มน้ำยาแสงตะวันจำนวนมากลงไปในบรรดาของวิเศษที่จะแลกเปลี่ยนตัวกับแองกัส

หลุยส์ตอบกลับด้วยความโกรธแค้น “เหอะ น้ำยาแสงตะวันมีแค่เพียงปีละ 10 หยดเท่านั้น”

มีเท่านั้นเองเหรอ? ฉู่ชวิ๋นไม่จะอยากเชื่อ จึงหันกลับมาถามแองกัส

แองกัสก็ตอบว่าน้ำยาแสงตะวันเป็นของที่หาได้ยากมาก หนึ่งปีมีแค่เพียงไม่กี่สิบหยดเท่านั้น แต่ถ้าจะนำมาใช้ฝึกพลังแสงอาทิตย์ แค่เพียงสิบหยดก็พอแล้ว

“เจ้าสำนักหลุยส์ ผมขอสักร้อยหยดก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นว่า

คราวนี้หลุยส์ตอบกลับมาเสียงแข็ง “เป็นไปไม่ได้ พลังแสงอาทิตย์คือรากฐานวิหารของฉัน ต่อให้แกฆ่าแองกัส ฉันก็ไม่มีทางให้น้ำยาแสงตะวันกับแก ลืมเรื่องนี้ไปซะเถอะ”

“เจ้าสำนักหลุยส์ คุณบอกเองไม่ใช่หรือไงว่า ถ้าทำเพื่อชีวิตของคนจากสำนักวิหารดวงตะวัน คุณยินดีมอบให้ได้ทุกอย่าง?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“แต่วิหารดวงตะวันไม่เคยปกป้องคนทรยศ แองกัสเป็นคนทรยศไปแล้วเพราะมันบอกความลับของวิหาร นั่นเท่ากับว่ามันทรยศต่อเทพเจ้าดวงอาทิตย์ไปแล้ว” หลุยส์กล่าวตอบอย่างลื่นไหล

ฉู่ชวิ๋นนึกสนุก พูดต่อไปว่า “ถ้างั้นคุณยังจะมาช่วยเขาอยู่อีกหรือเปล่า? ถ้าไม่มาแล้ว ฉันจะได้ฆ่าเขาทิ้งซะเดี๋ยวนี้”

“ช่วยสิวะ พวกเราจะไปช่วยมัน ถึงแม้ว่ามันจะทรยศต่อเทพเจ้าดวงอาทิตย์ แต่สมาชิกทุกคนของวิหารดวงตะวัน สมควรได้รับโอกาสไถ่บาป” หลุยส์แผดเสียงคำราม

“ถ้างั้นก็บอกคนของคุณให้รีบเดินทางมาหน่อย ช้ากว่านี้คุณคงได้แต่มารับศพของแองกัสกลับไปแน่ ๆ” หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็บอกให้หยานหวูซวงตัดการสื่อสารกับหลุยส์ทิ้งไปซะ

ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นสอบปากคำแองกัสต่อ เพื่อรีดเค้นความลับของวิหารดวงตะวันมาให้ได้มากที่สุด

น่าเสียดายที่แองกัสไม่รู้ข้อมูลอะไรที่น่าสนใจเลย นอกจากสามบทแรกของการฝึกวิชาพลังแสงอาทิตย์ ถึงแม้เขาจะเป็นรองเจ้าสำนัก แต่ก็ไม่อาจเข้าถึงข้อมูลที่ลึกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

ฉู่ชวิ๋นแอบเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ดูท่าวิหารดวงตะวันคงจัดการได้ไม่ง่ายซะแล้ว คนที่มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าสำนักอย่างแองกัสทั้ง ๆ ที่ควรจะรู้ข้อมูลอย่างครอบคลุมและกว้างขวาง แต่แองกัสกลับรู้ข้อมูลของสำนักตัวเองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ฉู่ชวิ๋นเดาเหตุผลได้อยู่สองอย่าง อย่างแรก แองกัสเป็นเพียงตัวหลอกของสำนักเขาไม่มีสถานะที่ยิ่งใหญ่พอ อย่างที่สอง หลุยส์เก็บความลับไว้กับตัวเพียงคนเดียว ไม่ยอมให้คนอื่นล่วงรู้ความลับเหล่านั้นเด็ดขาด

ผลั่ก!

