หน่วยอัศวินเต็มไปด้วยเสียงตะโกนดังเซ็งแซ่ตั้งแต่เช้าตรู่
ทุกคนกัดฟันเคลื่อนไหวร่างกายตรงตามคติพจน์ แม้เป็นการฝึกปฏิบัติของหน่วยอัศวินที่มีเป็นปกติทุกเช้า แต่ในวันนี้ทุกคนอยู่ในสภาพที่ตื่นตัวเป็นพิเศษ
สายตาของพวกเขาที่วิ่งในลานฝึกหัดเหลือบมองไปยังที่ว่างในแถวชั่วครู่ก่อนจะมองตรงไปข้างหน้าในไม่ช้า แววตาของเหล่าอัศวินอัดแน่นไปด้วยความสงสัย
ชีเดลหายไปจากหน่วยอัศวินอย่างกะทันหัน มิใช่ว่าเขาหายไปเฉยๆ เขาหายไปโดยทิ้งชุดอัศวินและดาบไว้ เหล่าอัศวินที่ตกใจกับความจริงข้อนั้นจึงวิ่งไปหาราธบัน เขามองชุดอัศวินกับดาบของชีเดลแล้วกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด
“จะไม่มีชื่อนั้นอยู่ในหน่วยอัศวินอีกต่อไป”
และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชื่อของชีเดลที่อยู่ในบันทึกทั้งหมดของหน่วยอัศวินก็หายไปจริงๆ ความจริงข้อนั้นทำให้ทุกคนรู้ แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ชีเดลได้ถูกถอดถอนคุณสมบัติการเป็นอัศวินแล้ว
แม้จะสงสัยว่าชีเดลไปทำอะไรเข้าจนถูกถอดถอนคุณสมบัติ แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เหล่าอัศวินสงสัยจริงๆ
‘ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นนะ?’
หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ใบหน้าที่ไร้อารมณ์อยู่ตลอดของราธบันก็ควรจะยิ่งเย็นชาและเคร่งเครียดมากขึ้น แต่ทว่าในวันนี้ราธบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่สิ กลับดูคล้ายจะมีรอยยิ้มเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ
‘เป็นไปได้หรือ’
หรือบางทีถ้าราธบันโกรธถึงขีดสุดแล้วจะดูนุ่มนวลขึ้น แต่ไม่นาน เหล่าอัศวินที่กำลังกลัดกลุ้มใจก็สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์แปลกประหลาด
ราธบันกำลังพิจารณาดาบไม้ที่ใช้สำหรับฝึกหัดซึ่งกองอยู่ในซอกหลืบของลานฝึก ดาบไม้ที่ไม่มีใครในหน่วยอัศวินใช้แล้ว ดาบไม้ที่เรียบง่ายที่สุดซึ่งถูกหยิบขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราวตอนใช้เดิมพันอาหารกลางวัน
ทว่าตอนนี้ราธบันกลับกำลังพินิจพิจารณาและตั้งใจเลือกดาบนั้นอย่างพิถีพิถัน เขาถือดาบไม้ที่ดูสภาพดีที่สุดแล้วเดินเข้าไปในอาคารของหน่วยอัศวิน ทุกคนต่างก็เกิดคำถามเมื่อเห็นภาพนั้น ราธบันไม่จับดาบไม้ที่ใช้สำหรับฝึกหัด ถ้าเช่นนั้นแล้ว
‘ดาบไม้นั่นเอาไปให้ใครกัน?’
นั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนสงสัย
***
ราธบันลูบคลำหัวมุมหนังสือที่ตนดูแล้วดูอีกไม่รู้กี่ครั้ง หากตอนนี้มีใครสักคนอยู่ข้างเขา คงต้องตาโตเมื่อได้เห็นหนังสือที่เขาอยู่ในมือเป็นแน่ เพราะมันคือหนังสือที่เขาไม่เคยต้องอ่านเลย
ตำราศิลปะดาบขั้นต้น
นั่นเป็นหนังสือที่อาจไม่มีค่าพอให้ราธบันอ่าน อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปซึ่งเผชิญหน้ากับปีศาจยักษ์ด้วยตัวคนเดียว ตอนนี้จะมีเหตุผลอะไรให้ต้องมาดูตำราศิลปะดาบกัน ตัวเขาเสียอีกคือตำราศิลปะดาบ เด็กใหม่ของหน่วยอัศวินแห่งวิหารล้วนแต่เรียนรู้ท่าทางจากราธบันทั้งสิ้น
เขาคือผู้ที่ไม่มีเหตุผลต้องอ่านตำรา
สายตาของราธบันที่กำลังลูบคลำหนังสือหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ตะวันค่อยๆ ทอแสงสีแดงและเตรียมตัวลับหายไปอีกฟากของแนวเขาที่อยู่ห่างไกลจากวิหารหลวง คงใช้เวลาอีกหลายสิบนาทีกว่ามันจะลับฟ้าไปอย่างสมบูรณ์
‘วันวันหนึ่งมันยาวนานขนาดนี้เชียวหรือ?’
