บทที่ 148 ผู้หญิงของเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ถอดกางเกงของผู้อื่น

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

“ข้ามาช่วยเจ้าตอบเองที่จริงเจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ” คำกล่าวอันน่าตกใจของฉีเฟยอวิ๋นทำให้คนทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นตะลึงกันทั้งสิ้น

ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิดเจ้าและสวามีเจ้าเคยมีบุตรด้วยกันหนึ่งคนหลังจากแต่งงานและแท้งบุตรไปแล้ว”

เฉาเหม่ยเหรินกล่าวอย่างรีบร้อนว่า: “ข้าไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้แก่ผู้ใดมาก่อน พระชายารู้เรื่องนี้ได้เช่นไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบว่า: “ข้าเป็นหมอ ร่างกายของเจ้าเป็นเช่นไรข้าก็พอจะมองออก ตอนเจ้าแท้งบุตรไม่ได้คลอดออกมาทั้งหมดทั้งสิ้น ในท้องของเจ้าจึงเกิดบุตรที่สิ้นชีวิตแล้วขึ้น เนื่องจากสิ่งนี้อยู่โดยตลอดจึงเกิดผลกระทบทำให้เจ้าตั้งครรภ์ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นโรคภัยโรคหนึ่ง โรคนี้ซึงเวลานานไปก็เติบโตขึ้นแล้วยิ่งอยู่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นท้องของเจ้า

เมื่อสวามีของเจ้าไม่อยู่เจ้าเลยเศร้าโศกจนป่วย แล้วโรคนี้ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และโรคนี้ก็ส่งผลต่อการมีรอบเดือนของหญิงอย่างเจ้า น้ำรอบเดือนของเจ้าก็ไม่มาแล้ว

เจ้าคิดว่าตั้งครรภ์แล้ว นั่นก็เนื่องจากหมอในจวนพวกนั้นก็ดูไม่ออกและจากชีพจรของเจ้าก็คือเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่”

เมื่อเฉาเหม่ยเหรินได้ยินก็ร้องห่มร้องไห้เสียงดังกึกก้อง ส่วนรองแม่ทัพเฉานั้นก็ราวกับถูกฟ้าผ่าร้องห่มร้องไห้ตามไปด้วย

อาอวี่และผู้คนอื่นๆตะลึงจนอ้าปากตาค้าง สิ่งเหล่านี้ยังสามารถมองออกได้

ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้อาอวี่นำกระดาษปากกามาจดคำพูดที่นางได้กล่าวและให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นลงลายมือให้หมด

“ตอนนี้ร่างกายเจ้าอ่อนแอแต่เพื่อช่วยพวกเจ้าและเพื่อไม่ให้เกิดฝันร้ายระยะยาวต่อไป ข้าจะเข้าวังเพื่อเชิญหมอหลวงหูและหมอหลวงอีกท่านรวมถึงหมอในจวนของอาลักษณ์ราชสำนักหลี่มาทำการผ่าตัดให้เจ้า นำเอาเนื้องอกร้ายในท้องของเจ้าออกหากช้ากว่านี้เจ้าอาจตายได้”

“พระชายาลงมือจัดการได้เลย ข้าไม่กลัว”

“อืม ข้าจะให้ยาชากับเจ้าให้เจ้ามั่นใจได้ว่าจะไม่เจ็บปวดมากเช่นนั้น แต่การผ่าตัดนี้อาจทำให้คนเสียชีวิตได้ เจ้าต้องพิจารณาให้รอบคอบ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย เพียงแค่สิ่งของในท้องของเจ้าออกมาความจริงก็จะปรากฎ”

“พระชายา ข้าไม่กลัว”

นางเฉามองไปยังรองแม่ทัพเฉาและนางก็แน่วแน่ยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นจึงจากไปเพื่อเข้าวังเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์ด้วยตนเอง จักรพรรดิอวี้ตี้ให้สวีกงกง หมอหลวงหูและหมอหลวงอีกหนึ่งคนมาพร้อมกัน หมอสองคนจากจวนอาลักษณ์ หมอสองคนจากจวนอ๋องเย่ ให้ทำการผ่าตัดเฉาเหม่ยเหรินด้วยกัน

หมอสองคนจากจวนอ๋องเย่แสดงความสงบนิ่งอย่างยิ่งออกมาในเวลานี้ หนึ่งในพวกเขาให้ความร่วมมือกับฉีเฟยอวิ๋นโดยให้เขาเป็นผู้ช่วย คนหนึ่งคอยสั่งการเพื่อไม่ให้ผู้ใดทำให้เรื่องเป็นการเป็นงานของพระชายาล่าช้า