แองกัสโดนฉู่ชวิ๋นเตะกระเด็นกลับเข้าไปอยู่ในม่านพลังอีกครั้ง สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วแองกัสก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้ง

“จอมมารฉู่ชวิ๋น ฉันบอกข้อมูลแกทุกอย่างไปแล้วนะ” แองกัสร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน

ฉู่ชวิ๋นสีหน้าเรียบเฉย “ข้อมูลของแกมันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลยน่ะสิ ขอให้สนุกก็แล้วกัน” ความจริงแล้ว ฉู่ชวิ๋นรู้ดีอยู่แก่ใจ หลุยส์ไม่ได้เจตนาส่งคนมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือแองกัสอยู่แล้ว

ไม่นานก่อนหน้านี้ วิหารดวงตะวันถูกเขาเล่นงานหลายครั้งหลายหน จนภาพลักษณ์พังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี เหตุผลที่หลุยส์ส่งบริวารมาช่วยเหลือแองกัสก็เป็นเพราะว่าอยากจะกอบกู้ภาพลักษณ์และทำให้คนภายนอกเห็นว่าวิหารดวงตะวันยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่เช่นเดิม

นอกจากนี้ เห็นได้ชัดแล้วว่าแองกัสไม่ได้มีความสำคัญมากพอ ไม่อย่างนั้นหลุยส์คงยินดีแลกตัวแองกัสกับน้ำยาแสงตะวันไปแล้ว

….

….

เข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและนี่ก็เข้าสู่วันใหม่แล้ว

“พวกนายรีบหนีไปจากที่นี่ก่อนดีกว่านะ” ฉู่ชวิ๋นพูดกับหยานหวูซวงและเหล่าสมาชิกของสมาคมนักล่ามังกร

หยานหวูซวงเข้าใจว่าฉู่ชวิ๋นกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เพราะว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าพวกของหลุยส์วางแผนการชั่วร้ายอะไรเอาไว้บ้าง?

“ให้พวกพี่อี้ไปก่อนก็ได้ ฉันจะอยู่คอยช่วยพี่ฉู่เอง” หยานหวูซวงพูด

อี้เสี่ยวซูตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “ถึงผมจะเสียมือไปข้างนึงแล้ว แต่มืออีกข้างของผมก็ยังใช้การได้อยู่ ผมจะอยู่ช่วยคุณอีกแรงเอง”

“พี่ฉู่ชวิ๋น ฉันก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน” ถางโร้วประกาศ

“นายท่านฉู่ชวิ๋น พวกเราก็จะอยู่ด้วยครับ” สมาชิกของสมาคมนักล่ามังกรทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน

ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ เนื่องจากเรื่องบานปลายมาถึงขั้นนี้สาเหตุมาจากเขาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงรู้ว่าตัวเองต้องรับผิดชอบเรื่องนี้

และครั้งนี้ เขาสังหรณ์ใจว่าคู่ต่อสู้น่ากลัวมาก

“ไม่ได้ ทุกคนหนีไปให้หมด นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาต่อรองกันได้นะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หยานหวูซวงสวนกลับมาทันทีด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันรู้นะว่าพี่เก่ง แต่หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว ถ้าพี่อยากจะเป็นพระเอกฉายเดี่ยว เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันคอยช่วย แล้วพี่ก็รับความดีความชอบไปคนเดียวก็แล้วกัน”

ฉู่ชวิ๋นหันขวับมาขึงตาใส่หยานหวูซวง พร้อมกับถูมือด้วยความคันไม้คันมือ “โดยเฉพาะนายนี่แหละ อย่าลืมสิว่าพ่อนายฝากฝังนายไว้กับฉัน ถ้านายไม่ทำตามที่ฉันสั่ง ฉันมีสิทธิ์ลงโทษนาย”