ตอนนี้นิ้วมือของเขาเคาะบนโต๊ะหนังสืออย่างกระวนกระวายใจ สายตาที่สอดส่ายไปหยุดลงตรงนั้นตรงนี้ในห้องทำงานก่อนจะเบนไปใต้โต๊ะหนังสือ ตรงนั้นมีดาบไม้ที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าวางอยู่
แม้ตรวจสอบไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วแต่ราธบันก็หยิบดาบไม้ขึ้นมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง จากนั้นก็คลายผ้าแล้วตรวจสอบดูดาบไม้ด้านใน
เขาเลือกอันที่เบาที่สุด ขณะเดียวกันก็มีน้ำหนักสมดุล มีร่องรอยการใช้งานน้อย เป็นต้น มันเป็นดาบไม้ที่เขาเลือกอย่างพิถีพิถันที่สุด
เขาถือดาบไม้และลองกวัดแกว่งเบาๆ ฟึบ! เสียงผ่าลมอย่างดุดันดังขึ้น หากเป็นเหล่าอัศวินคนอื่นต้องกวัดแกว่งอยากเต็มแรงจึงจะมีเสียงคล้ายกันออกมาบ้าง
หลังจากกวัดแกว่งและปรับท่าทางอยู่หลายครั้ง เขาก็ลดดาบไม้ลง
‘นี่มันมากเกินหรือเปล่า?’
หลังจากคิดเช่นนั้น ราธบันก็ตระหนักได้ว่าตนกำลังตื่นเต้นเกินไป เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้า นับตั้งแต่เข้ามาในหน่วยอัศวินแห่งวิหาร มีกี่ครั้งกันนะที่เขาเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่างจนถึงขนาดนี้
รอคอยอยู่สักพัก ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็สัมผัสปลายยอดเขา ท้องฟ้าผสมผสานไปด้วยสีแสดและสีม่วง ราธบันลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เขาออกมาด้านนอกหน่วยอัศวิน มีเหล่านักบวชจำนวนมากที่ทักทายเขา ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังที่พักของนักบุญหญิง แต่เขากลับทำเพียงค้อมหัวเล็กน้อยอย่างรีบเร่งและขยับฝีเท้าราวกับคนมีเรื่องเร่งด่วนต่างจากปกติ
ราธบันมุ่งหน้าไปยังที่พักของนักบุญหญิงพลางคิดถึงเรื่องในวันนั้น
‘นางขอให้เขาสอนใช้ดาบ’
นักบุญหญิงได้ไหว้วานเขาในวันที่มีเรื่องกับชีเดล ในตอนแรกเขาตั้งใจจะถามว่านั่นหมายความว่าอย่างไรและปฏิเสธไป แต่ที่คอของนักบุญหญิงยังมีร่องรอยที่ถูกชีเดลบีบหลงเหลืออยู่ ทั้งที่ประสบกับอันตรายเช่นนั้นแต่นักบุญหญิงกลับเผชิญหน้ากับมันอย่างสงบนิ่ง และยังขอให้เขาสอนดาบให้
นักบุญหญิงกล่าวขึ้นมาทันทีที่เขาพูดอย่างจริงจังว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ไม่ใช่ว่าข้าฝันเฟื่องจะเรียนดาบเพื่อเป็นอัศวิน ข้าเพียงแค่อยากเรียนศิลปะป้องกันตัวเบื้องต้นเท่านั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ตอนนั้นเขาจึงตกปากรับคำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าระหว่างทางหลังจากกลับจากพานักบุญหญิงกลับที่พัก ราธบันก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
‘แค่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะได้แล้วนี่’
นักบุญหญิงคือตัวตนของพลังศักดิ์สิทธิ์ หากใช้พลังศักดิ์สิทธิ์สร้างเกราะป้องกัน นักบุญหญิงก็แทบจะปลอดภัยจากอันตรายส่วนใหญ่แล้ว
‘ว่าแต่ทำไมถึงโดนชีเดลทำร้ายได้กัน?’