หลังจากที่ได้อยู่ร่วมกับพระชายาแล้ว หมอจากจวนทั้งหลายก็รู้สึกว่าคุ้นเคยกันแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องผ่าท้องแม้ว่าจะผ่าสมองออกมาพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลก

หมอหลวงทั้งหลายมองดูฉีเฟยอวิ๋นนำเอาของสิ่งหนึ่งซึ่งลักษณะกลมออกมาจากท้องของเฉาเหม่ยเหรินราวกับลูกชิ้นที่ยังมีเนื้อสีแดงสดอยู่บนนั้น

วางลงในถาดใหญ่ซึ่งขนาดของมันเท่ากับหัวคนซึ่งช่างน่ากลัวยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นเย็บอย่างไวและหยุดเลือดของเฉาเหม่ยเหรินไว้อย่างรวดเร็ว

เพื่อให้เฉาเหม่ยเหรินฟื้นตัวโดยเร็วนางให้เฉาเหม่ยเหรินกินยาเม็ดที่เตรียมไว้ล่วงหน้าลงไป ในยานั้นมีเลือดของนางอยู่ด้วย

หลังจากเย็บเรียบร้อยและจัดสรรค์คนให้จัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปยังด้านหน้าของสิ่งของนั้นและกล่าวว่า: “ของสิ่งนี้ไม่สามารถให้ฝ่าบาททอดพระเนตรได้ ตอนนี้ทั้งสองตำหนักกำลังทรงพระครรภ์ อย่าได้ขัดด้วยกันถึงจะดี”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้อยู่แก่ใจว่าสถานที่แห่งนี้เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างยิ่ง หากว่าไม่ใส่ใจพวกเขาจะตั้งข้อกล่าวหาให้นาง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆก็เป็นความผิดบาปของนาง

หมอหลวงรู้สึกว่ามีเหตุผล ฉีเฟยอวิ๋นบรรยายถึงการก่อร่างสร้างตัวของเนื้องอก หมอหลวงกลับวังเพื่อกราบทูลเรื่องนี้ จักรพรรดิอวี้ตี้ออกคำสั่งอภัยโทษเฉาเหม่ยเหรินและอนุญาตให้นางออกจากจวนอาลักษณ์แล้วกลับเรือน เฉาหมั่งฆ่าคนโดยเรื่องราวนั้นต้องมีสาเหตุ ลงทัณฑ์โดยโบยหนึ่งร้อยแล้วปล่อยตัวกลับเรือน

จวนอาลักษณ์ไม่ได้ดูแลเข้มงวดและมีการลงทัณฑ์ประหารชีวิตโดยไร้การตรวจสอบ จักรพรรดิอวี้ตี้ตำหนิสองสามคำ อาลักษณ์ราชสำนักหลี่ถูกลดตำแหน่งลงไปสองขั้นและได้พักงานแล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไปเช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในเรือน สองสามวันถึงจะติดตามหนานกงเย่เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์

ฝ่าบาทเพียงแค่ถามคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับเป็นฮองเฮาที่เรียกฉีเฟยอวิ๋นไปถามโดยลำพัง

ทั้งสองเพียงแค่เดินเล่นอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วเฉินอวิ๋นชูถามว่า: “มีเนื้อชิ้นหนึ่งอยู่ในท้องจริงหรือ?”

“ทูลฮองเฮาเป็นจริงตามนั้นเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถจับประเด็นได้ว่าเฉินอวิ๋นชูสนใจในเรื่องนี้มากนั้นเนื่องด้วยเหตุใด?

หรือว่าพระนางจะรู้เรื่องของตน?

“ข้าก็แค่สงสัย ทำไมเจ้าถึงได้เก่งกาจเยี่ยงนี้?” เฉินอวิ๋นชูกล่าวขณะเดินอยู่ ฉีอวิ๋นเฟยกล่าวว่านางมีผู้เชี่ยวชาญที่ดีเพียงแต่ว่าที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญบอกว่านางยังไม่แต่งงาน จึงไม่ควรใช้ทักษะทางการแพทย์ในทางที่ผิดนางจึงไม่กล้าฝ่าฝืน

ฉีเฟยอวิ๋นหายตกใจจึงกลับไป

ออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วฉีเฟยอวิ๋นเห็นหนานกงเย่รอนางอยู่ จากนั้นเดินไปถอนหายใจอย่างโล่งอก หนานกงเย่จูงมือนางไปคารวะฮองเฮา ทั้งสองกลับหลังจากทานอาหารที่นั่นแล้ว

พระพันปียังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของเฉาเหม่ยเหรินเลยสอบถามแล้วสอบถามอีก

ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกราวกับว่านางต่อสู้อยู่ในสงคราม ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกจากวังแล้วก็ถูกเรียกให้หยุด

“พระชายาเย่” ฉีเฟยอวิ๋นคุ้นเคยกับเสียงนั้น หันไปมองก็เห็นอวิ๋นหลัวฉวนเดินเข้ามาหาแล้ว และเดินตามหลังหนานกงเย่

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ “วันนี้พวกนางกลับเรือนพ่อแม่ไม่ใช่หรือ?”