หยานหวูซวงทำหน้าไม่พอใจและถลึงตากลับไป “พี่อายุมากพอที่จะเป็นพ่อฉันได้แล้วหรือไง? ตอนที่ฉันเกิด พี่เพิ่งจะหัดเดินอยู่เลยมั้ง กล้าดียังไงจะมาลงโทษแทนพ่อฉันฮะ”

ผลั่ก! ร่างของหยานหวูซวงลอยกระเด็นไปไกล

ฉู่ชวิ๋นลดกำปั้นลงและพูดขึ้นว่า “นี่คือหมัดแรกเอาไว้สั่งสอนเด็กดื้อ”

“ฉันจะสู้กับแกเอง!” หยานหวูซวงรีบยันตัวลุกขึ้นมาด้วยความอับอาย ส่วนคนอื่น ๆ ได้แต่หันไปมองหน้าอี้เสี่ยวซูกันหมด

ทุกคนล้วนอยากอยู่เพื่อช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนจะทำไม่ได้จริงๆ

ครู่หนึ่งต่อมา หยานหวูซวงก็ตกอยู่ในสภาพใบหน้าบวมช้ำ เลือดกำเดาไหลโชก

“ไอ้บ้า แกไม่เคยได้ยินหรือไงว่าเวลาทำร้ายใคร อย่าทำร้ายที่ใบหน้า?” หยานหวูซวงกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด

ผลั่ก! แล้วหยานหวูซวงก็หมุนตัวลอยคว้างไปอีกครั้ง

“ฉันขอตัดขาดความเป็นพี่น้องกับแกวันนี้แหละ” หยานหวูซวงพูดในขณะที่นอนร้องไห้หมดสภาพอยู่ในที่ไกล ๆ

ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองพวกอี้เสี่ยวซูแล้วพูดว่า “พี่อี้ พวกพี่ก็รีบหนีไปเถอะ”

อี้เสี่ยวซูไม่พูดอะไรอีก

“ผมรู้ว่าคุณเป็นกังวลเรื่องนั้น ไม่ต้องห่วงหรอก แองกัสมันไม่รอดชีวิตแน่ คนที่ทำให้พวกของต้าหยงต้องตาย จะต้องไปชดใช้กรรมอยู่ในนรก”

ฉู่ชวิ๋นให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น

สมาชิกสมาคมนักล่ามังกรทุกคนล้วนแต่เป็นผู้รักชาติจิตใจบริสุทธิ์ โดยเฉพาะเย่ต้าหยงที่ต้องเสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถใจ

“ตกลง งั้นพวกเราจะเชื่อฟังคุณ” อี้เสี่ยวซูโล่งอกเมื่อได้ยินคำสัญญาจากปากฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นคิดอะไรบางอย่างก่อนเอ่ยขึ้น “พี่อี้ กลับจากที่นี่แล้วจะไปไหนกันเหรอ?”

อี้เสี่ยวซูหันไปมองหน้าลูกน้องของตัวเอง แล้วก็ยิ้ม “สมาคมนักล่ามังกรของเรารวมตัวกันมาแค่เพียงชั่วคราว เมื่อกลับออกไปจากที่นี่ เราก็จะสลายตัว ทุกคนจะกลับไปใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติ อย่างฉันก็จะกลับไปอยู่ที่หุบเขาเซียนหยุน คนอย่างฉันคงไปที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”

“พี่อี้ ถ้าพี่ไม่รู้จะไปที่ไหน พี่มาหาผมได้ตลอดเวลานะ” ฉู่ชวิ๋นยื่นส่งหญ้าจิตวิญญาณพันธุ์หายากออกไป อี้เสี่ยวซูเป็นคนที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ควรค่าแก่การรับเป็นพรรคพวกมากที่สุดแล้ว

อี้เสี่ยวซูตกตะลึงก่อนส่ายศีรษะปฏิเสธพร้อมกับรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ แต่นายท่านฉู่ชวิ๋น ฝีมือของฉันคงมาถึงได้แค่นี้ ฉันคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของจอมยุทธ์บ้านนอก คงปรับตัวกับการเป็นคนดังไม่ไหวแน่”