เพราะนี่คือภายในวิหารหลวง ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงว่าจะมีใครจู่โจมนาง อีกทั้งต่อให้เคยมี แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวเท่านั้น หากนางสร้างเกราะป้องกันออกมาแต่แรก ตอนที่เขามาก็คงไม่โดนทำร้ายจนหมดเรี่ยวแรงถึงเพียงนั้น นักบุญหญิงไม่ได้กางเกราะป้องกันออกมาเลยจนถึงตอนนั้น ทั้งยังจะตระเตรียมศิลปะป้องกันตัวเผื่อสถานการณ์เช่นนั้นอีกอย่างนั้นหรือ
‘ใครเห็นคงนึกว่านางใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้’
นักบุญหญิงพูดราวกับพึมพำว่า ‘สถานการณ์ที่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้’ อย่างกับว่าจู่ๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้น ดังนั้นเรื่องที่ขอให้เขาช่วยสอนใช้ดาบจะต้องเป็นข้ออ้างที่นักบุญหญิงจงใจยกขึ้นมาเพื่อไหว้วานเขาไม่ผิดแน่
‘เพื่ออะไรกัน’
ราธบันสงสัย
สิ่งที่เขาสงสัยไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องนั้น ชีเดลทำอันตรายต่อนักบุญหญิง ภายในวิหารหลวง นั่นเป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่ต่อให้มีเหตุผลอย่างไรก็ไม่มีวันได้รับการยกโทษ ดังนั้นเขาจึงถอดชุดอัศวินและลากอีกฝ่ายไปยังคุกใต้ดินทันที ชีเดลที่ถูกกักขังอยู่ในชั้นที่ต่ำลงไปกว่าพวกปีศาจแค่ต้องพยายามเพื่อให้มีชีวิตอยู่ถึงวันที่กำหนดเท่านั้น
ทั้งที่หากป่าวประกาศเรื่องนี้ไป ทั้งหน่วยอัศวินจะประสบปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงคำตำหนิร้ายแรงได้ แต่นักบุญหญิงกลับปกปิดมันไว้ หากเป็นเมื่อก่อนนางจะต้องคว้าโอกาสที่รอมานานและเรียกรวมตัวทุกคนในวิหารหลวงมาทำลายหน่วยอัศวินให้ราบเป็นหน้ากองเป็นแน่
‘ทำไมถึงทำแบบนั้นกันแน่’
เรื่องที่พฤติกรรมของนักบุญหญิงเปลี่ยนไปหลังจากวันที่หมดสติไปครั้งแรกเป็นเรื่องที่ใครต่างก็รู้ ผู้คนอาจจะชอบที่ในตอนนี้นักบุญหญิงกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่ราธบันคิดอีกแบบ ในวันที่เขาถูกเหยียดหยาม ดวงตาของนักบุญหญิงที่มองมาที่เขาเปี่ยมไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังที่ล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด
ทว่าสิ่งนั้นกลับหายไปในเช้าวันต่อมา ดวงตาของนักบุญหญิงที่ฟื้นขึ้นมาหลังจากสลบไปไม่หลงเหลือร่องรอยอารมณ์ที่ลุ่มลึกเหล่านั้นเลย บางทีอาจเป็นเพราะแบบนั้น ราธบันถึงได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับนักบุญหญิงที่ฟื้นมาคนนี้
บัดนี้ ต่อให้เห็นนักบุญหญิง เขาก็ไม่รู้สึกรังเกียจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ระหว่างที่คิดเช่นนั้น เขาก็มาถึงที่พักของนักบุญหญิงโดยไม่รู้ตัว หลังจากรับการทักทายจากผู้คนที่จดจำเขาได้ และกำลังจะเดินขึ้นไปด้านบน เขาก็พบคนที่ไม่น่ายินดีเข้า
“ดูสิ ผู้บัญชาการราธบัน แปลกจัง พวกเราเจอกันที่นี่บ่อยนะว่าไหม?”