“พระชายารองกลับเรือนพ่อแม่ต้องใช้เวลาหกวัน หากพวกเขาเข้าวังเพื่อถวายน้ำชาพระมเหสีหวาก็จะรั้งพวกเขาไว้ให้พักอยู่ด้วยสองสามวันก็เป็นได้” หนานกงเย่อธิบาย

อวิ๋นหลัวฉวนกับหนานกงเหยี่ยนเดินไปยังหน้าพวกเขา อวิ๋นหลัวฉวนยิ้ม: “พระชายาเย่เหตุใดท่านจากไปไวเช่นนี้?”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่านางคงจะไม่สามารถจากไปได้ซะแล้ว

“ใช่ พวกข้าจะกลับแล้ว”

“พอดีเลย พวกข้าก็จะกลับเช่นกันงั้นก็ไปพร้อมกันเถอะ” อวิ๋นหลัวฉวนสีหน้าพอใจส่วสฉีเฟยอวิ๋นนั้นเศร้าสร้อย เหตุใดถึงได้บังเอิญเช่นนี้

“ในเมื่อพวกเจ้าก็จะออกจากวังงั้นไปพร้อมกันเถอะ”

หนานกงเย่หันกลับแล้วจูงมือของฉีเฟยอวิ๋นออกจากวัง หนานกงเหยี่ยนเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนอยู่ด้านหลัง แต่อวิ๋นหลัวฉวนไม่รู้ว่าตนเองขัดจังหวะอยู่เลยวิ่งไปเดินพร้อมกันกับฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นฟังอวิ๋นหลัวฉวนกล่าวไม่หยุดอยู่ที่ข้างหูไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดี

เป็นเวลานานฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า: “พวกข้านั่งรถม้ามา พระชายารองอวิ๋นค่อยๆเดินพวกข้าไปก่อนนะ”

ฉีเฟยอวิ๋นหวาดกลัวในตัวอวิ๋นหลัวฉวนซะแล้ว ยังกล่าวไม่หยุดราวกับเสียงข้าวโพดคั่วแตกกล่าวแล้วกล่าวอีกไม่มีหยุด

เมื่อเห็นรถม้าฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสองสามคำก็รีบเข้าไปในรถม้า เนื่องจากกลัวว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะลากนางลงไป

อวิ๋นหลัวฉวนยืนอยู่ด้านล่างอย่างจนปัญญา “พวกเราพูดกันแล้วว่าจะไปด้วยกัน เจ้าเข้าไปในรถม้าไวเช่นนี้ทำไมกัน?”

ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หลบอยู่ในรถม้าไม่ยอมออกมา

เมื่อหนานกงเย่ขึ้นรถอาอวี่ก็ขับรถม้าออกไปเลย อวิ๋นหลัวฉวนรีบขึ้นมาจึงกระโดดขึ้นรถม้าเลยโดยยืนไม่มั่นจนเกือบจะตกลงมา หนานกงเหยี่ยนสีหน้าหมองลงขึ้นไปยังรถม้าและกอดนางไว้เลย ทั้งสองคนล้มตัวเข้าไปในรถม้าเลยโดยตรง

ฉีเฟยอวิ๋นถึงกับตกใจจากนั้นหนานกงเย่ก็ดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมแขนเลย แล้วหันหลังเข้าพิงกำแพงรถม้าจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกกระแทก

อวิ๋นหลัวฉวนถูกกอดไว้อยู่ในอ้อมแขนของหนานหงเหยี่ยนแล้วลุกขึ้นเหมือนหมีเนื้อตัวเล็กๆ ฉีเฟยอวิ๋นคลานออกจากแขนของหนานกงเย่เพื่อไปดู

อวิ๋นหลัวฉวนขี่คร่อมอยู่บนร่างของหนานหงเหยี่ยนและกำลังมองดูพวกเขา

ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปยังด้านล่างของเป้าอวิ๋นหลัวฉวน นั่นเป็นที่ตั้งของสิ่งนั้นของหนานกงเหยี่ยน

เด็กสาวผู้นี้ช่างหาญกล้าจริงๆ

หนานกงเหยี่ยนสีหน้าเย็นชายะเยือก: “ยังไม่ลงไปอีก?

