บทที่ 61 ทวนเพลิงผลาญ

ท่องภพสยบหล้า

ศาลบรรพชนตระกูลฟางย่อมมีค่ายกลป้องกัน แต่ทิ้งไว้เฉยๆ ทำใจใช้งานไม่ได้ เพราะอย่างไรสิ่งที่ต้องเสียไปก็คือหินรากพลังเต๋า ของล้ำค่าระดับนี้ตระกูลฟางมีเก็บอยู่ในคลังไม่เท่าไร ถ้าใช้หนึ่งก้อนก็น้อยลงหนึ่งก้อน

ทว่าตอนนี้ เผชิญหน้ากับมารกลืนจิตใจที่ชื่อเสียงเหี้ยมโหดลือเลื่อง ชายชราผมขาวแม้ตายแล้วก็ไม่กล้าหลับตา

เขาจินตนาการไม่ได้เลยว่าในพริบตาที่ตนถูกสังหาร คนตระกูลฟางที่เหลือจะยืนหยัดไปได้นานเท่าไร ผู้พิทักษ์เหล่านั้นที่ตระกูลฟางเลี้ยงดูไว้ จะสู้ตัวตายเพื่อตระกูลฟางจริงหรือไม่

ในศาลบรรพชนแห่งนี้บูชาเหล่าบรรพชนของตระกูลฟาง เป็นตัวแทนรากฐานของตระกูลฟาง

ดังนั้นต่อให้เขาตายแล้ว ก็ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนจะดับดิ้นโดยสมบูรณ์

เขาฝากความหวังไว้กับค่ายกลวิญญาณกระเรียนที่ปกป้องคุ้มครองศาลบรรพชนตระกูลฟางมายาวนาน หวังว่ามันจะสามารถขวางสยงเวิ่นเอาไว้ได้

ทางที่ดีที่สุดคือยื้อไว้ได้จนหินรากพลังเต๋าถูกใช้จนหมด

ถึงตอนนั้นข่าวจะต้องส่งไปถึงจวนเจ้าเมืองแล้วแน่นอน

เขาเชื่อว่าแม้เว่ยชวี่จี๋จะเข้มงวดมาก แต่เมื่อมีเรื่องหลักการถูกผิดแบบนี้จะไม่มีทางออมมือเด็ดขาด

ตระกูลฟางจะได้รับการปกป้อง!

ชายชราผมขาวถูกควักหัวใจสิ้นชีพไปแล้ว แต่ดวงตายังคงเบิกกว้างมองท้องฟ้าราตรี ตายตาไม่หลับ

สยงเวิ่นโมโหเดือดดาล แต่จิตใจกลับหวั่นไหวเสียแล้ว

มีชื่อเสียงร้ายกาจติดตัว ไม่รู้ว่าผ่านการล่าสังหารมาเท่าไร การสุ่มเปลี่ยนสถานที่ซ่อนตัวเป็นความเคยชินของเขา เพราะหากตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าต่อไปจะไปซ่อนที่ไหน คนที่ล่าสังหารเขาก็ยิ่งไม่มีเบาะแสร่องรอย

เพียงแต่เขาไม่คิดเลยว่า การสุ่มเปลี่ยนสถานที่ซ่อนตัวที่แสนธรรมดาจะเกิดเหตุไม่คาดฝันติดๆ กันแบบนี้

เขาจำหน้าของเจ้าหนุ่มที่ถือกระบี่คนนั้นไว้แล้ว สุดท้ายตอนนี้ก็ตัดสินใจหนีไปก่อน

ยามนี้อยู่ในเมืองเฟิงหลิน เขาทำได้เพียงสะกดจิตสังหารเอาไว้

ทว่าค่ายกลวิญญาณกระเรียนไม่สนใจความคิดของเขา ในพื้นที่ที่ค่ายกลปกคลุมอยู่ มีเพียงสยงเวิ่นเท่านั้นที่โหดเหี้ยมดุดัน กระเรียนที่ส่องสว่างอยู่เหนือหัวสยายปีกกระพือ ส่งเสียงร้องแหลมพลางพุ่งมายังสยงเวิ่นทันที

ร่างของสยงเวิ่นพลันถูกปกคลุมด้วยหมอกเลือดชั้นหนึ่ง

เขากระโดดขึ้นกลางอากาศ เปลวไฟโลหิตลุกไหม้บนกำปั้น

บริเวณที่หมอกเลือดสัมผัส พื้นดินจะแห้งดำ ใบไม้เน่าเปื่อย ยามที่เพลิงโลหิตลุกไหม้ ก็เหมือนอากาศถูกทำลาย

เขาใช้หมัดที่หุ้มด้วยเพลิงโลหิตเข้าโรมรันกับวิญญาณกระเรียนที่ส่งเสียงร้องแหลมไปตรงๆ และรุนแรง!