องค์ชายรัชทายาทเลออนส่งยิ้มมาทางเขา สีหน้าของราธบันพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างรวดเร็ว
มิใช่ว่าเขาลืมชายผู้นี้ไปแล้ว เพราะนี่คือชายผู้ทำราวกับนักบุญหญิงของวิหารหลวงเป็นคู่รักของตนเองอย่างไม่เกรงกลัว
“ท่านมีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
ราธบันถามเลออนโดยไม่แม้แต่จะก้มหัวให้สักนิด ไม่ว่าใครได้ยินก็ฟังดูจะเป็นน้ำเสียงที่ราวกับถามแขกไม่ได้รับเชิญว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่
ราธบันยังคงหงุดหงิดเพราะเลออน เขารู้อยู่แล้วว่าเลออนเพ่งเล็งวิหารหลวงมาตั้งแต่เมื่อก่อน แต่ใครจะไปคิดว่าจะมาเพ่งเล็งนักบุญหญิงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เขารู้ดีว่าช่วงนี้เลออนยังแอบพบกับเหล่านักบวชอีกหลายคน ในวิหารที่ตำแหน่งของผู้อาวุโสยังว่างอยู่ ย่อมเดาได้ไม่ยากว่าเลออนได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรแก่พวกเขา
แต่ทว่าราธบันรู้ดีว่าเหตุผลที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีที่สุดไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น
ความจริงที่ทำให้ราธบันหงุดหงิดใจที่สุดคือ องค์ชายรัชทายาทเคลื่อนไหวอย่างจริงจังมากขึ้นหลังจากร่วมรักกับนักบุญหญิง
‘ทำราวกับว่าตนเองเป็นคนพิเศษเสียอย่างนั้น’
หากทำได้เขาก็อยากจะบอกกับองค์ชายรัชทายาทว่าเจ้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ชายที่นักบุญหญิงกอดไปทั่วเท่านั้น เพราะฉะนั้นเลิกพยายามโดยเปล่าประโยชน์แล้วไสหัวกลับจักรวรรดิไปได้แล้ว
ราธบันกัดริมฝีปากหลังจากคิดได้เช่นนั้น เพราะเขารู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาโดยสัญชาตญาณขณะที่นึกถึงชายหนุ่มคนก่อนๆ ที่นักบุญหญิงเคยโอบกอด ราธบันรู้สึกงงงันกับความรู้สึกของตน เขาไม่เคยมีความรู้สึกใดเลยจนถึงตอนนี้ ถ้าจะเป็นความรู้สึกที่เขามีอย่างจริงจังก็คงเป็นแค่ความรู้สึกที่หวังให้ภายในวิหารหลวงจะสงบสุขมากกว่านี้สักหน่อย
ทว่าตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกไม่พอใจต่อชายหนุ่มที่ถูกขังอยู่กับคาลูซที่คุกใต้ดิน และความรู้สึกนั้นยังพุ่งตรงไปที่องค์ชายรัชทายาทด้วย
‘เป็นเพราะพวกเขามีความสัมพันธ์กับนักบุญหญิง?’
จุดร่วมขององค์ชายรัชทายาทกับผู้ชายพวกนั้นก็คือสิ่งนี้ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องรู้สึกไม่พอใจกับความจริงนั้น
ขณะที่ราธบันกำลังจ้องอีกฝ่ายเขม็งด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย องค์ชายรัชทายาทก็เดินไปข้างหน้าพลางปัดมือมาทางราธบันราวกับตนเองเป็นเจ้าของตึกแห่งนี้
“จะยื่นอยู่อย่างนั้นจนถึงเมื่อไร ขึ้นไปได้แล้วสิ”
คิ้วของราธบันกระตุกเมื่อได้ยินคำพูดที่ยังคงไร้มารยาท ราธบันเดินผ่านองค์ชายรัชทายาทไปด้านหน้า
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงห้องของนักบุญหญิง เหล่านักบวชที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้ามองพวกเขาสองคนด้วยดวงตาประหลาดใจก่อนจะค้อมตัว ราธบันพูดก่อน
“ช่วยแจ้งท่านนักบุญหญิงให้ด้วยว่าข้ามาตามที่นัดไว้”
เขาเน้นย้ำคำว่านัดไปโดยไม่รู้ตัว สีหน้าขององค์ชายรัชทายาทเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้นตามที่เขาคาดเอาไว้ ราธบันเห็นดังนั้นก็สัมผัสได้ว่ามุมปากของตนกำลังแอบยกขึ้นจึงรีบควบคุมสีหน้า
‘ทำไมถึงเป็นแบบนี้’
อย่างไรก็ดูจะเป็นเพราะช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นบ่อยเกินไป สติของเขาจึงไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ราธบันหายใจเข้าลึกๆ หน่วยอัศวินแห่งวิหารต้องไม่เปิดเผยอารมณ์ส่วนตัว ไม่สิ ไม่รู้สึกอะไรเลยตั้งแต่แรกจะยิ่งดี
มองดูนักบวชเข้าไปด้านในแล้ว ราธบันกับเลออนก็จัดแจงท่าทาง ไม่นานนักบวชก็เดินออกมาแล้วเปิดปากพูดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ
“ขอโทษนะคะ…”
ราธบันกับเลออนพูดขึ้นมาพร้อมกันเมื่อเห็นนักบวชเปิดปากพูดอย่างลังเล
“ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ?”