อวิ๋นหลัวฉวนเพิ่งจะเห็นว่าขี่คร่อมอยู่บนตัวคนจึงรีบออกไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

หนานกงเหยี่ยนโกรธจนใบหน้าแดงก่ำขึ้น มองไปยังอวิ๋นหลัวฉวนอย่างดุร้ายแล้วลุกขึ้นนั่ง

แต่เมื่อเขาขยับขาข้างหนึ่งทรุดลงไปซึ่งขยับไม่ได้

หนานกงเหยี่ยนส่งเสียงลมหายใจออกมาและสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใช้มือทั้งสองกดขาขวาไว้แล้วส่งเสียงออกมาเสียงหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นผลักหนานกงเย่ออกไปในทันทีเพื่อดูหนานกงเหยี่ยน: “ให้ข้าดูซิ”

ฉีเฟยอวิ๋นย่อเข่าลงบีบไปยังขาของหนานกงเหยี่ยน หนานกงเหยี่ยนปวดจนล้มหงายไปด้านหลังเข้าไปในรถม้าแล้วหายใจหอบอย่างแรง

อวิ๋นหลัวฉวนตกใจยิ่งนัก: “เขาเป็นอะไรหรือ?”

หนานกงเหยี่ยนมองไปยังนางด้วยแววตาเรียบเฉย

ฉีเฟยอวิ๋นแตะไปมาและจะถอดกางเกงให้หนานกงเหยี่ยน หนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยนตะโกนออกมาเกือบจะพร้อมเพรียงกัน

“อย่าขยับ!”

“เจ้ากล้าหรือ?”

อันดับแรกคือตกใจ อันหลังคือโมโห

หนานกงเย่สีหน้าหมองหม่น นี่นางไม่มีกฎระเบียบเอาซะเลย

ฉีเฟยอวิ๋นเพิกเฉยต่อพวกเขา ข้างบนดูไม่ได้ก็ดูจากข้างล่างแล้วม้วนกางเกงขึ้นมาดู
“หัวเข่าผิดตำแหน่งซะแล้วต้องขยับกลับเข้าที่ เจ็บสักนิดอ๋องตวนทนหน่อยนะ” ฉีเฟยอวิ๋นใช้มือสัมผัสส่วนอวิ๋นหลัวฉวนเป็นกังวลเล็กน้อยเลยกุมมือของหนานกงเหยี่ยนไว้

หนานกงเหยี่ยนเหลือบมองอวิ๋นหลัวฉวนคิดไปว่าเขาเจ็บหรือนางเจ็บ? ดูนางประหม่าซะ

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าหนานกงเย่ไม่ได้กล่าวอันใดเลยกล่าวเรื่องหนึ่งขึ้นมา: “อ๋องตวน กู่ฉินหลวนเฝิ่งของท่านข้าทำขาดโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว”

“อะไรนะ?” หนานกงเหยี่ยนเป็นผู้ชำนาญด้านดนตรี เมื่อได้ยินว่ากู่ฉินหลวนเฝิ่งของเขาขาดซะแล้วก็เลยขุ่นเคือง ฉีเฟยอวิ๋นใช้แรงที่มือแล้วหนานกงเหยี่ยนก็กรีดร้องขึ่นมาเสียงหนึ่ง ซึ่งทำให้อวิ๋นหลัวฉวนตัวสั่นเลยกำมือของหนานกงเหยี่ยนไว้แน่น

ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดมือแล้วไปนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

“เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว” หนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเห็นด้วยแล้วทั้งสองก็นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

หนานกงเหยี่ยนลุกขึ้นขยับก็รู้สึกว่าไม่เจ็บแล้ว

ในรถม้าไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใด จากนั้นจิ้งจอกหางสั้นซึ่งอยู่อีกฝั่งก็เข้าไปในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋นราวกับว่ากลัวจะเกิดอุบัติเหตุอีก เมื่อครู่นางวิ่งได้เร็วไม่เช่นนั้นก็เป็นการยากที่จะรอดพ้นไปได้

อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เมื่อนางเห็นจิ้งจอกหางสั้นก็คลานไปหาเลย

“เจ้าจิ้งจอกน้อย เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่?” อวิ๋นหลัวฉวนเบิกตากว้างราวกับว่าจิ้งจอกหางสั้นเข้าสิงร่าง