เงาฉายวิญญาณกระเรียนสลายไปในพริบตา แสงสว่างที่ปกคลุมทั่วทั้งศาลบรรพชนตระกูลฟางก็หายไปด้วยเช่นนี้

ความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้ในศาลบรรพชนทำให้คนไม่น้อยตื่นตกใจ

คนที่เดินทางมาถึงก่อนคือผู้พิทักษ์สองคนของตระกูลฟาง เป็นผู้บำเพ็ญระดับเก้าเคลื่อนชีพจร ต่อจากนั้นก็เป็นองครักษ์ของตระกูลฟางที่อยู่แถวนั้น

แต่พวกเขาล้วนยืนนิ่งอยู่ห่างๆ สั่นสะท้านเพราะร่างที่โจมตีจนวิญญาณกระเรียนแหลกสลายกลางอากาศจนไม่กล้าเคลื่อนไหว

ผู้แข็งแกร่งที่ทั่วร่างปกคลุมด้วยหมอกเลือด หมัดอาบด้วยเพลิงโลหิต เพียงก้มมองพวกเขาแวบหนึ่ง การข่มเหงกดดันจากสายตานั้นกลับเหี้ยมโหดรุนแรงนัก

ตามนิสัยเดิมของสยงเวิ่น เขาจะต้องฆ่าทุกคนที่เห็นตรงหน้าให้หมด แต่เขาแยกเรื่องด่วนเรื่องสำคัญออก ด้วยเหตุนี้จึงสลายเปลวเพลิงโลหิตและหมอกเลือด จากนั้นพุ่งเข้าไปในเงามืดเหมือนดั่งหินร่วงลงสู่พื้น หายไปจากครรลองสายตาของคนทั้งหลายเช่นนี้

บริเวณรอบๆ ศาลบรรพชนตระกูลฟางเงียบกริบ ถึงขั้นไม่กล้ากระทั่งจะตะโกนข่มขู่วางมาดตบตา

พ่อลูกฟางเจ๋อโฮ่วย่อมตามมายังสถานที่เกิดเหตุเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็นิ่งเงียบราวรูปสลักไปด้วย

ตระกูลฟางเป็นสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเฟิงหลิน มีเกียรติศักดิ์ศรีและความน่าเกรงขามของตัวเอง แต่กลับอ่อนด้อยสิ้นดีสำหรับผู้แข็งแกร่งอย่างสยงเวิ่น

สยงเวิ่นบุกเข้ามาในศาลบรรพชนของตระกูลพวกเขา สังหารคนดูแลศาลของพวกเขา และทำลายค่ายกลป้องกันศาลบรรพชน พวกเขาก็ทำได้เพียงมองตาปริบๆ

คืนนี้อัปยศอดสูถึงเพียงนั้น สีดำผืนใหญ่อาบย้อมทั่วผืนฟ้า ทุกคนนิ่งดุจภาพประกอบฉากหลัง

แสงไฟจุดหนึ่งปรากฏขึ้น

แสงไฟจุดนั้นเล็กมาก เหมือนกับยามที่ล้อมวงปิ้งย่างอาหาร จู่ๆ ฟืนก็ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ก่อนจะมีสะเก็ดไฟปะทุออกมา

แต่มันทำให้คืนนี้มีแสงสว่างได้

จากนั้นถึงได้ยินเสียงหวีดหวิดสะเทือนหู

ตอนนี้ทุกคนถึงเพิ่งจะเห็นชัดว่าสะเก็ดไฟนั้นไม่ใช่สะเก็ดไฟ แต่เป็นปลายทวนยาวเล่มหนึ่ง

ทวนยาวทั้งเล่มพุ่งออกมาจากท้องฟ้าราตรี ปลายทวนอยู่ในมือเรียวยาวมีพลังของชายที่มีผมดำดุจหมึกปลิวพลิ้ว หน้าตาคมเข้มดุดันจนทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ

กล่าวไม่ถูกว่าทวนยาวพาเขามา หรือเป็นเขาที่ควบคุมทวนยาว ตัวคนพร้อมทั้งทวนพุ่งลงสู่พื้นด้วยท่วงท่าฉีกทึ้งฟ้าราตรี!