“ท่านไม่สบายตรงไหนหรือ?”
คนสองคนที่เปล่งคำพูดออกมาเหมือนกันจ้องกันอยู่สักพัก
“…”
“…”
นักบวชกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงันซับซ้อนที่ดำเนินไป
“ทะ ท่านบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพียงแค่ขอให้รออีกหน่อยเท่านั้น”
คนที่เปิดปากพูดอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดของนักบวชคือเลออน
“ท่านบอกว่าไม่…นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ได้เข้าไปยืนยันความปลอดภัยของท่านนักบุญหญิงโดยตรง”
นักบวชค้อมตัวลงเมื่อได้ยินคำพูดของเลออน
“ใช่ค่ะ อันที่จริงวันนี้ทั้งวันท่านยังไม่ได้ออกมาเลย…แต่ว่าท่านรับประทานอาหารหมดนะคะ!”
อาจเป็นเพราะกังวลว่าตนจะถูกตำหนิ นักบวชจึงได้พูดเสริมอย่างรีบเร่ง ราธบันขยับฝีเท้าเมื่อได้ยินดังนั้น จากนั้นก็เปิดประตูด้านหลังของนักบวชออก
“ท่านราธบัน!”
การกระทำนั้นของเขาทำให้นักบวชตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ไม่ใช่ว่าพอเปิดกระตูนี้เข้าไปแล้วห้องของนักบุญหญิงจะปรากฏออกมาทันที หลังจากเข้าไปด้านในแล้ว ต้องผ่านประตูอีกสองบานจึงจะพบกับห้องของนักบุญหญิง ราธบันเปิดประตูบานหนึ่งอีกครั้ง ด้านในนั้นมีประตูอีกบาน ด้านหลังประตูบานนั้นคือห้องของนักบุญหญิง
ราธบันยืนอยู่หน้าห้อง ผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหารได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ถึงแค่ตรงนี้ เขาที่กำลังจะเคาะประตูหรี่ตาลงก่อนจะเหลียวมองไปด้านหลัง ทันใดนั้น เลออนก็พูดกับราธบันด้วยสีหน้าราวกับถามว่าทำไมถึงทำแบบนั้น
“ทำอะไรอยู่? ทำไมยังไม่รีบเข้าไปตรวจสอบความปลอดภัยของท่านนักบุญหญิงอีก”
ปัญหาคือองค์ชายรัชทายาทเลออนที่ตามมาด้านหลัง หากราธบันเป็นคนเคาะ นั่นคือการใช้มาตรการอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่หากเลออนเป็นคนเคาะ นั่นจะถือเป็นการบุกรุก อาจเป็นเพราะเขาได้เรียนรู้กฎระเบียบของวิหารในช่วงที่ผ่านมา องค์ชายรัชทายาทจึงได้เร่งราธบันโดยไม่ข้ามมาจากประตูด้านหลัง
ราธบันที่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างเดาะลิ้นสั้นๆ ก่อนจะมองไปยังประตู ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้เกิดความรู้สึกไม่ค่อยดี
‘ด้านในมีอะไรบางอย่าง’
เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างในห้องของนักบุญหญิง แม้จะคิดว่าเป็นไปไม่ได้แต่ราธบันก็นึกถึงตอนที่ตนต่อสู้กับปีศาจอย่างสุดชีวิต
เลออนก็คงสัมผัสได้เหมือนกัน อีกฝ่ายถึงได้จ้องเขม็งไปยังประตูห้อง ราธบันเคาะประตูอย่างเร่งรีบ
“ท่านนักบุญหญิง ราธบันเองขอรับ!”