ฉีเฟยอวิ๋นมองลงไปยังจิ้งจอกหางสั้นซึ่งไม่ยอมออกไป นี่มันต้องรังเกียจเท่าใดนะ

“ท่านพี่เสียนเฟยให้เจ้าจิ้งจอกน้อยเล่นกับข้าสักครู่เถอะนะ” อวิ๋นหลัวฉวนทำหน้าตาเอาใจ ฉีเฟยอวิ๋นมอบจิ้งจอกน้อยให้อวิ๋นหลัวฉวนอย่างไม่เต็มใจนัก

อุ้มจิ้งจอกหางสั้นขึ้นแล้วอวิ๋นหลัวฉวนก็โน้มตัวพิงอีกฝั่งหนึ่งจากนั้นลูบจิ้งจอกหางสั้นเบาๆ “เจ้าจิ้งจอกน้อย เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่?”

หนานกงเหยี่ยนเหลือบมองอย่างไม่พอใจแล้วนั่งอยู่ในรถม้าครู่หนึ่ง รถม้ามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องตวน หนานกงเหยี่ยนลงจากรถก่อนอวิ๋นหลัวฉวนจึงต้องคืนจิ้งจอกหางสั้นให้ฉีเฟยอวิ๋นและกลับจวนอ๋องตวนอย่างจนใจ

เมื่อผู้คนจากไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็สัมผัสจิ้งจอกหางสั้นและแปลกใจ: “ดูเหมือนว่าอ๋องตวนจะไม่ได้เกลียดพระชายารองอวิ๋นขนาดนั้นแล้ว”

“ฮื่อ!” หนานกงเย่เพิกเฉยต่อฉีเฟยอวิ๋นอย่างดูถูก ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาอย่างแปลกใจด้วยสีหน้าอันงงงวย

บรรยากาศในรถม้านั้นแปลกๆ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกถูกมีดแทงอย่างอธิบายไม่ถูก

กลับถึงจวนอ๋องเย่แล้วลงจากรถ หนานกงเย่ยืนอยู่ข้างล่างรถม้าโดยไม่กล่าวสิ่งใด ปกติจะบอกนางให้ระมัดระวังทว่าวันนี้ไม่ได้กล่าวแต่ก็ยื่นมือให้กับนาง

ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าเหตุใดเขาถึงโกรธมากเช่นนั้นเลยก้าวขาเหยียบเข้ากับความว่างเปล่า หนานกงเย่ใบหน้าซีดเผือดจากนั้นก็คว้านางเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนแล้วหมุนไปหนึ่งรอบจึงหยุดลง

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองไปยังหนานกงเย่: “เหตุใดท่านถึงได้โมโห?”

หนานกงเย่ยังอยู่ในอาการตกใจ: “ผู้หญิงของข้าจะไปถอดกางเกงของชายผู้อื่นได้เช่นไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงครู่หนึ่ง: “เพียงเพราะเหตุนี้?”

“ลงจากรถม้าก็ไม่ระวังหน่อยทำข้าตกใจแทบตาย” หนานกงเย่กล่าวจบก็ใช้แรงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นลงจากนั้นหันหลังกลับจูงฉีเฟยอวิ๋นกลับไป

“แต่ข้าต้องดูขาให้อ๋องตวนหากไม่ถอดกางเกงแล้วจะดูได้เช่นไร อย่าว่าแต่ถอดกางเกงอะไรก็ต้องถอดให้หมด” คำพูดของฉีเฟยอวิ๋นไม่ทำให้คนตกใจจะไม่รู้จักจบสิ้น ความโกรธของหนานกงเย่ที่เพิ่งจะเพลาลงก็พุ่งขึ้นมา

“หุบปากซะ!” หนารกงเย่ไม่อยากฟังนางกล่าวอีกแล้วใบหน้าอันหล่อเหลาก็เย็นชามากยิ่งขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นใบหน้าที่ถูกทำให้โมโหแทบตายของหนานกงเย่จึงได้หยุดกล่าว!

เมื่อเข้าประตูหนานกงเย่ดึงเสื้อผ้าสองสามครั้งแล้วเสื้อผ้าก็ถูกถอดออกเลยให้คนนำอ่างอาบน้ำมาให้ ฉีเฟยอวิ๋นหลบอยู่หลังม่านรอจนกระทั่งอ่างอาบน้ำเตรียมพร้อมแล้วนางจึงไปอาบ

ใบหน้าของหนานกงเย่ดำราวกับถ่านไม้ เหนื่อยใจไปรอบหนึ่งแล้วยังต้องมาโมโหอีก

ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยจนผล็อยหลับไปตั้งนานแล้วและก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดนัก