บทที่ 409

บทที่ 409

จ้านอู่ตี้หันกลับมามองพี่ชายตัวเอง “ทำไมเล่า ? ถ้าพวกเราไม่รีบล่ะก็พวกมันจะตั้งรับอย่างดีและทำให้พวกเราฝ่าออกไปยากขึ้นนะ เราควรจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์สิ !”

จ้านอู่ฉางครุ่นคิดอย่างหนักตามที่ผู้เป็นน้องบอก เพราะถ้าตอนนี้ไม่สู้ งั้นแล้วมันคงก็ไม่มีวันหน้าอีกต่อไป

ดังนั้นแล้ว… หลังจากเงียบไปสักพักเขาจึงกระโดดขึ้นม้าและหันมาบอกกับทหารตัวเองในฉับพลันนั้นว่า “นี่จะเป็นศึกสุดท้ายระหว่างพวกเรากับพวกเฟิงแล้ว สหายทั้งหลาย ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตายก็จงตีฝ่าออกไปให้ได้ !”

พวกหนิงมากกว่าร้อยนายมองหน้ากันแล้วตะโกน “พวกเราต้องฝ่าออกไปให้ได้ !”

ในเวลานี้ซ่งเทียนเองก็พูดออกมาเหมือนกัน “ข้าจะช่วยพวกเจ้าด้วย !”

จากนั้นสองพี่น้องก็ควบม้าตรงไปยังทางผ่านบาทันที

พื้นที่รอบ ๆ นี้ราบเรียบผิดกับที่ประตูตงมาก

ดังนั้นเพียงไม่กี่อึดใจพี่น้องจ้านก็มาถึงหน้าทางเข้าแล้ว ! และเมื่อเงยหน้าขึ้นไป จ้านอู่ฉางก็ถึงกับต้องถอนหายใจ

แม้ว่าทหารของอิงปูจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก แต่ขบวนรบของพวกเขาก็น่ากลัวมาก ปีกซ้ายและขวาช่วยสนับสนุนกัน ทำให้สามารถรุกและถอยได้อย่างอิสระ

…จุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวคือด้านหลังของพวกเขา ที่ถ้าหากถูกตีล่ะก็จะต้องแตกพ่ายทั้งกองทัพทันที แต่ตอนนี้รอบข้างพวกเขามีพร้อมสรรพ ดังนั้นแล้วคงยากยิ่งที่จะทำเช่นนั้นได้

จ้านอู่ฉางต้องใจสั่นเมื่อเห็นกระบวนทัพของศัตรู เพราะนี่แสดงให้เห็นว่าแม่ทัพผู้บัญชาการของอีกฝ่ายจะต้องเคยผ่านศึกน้อยใหญ่มาก่อนแน่นอน

จ้านอู่ฉางตะลึงกับภาพตรงหน้า แต่จ้านอู่ตี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาร้องตะโกนลั่นด่าทอออกไปว่า “ไอ้อิงปูสารเลว โผล่หน้าออกมาเดี๋ยวนี้ !”

อิงปูหัวเราะแล้วส่ายหัวกับคำของคนพวกนั้น เพราะคนที่เคยคิดว่าเป็นดั่งเทพสงครามผู้ไร้เทียมทานอย่างจ้านอู่ตี้ …มาตอนนี้กลับดูไม่ต่างอะไรจากคนจรจัดเลย !!!

สภาพของจ้านอู่ตี้น่าสมเพชมากในตอนนี้ เกราะของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นที่ไม่ได้รับการล้างมานาน แถมม้าของเขาก็เต็มไปด้วยเลือดในสภาพที่ดูเหนื่อยล้าจนแทบยืนไม่ไหว และสิ่งเดียวที่น่าสนใจคือดาบสีม่วงในมือที่ยังคงส่องประกายอยู่ตลอดเวลา

อิงปูรีบควบม้าพุ่งออกไปตามคำท้าทันที

แต่แล้วแม่ทัพคนหนึ่งก็พลันเข้ามาห้ามไว้ก่อน “ท่านแม่ทัพ ให้ข้าไปแทนเถิด”