เขาตั้งใจจะเรียกแบบเงียบๆ แต่ปากกลับร้องตะโกนเสียงดัง ทั้งราธบันและเลออนต่างก็รอคอยคำตอบของนักบุญหญิง
ในตอนนั้นเอง
“ฮึก!”
เสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นมาจากอีกฟากของประตู
เสียงร้องที่ใกล้เคียงกับเสียงครางกระเส่ามิใช่ความเจ็บปวด นั่นคือเสียงของนักบุญหญิง
ราธบันกับเลออนหันมามองหน้ากันราวกับจะบอกให้อีกฝ่ายไปยืนยันว่าสิ่งที่ตนได้ยินตอนนี้คือเรื่องจริงใช่หรือไม่ หลังจากสบตา ทั้งสองก็ถีบประตูเข้าไปพร้อมกัน
โครม!
ประตูถูกพังออกพร้อมกับเสียงไม้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ภาพภายในห้องปรากฏเข้าสู่สายตาทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ทั้งสองคนตามหานักบุญหญิงก่อนเป็นอันดับแรก อันที่จริงก็ไม่ได้หาอะไร เพราะนางมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขาทันที
“เฮ้อ…”
หลังจากยืนยันสภาพของนักบุญหญิง ทั้งสองคนก็ถอนหายใจสั้นๆ ด้วยความโล่งใจ ก่อนอื่นคือนางปลอดภัยดี นางกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดกว้าง ทั้งสองคนถอนหายใจด้วยความโล่งใจอีกครั้งให้กับความจริงที่ว่านักบุญหญิงอยู่คนเดียว
‘ถ้าเช่นนั้นแล้วเสียงเมื่อครู่ก่อนคือเสียงอะไร’
ขณะที่ราธบันคิดเช่นนั้นและกำลังจะก้าวไปทางนักบุญหญิง เขาก็หยุดฝีเท้าลงหลังจากสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
เลออนเองก็เช่นกัน เขามองเห็นควันเรียวเล็กของธูปที่พวยพุ่งออกมาจากมุมห้อง ดังนั้นภายในห้องของนักบุญหญิงจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่น ทว่าเลออนกลับได้กลิ่นอื่น
กลิ่นฉุนคาวที่กลบกลิ่นหอมเข้ามาแตะปลายจมูกของเขา เลออนกัดฟัน เขารู้ดีว่านี่คือกลิ่นอะไร
‘นี่มัน…’
สีหน้าของเลออนเหยเกขึ้นมาทันทีอย่างไร้ความปรานี นี่คือกลิ่นของการร่วมเพศที่ชัดเจน และไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เป็นกลิ่นที่หนาแน่นซึ่งจะมีขึ้นเมื่อหลั่งออกมาอย่างบ้าคลั่งหลังจากเสพสุขกับฝ่ายตรงข้ามครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดทั้งคืน
เลออนมองดูนักบุญหญิงอีกครั้ง
ตอนนี้เอง สภาพของนางเข้าสู่สายตาเขาชัดเจนมากขึ้น เส้นผมเปียกน้ำที่ดูเหมือนเพิ่งผ่านการสระมาไม่นาน แววตาสั่นไหวที่มองมายังราธบันกับเขา และรอยช้ำสีกุหลาบที่มองเห็นได้ระหว่างเส้นผมที่บดบังต้นคอ
เลออนกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่เล็บมือจิกเข้าไปในเนื้อทำให้เขาได้สติกลับมา
‘ให้ตาย’
เขาหันกลับไปมองด้านข้าง บางทีราธบันเองก็คงรู้เช่นกัน เขาจึงได้กำลังเบนสายตาไป
‘เป็นคนแบบไหนกัน?’
เลออนคิดเช่นนั้นพลางพิจารณาภายในห้อง เขารู้สึกเหมือนกำลังมีไฟพวยพุ่งอยู่ในตา
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถมีความสัมพันธ์ที่ปราศจากปัญหาได้จนถึงตอนนี้ เป็นเพราะหากเขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคบหากับคนอื่นนอกเหนือจากเขา เขาก็จะถอยห่างอย่างรอบคอบทันที ทว่าในคราวนี้เขาจะไม่ถอยออกไปก่อนแน่