เงามืดถูกทำลาย

มารกลืนจิตใจสยงเวิ่นกระโดดออกมาจากเงาที่แหลกละเอียด หมอกเลือดบนร่างปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว กัดฟันกรอดเอ่ยว่า “จู้เหวยหว่อ!”

เขาก็คือจู้เหวยหว่อ!

ทวนเล่มนี้คือทวนเพลิงผลาญที่ชื่อเสียงกึกก้องไปทั่วเขตปกครองชิงเหอ

สยงเวิ่นส่งเสียงร้องประหลาดออกมา น้ำตาเลือดพลันหลั่งรินจากดวงตาทั้งสองข้าง

จากเมืองซานซานมาถึงเมืองเฟิงหลิน ระหว่างทางเขากับจู้เหวยหว่อประมือกันไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง จากดูถูกเหยียดหยันในตอนแรก ภายหลังระแวดระวังให้ความสำคัญ จนถึงตอนนี้กระทั่งว่าเกิดความหวาดกลัวที่ตัวเขาก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดอยู่รางๆ

พลังของเจ้านี่ยกระดับเร็วเกินไป แทบจะสู้หนึ่งศึกยกระดับหนึ่งขั้น ไม่อย่างนั้นเขาที่เป็นถึงสยงเวิ่นมารกลืนจิตใจจะถึงกับหลบหนีซ่อนตัวไปทุกที่หรือ

เวลานี้จู้เหวยหว่อบีบเขาออกมาด้วยทวนเดียว เขาก็เลือกที่จะเดิมพันชีวิตทันทีเช่นกัน

น้ำตาเลือดไหลริน เปลวไฟที่แต่เดิมหุ้มแค่หมัดเท่านั้นก็พลันลุกโหมขึ้นมาปกคลุมไปทั่วร่าง

แต่จู้เหวยหว่อทำเพียงหัวเราะตอบกลับไปอย่างหยิ่งทะนง “จับเจ้าได้แล้ว!”

เขาเอนตัวเล็กน้อย เมื่อมือขวาสะบัดเบาๆ ปลายทวนที่ปักอยู่บนพื้นก็ดีดขึ้นมา

พื้นดินพร้อมกับอิฐหินดินทรายที่แตกละเอียดพวยพุ่งขึ้นเป็นเส้นตรงดุจมังกรดินพลิกตัว โดยมีปลายทวนของเขาเป็นจุดเริ่มต้น

สยงเวิ่นเดินเหยียบอากาศท่ามกลางหมอกเลือดที่ปกคลุมเช่นนั้น ไม่สนใจมังกรดินที่ม้วนตัวพุ่งเข้ามาชน เศษหินดินทรายผุกร่อนแหลกสลายไปทั้งหมดทันทีเมื่อสัมผัสกับเพลิงโลหิต

เพลิงโลหิตกลืนวิญญาณของสำนักแม่น้ำเลือดแปลกประหลาดทรงพลังถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมันอยู่ที่กลืนกินวิญญาณ และสยงเวิ่นในตอนนี้ก็เสริมด้วยวิชาลับเดิมพันชีวิตอย่างวิชากาเหว่ากำสรวล เพิ่มพลานุภาพอีกถึงเจ็ดส่วน!

เผชิญหน้ากับสยงเวิ่นที่ปะทุพลังอย่างเต็มกำลังเช่นนี้ จู้เหวยหว่อก็ไม่หลบไม่หลีก

เขาเพียงสะบัดมือ ปลายทวนชี้ไปยังสยงเวิ่น แล้วจึงเข้าประจันหน้า

“กาเหว่ากำสรวลอันงดงาม เจ้าเอามาเรียกเสียจนไม่น่าฟังแล้ว!”