ทุกคนย่อมมีความต้องการเป็นของตัวเอง ฉู่ชวิ๋นอยากไปบังคับใคร เขาได้แต่พูดออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะไม่บังคับพี่ แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปเป็นความจริง คฤหาสน์ตระกูลฉู่ ยินดีต้อนรับพี่เสมอ”

“ขอบคุณมาก นายท่านฉู่ชวิ๋น” อี้เสี่ยวซูตอบรับด้วยความซาบซึ้ง

สุดท้ายแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็มอบเม็ดยาโอสถเทพตะวันแดงให้แก่อี้เสี่ยวซู มือขวาของเขาใช้การไม่ได้อีกแล้ว แน่นอนว่าพลังในการต่อสู้ย่อมตกลงไปมากแต่หลังจากกินยาเม็ดนี้เข้าไป มันจะช่วยชดเชยพลังที่สูญเสียไปให้กลับมาแข็งแกร่งเท่าเดิม

เมื่อได้ยินว่ายาลูกกลอนเม็ดนี้สามารถช่วยเลื่อนระดับพลังได้อีกหนึ่งขั้น อี้เสี่ยวซูก็มีสีหน้างงงวยไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“พี่อี้ หมอนี่ปรุงยาเก่งมากนะ ไม่ว่าจะเป็นยาทลายพลัง หรือโอสถเทพตะวันแดงเม็ดนี้ ต่างก็ช่วยให้สามารถเลื่อนระดับพลังได้โดยไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อร่างกายเลย” หยานหวูซวงเดินเข้ามาช่วยยืนยันสรรพคุณ

ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปส่งหญ้าจิตวิญญาณพันธุ์หายาก แจกจ่ายให้แก่สมาชิกทุกคนของสมาคมนักล่ามังกร คนกลุ่มนี้มาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ควรได้รางวัลตอบแทนกลับไปบ้างเช่นกัน

คนกลุ่มนี้มองฉู่ชวิ๋นเป็นวีรบุรุษประจำใจอยู่แล้ว พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับของจากฉู่ชวิ๋น

ไม่ว่าคนกลุ่มนี้อยากจะมาทำงานที่คฤหาสน์ตระกูลฉู่หรือไม่ ฉู่ชวิ๋นก็จะมอบหญ้าจิตวิญญาณพันธุ์หายากให้เป็นของตอบแทน

เมื่อฉู่ชวิ๋นจัดการกับทุกคนได้แล้ว เขาก็หันกลับมามองหน้าถางโร้ว ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหนักใจ

“เธอช่วยกลับไปรอฉันก่อนได้ไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออก ถ้าเปลี่ยนจากถางโร้วเป็นหยานหวูซวง ตอนนี้คนที่ยืนตรงหน้าเขาคงโดนกระถืบไปชุดใหญ่ แต่เพราะเป็นถางโร้ว ฉู่ชวิ๋นจึงทำได้เพียงพูดโน้มน้าวใจเธอเท่านั้น

“พี่ฉู่ชวิ๋นคะ บอกฉันมาตามตรงนะ การต่อสู้ครั้งนี้อันตรายหรือเปล่า?” ถางโร้วจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยดวงตาสดใส

ฉู่ชวิ๋นประหลาดใจไม่น้อย ถางโร้วเป็นผู้ฝึกตนเป็นเซียนเช่นเดียวกับเขา เธอจึงมีความรู้สึกไวมากกว่าคนทั่วไป หรือว่าถางโร้วจะรู้สึกได้ถึงอันตรายเหมือนเขา?

“ไม่หรอก ฉันแค่ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา มันก็จะง่ายที่ฉันจะหนีไปคนเดียว” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็หัวเราะด้วยความขบขัน

“พูดจริงนะ?” ถางโร้วเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย

ฉู่ชวิ๋นยกมือบีบจมูกเล็ก ๆ ของเธอ ถางโร้วก้มหน้างุดในขณะที่เขาพูดว่า “นี่แน่ะ เจ้าเด็กดื้อ เดี๋ยวนี้พี่พูดอะไรก็ไม่เชื่อแล้วใช่ไหม”

ถางโร้วแก้มแดงระเรื่อ พูดเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “ก็คนเค้าเป็นห่วงนี่นา!”