เขาพุ่งตรงเข้าไป!

เปลวเพลิงลุกไหม้ในชั่วพริบตาโดยมีปลายทวนเป็นจุดศูนย์กลาง ใต้ท้องฟ้าราตรีเกิดทะเลเพลิงลุกท่วม

จู้เหวยหว่อบุกไปพร้อมกับทะเลเพลิง

เพลิงโลหิตและทะเลเพลิงปะทะกัน ปลายทวนกับหมัดโจมตีเข้าใส่กัน

จู้เหวยหว่อและสยงเวิ่นสู้กันเต็มกำลัง!

สยงเวิ่นหันไปทางตะวันตก จู้เหวยหว่อหันไปทางตะวันออก

สยงเวิ่นพุ่งลงมาจากข้างบน จู้เหวยหว่อทะยานขึ้นจากข้างล่าง

เข้าปะทะประจัญบาน ตัดสินกันในคราวเดียว!

ชัยชนะอยู่ที่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

ทะเลเพลิง ‘ดับ’ เพลิงโลหิต ทะเลเพลิงทั้งผืนก็ถูกกัดกินไปกว่าครึ่งเมื่อสัมผัสกับมันเช่นกัน

แต่อย่างไรก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว

การปะทะกันครั้งนี้ นับตั้งแต่สยงเวิ่นเลือกที่จะหนีในตอนแรก ก็กำหนดจุดจบเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ทะเลเพลิงม้วนซัดไปข้างหน้า สยงเวิ่นถอยหนีสุดชีวิต

เมื่อเปลวเพลิงแผดเผา ชุดคลุมดำบนร่างของเขาถูกเผาไหม้ไปมากกว่าครึ่ง เผยให้เห็นหัวล้านแสบตา

หูตาจมูกปาก ทวารทั้งเจ็ดของเขาล้วนมีเลือดไหล ทำให้ใบหน้าที่เหี้ยมโหดอยู่แล้วของเขายิ่งเหี้ยมเกรียมน่ากลัวกว่าเดิม

เขาใช้พลังทั้งร่างหนีสุดกำลัง แต่กลับจ้องตาจู้เหวยหว่อเขม็ง

ตอนนี้เขาไม่กล้าหันหลังไปเลย

ในตอนแรกเขาอาละวาดในเมืองซานซาน สลัดกรมอาญาหลุดได้ก็บาดเจ็บไม่น้อยแล้ว กลับมาถูกเจ้าคนที่ถือทวนนี่ไล่ล่าอีก

ประมือกันหลายกระบวนท่าถึงรู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงตัดสินใจหนีไปรักษาตัวก่อน แต่จู้เหว่ยหว่อเป็นประหนึ่งพิษร้ายกัดกร่อน จะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด

เริ่มจากเมืองซานซานมา เขาก็หนีมาโดยตลอด ไม่มีเวลาได้พักรักษาอาการบาดเจ็บเลย แผลเก่ายังไม่หายก็ได้แผลใหม่เพิ่มมา สุดท้ายถึงบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้

เขาตัดสินใจว่าหากครั้งนี้หนีชีวิตรอดไปได้ จะไม่สนใจหน้าตาอีกต่อไป และไม่คิดถึงอิสระอะไรด้วย เขาจะขอให้พี่ใหญ่ลงมือช่วยชีวิต จะใช้เลือดล้างเมืองเฟิงหลิน ฆ่าจู้เหว่ยหว่อไปสิบแปดชั่วโคตร ยังมีไอ้โจรชั่วเจ้าเล่ห์ที่ถือกระบี่นั่นอีก เขาจะฆ่าล้างตระกูลมันให้ได้!

ในหัวคิดการยิ่งใหญ่ ความแค้นในใจยากจะคลาย สยงเวิ่นจ้องจู้เหวยหว่อตาไม่กะพริบ

ในดวงตาที่วาววับเสมือนคมหอกคู่นั้น เขามองเห็นสีม่วงกลุ่มหนึ่ง

หมอกมงคลจากบูรพา!

ราชันชักกระบี่ มีหมอกม่วงมงคลมาจากบูรพา เจ้ารัฐหวั่นเกรงรอบทิศ!

………………………………………………………