แล้วเด็กสาวก็เงยหน้ามองฉู่ชวิ๋นด้วยหัวใจพองโต นับได้ว่าเจ้าเด็กดื้อของเขาเติบโตแล้วจริงๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ตกลงเธอจะกลับไปรอฉันใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถามแล้วก็หัวเราะในลำคอ

ถางโร้วตอบว่า “พี่ฉู่ชวิ๋น ระวังตัวด้วยนะคะ”

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า การรับมือกับหญิงสาวไม่ใช่เรื่องที่เขาถนัด โชคดีที่ถางโร้วเป็นคนว่าง่าย ฉู่ชวิ๋นจึงสามารถปาดเหงื่อออกไปจากหน้าผากได้อย่างโล่งอก

มีครั้งหนึ่ง ฉู่ชวิ๋นเคยอ่านข่าวของชายคนหนึ่งที่คบหาผู้หญิงมากกว่า 20 คนในเวลาเดียวกัน

ฉู่ชวิ๋นคิดว่าถ้าเขาได้พบกับผู้ชายคนนั้น คงต้องขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์สักหน่อยแล้ว

เมื่อถึงตอนเย็น ฉู่ชวิ๋นก็มาส่งทุกคนเดินทางจากไป

….

….

วันต่อมา ฉู่ชวิ๋นกลับไปที่เขตชายแดนตามลำพัง แองกัสอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มทน

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ความตายของนักรบชาวต่างชาติคนนี้ใกล้จะมาถึงแล้ว

แต่อีกเดี๋ยวคนของวิหารดวงตะวันก็คงมาถึงแล้วสินะ?

อุปกรณ์ถ่ายทอดสดที่บรรดานายทหารเวียดนามทิ้งเอาไว้ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ด้วยเหตุนี้ การถ่ายทอดสดจึงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

จากบทสนทนาเมื่อวานนี้ระหว่างฉู่ชวิ๋นกับวิหารดวงตะวัน ทุกคนจึงได้รู้เรื่องการไถ่ตัวที่กำลังจะเกิดขึ้น

ฉู่ชวิ๋นกระโดดขึ้นไปบนเนินเขา และนั่งลงทำสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง เพื่อปรับสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อมต่อสู้

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยต่ำไปทางทิศตะวันตก คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่เส้นขอบฟ้า

ผู้ที่นำทีมมาในครั้งนี้คือสมาชิกระดับสูงจากวิหารดวงตะวัน ออร์โล พร้อมด้วยบริวารอีกสิบคน

มองจากระยะไกล พวกเขาเห็นฉู่ชวิ๋นนั่งอยู่บนเนินเขา ทุกคนจึงเดินตรงเข้าไปหยุดเท้าอยู่เบื้องหน้า

ออร์โลค้อมตัวลงทักทายอย่างสุภาพว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋น พวกเรามาเพื่อแลกตัวแองกัส”

ฉู่ชวิ๋นลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาของเขาเป็นประกายเย็นเยียบในขณะที่ชำเลืองมองไปทางออร์โลและพวกพ้อง ก่อนพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “มีอะไรมาแลกบ้างล่ะ?”

ออร์โลเป็นชายผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาจมูกโด่ง เบ้าตาลึกโหล มีดวงตาสีฟ้า ลักษณะท่าทางสง่างาม

ออร์โลหยิบแหวนมิติออกมาวางไว้บนฝ่ามือ แล้วพูด “จอมมารฉู่ชวิ๋น สิ่งที่คุณต้องการอยู่ในนี้หมดแล้ว”

ฉู่ชวิ๋นยื่นมือออกมาข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ส่งมาสิ”

ออร์โลค้อมศีรษะลงอีกครั้ง “จอมมารฉู่ชวิ๋น ได้โปรดปล่อยตัวแองกัสมาก่อน”