เขาคือรองแม่ทัพเฉินปิง แม่ทัพที่เก่งกาจจนติดสามอันดับคนเก่งที่สุดของที่นี่

อิงปูครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “เฉินปิง เจ้าจ้านอู่ตี้นี้มันเก่งกาจมาก ห้ามประมาทเล่า”

“อย่าได้กังวลไปท่านแม่ทัพ” เฉินปิงกระโดดขึ้นม้าแล้วมุ่งหน้าไปหาจ้านอู่ตี้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาไปถึงก็ได้ชักดาบฟันเข้าใส่จ้านอู่ตี้ในทันที

เพราะสงครามที่ยืดเยื้อ จึงทำให้จ้านอู่ตี้แทบจะหมดพลังกาย และเพื่อรักษาพลังปราณเอาไว้ จึงทำให้เขาคงเหลือแค่เพียงเกราะปราณไว้เท่านั้น …เพราะแบบนี้เขาเลยจำต้องใช้ดาบสีม่วงป้องกันการโจมตีเอาไว้แทนดาบปราณ

เคร้ง !

จ้านอู่ตี้กระโดดถอยกลับลงมาจากหลังม้าสามก้าว

เฉินปิงไม่รอช้า กำดาบแน่นแล้วฟาดเป็นแนวขวาง

จ้านอู่ตี้ที่เห็นดังนั้นจึงใช้ดาบของเขาป้องกันเอาไว้แล้วใช้โอกาสที่อีกฝ่ายกำลังเก็บดาบ ฟันดาบของตัวเองสวนกลับไปอีกครั้ง

…แม้ว่าจ้านอู่ตี้จะไร้เรี่ยวแรง แต่พละกำลังของเขาก็ยังมากและยังคงรวดเร็วอยู่

เฉินปิงจึงเริ่มเปลี่ยนมาเป็นการป้องกันแล้วหลบการโจมตีที่กำลังเข้ามาแทน

ดาบสีม่วงพาดผ่านหัวเขาไปเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อเห็นว่าดาบพลาดไปแล้ว จ้านอู่ตี้ก็พลันฟันดาบขึ้นบนโดยใช้กำลังทั้งหมดเข้าใส่ร่างของศัตรู

เฉินปิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ เขาตะลึงและคิดว่าตัวเองจะต้องตายแน่ ทว่าก่อนที่ดาบของจ้านอู่ตี้จะถูกร่างเขา จ้านอู่ตี้ก็พลันล้มลง

เป็นเพราะว่าจ้านอู่ตี้ใช้พลังทั้งหมดในการใช้กระบวนท่านี้ ทำให้ม้าของเขารับน้ำหนักไม่ไหวและล้มลงอย่างน่าเสียดาย จนเขาต้องพลาดท่าไปด้วย

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ เฉินปิงที่เกือบตายเร่งตั้งสติแล้วกู่ร้องพร้อมกับฟันดาบเข้าใส่จ้านอู่ตี้ที่นอนอยู่

แม่ทัพเลือดร้อนผู้นี้ทำได้แค่เพียงยกดาบขึ้นป้องกันเท่านั้น

เคร้ง !

การโจมตีนี้รุนแรงมากเพราะเฉินปิงอยู่บนหลังม้า และเมื่อดาบเข้ามาถึงแล้ว… จ้านอู่ตี้ก็ได้แต่ป้องกันมันเอาไว้ จนร่างของเขาสั่นและจมลึกลงไปในพื้นพร้อมกับแขนที่เกิดอาการเหน็บชา

เฉินปิงรีบชักดาบกลับมาแล้วฟันซ้ำเข้าไปที่เดิมจนร่างของจ้านอู่ตี้จมดินลงไปอีก

“ดูสิว่าเจ้าจะป้องกันได้สักกี่น้ำ !” เฉินปิงเริ่มคึกและกระหน่ำฟาดดาบลงไปไม่หยุด

เสียงการต่อสู้ดังไปทั่วบริเวณ ร่างของจ้านอู่ตี้จมดินลงหายไปจนไม่มีใครเห็นอีกแล้ว

จ้านอู่ฉางที่เห็นภาพนั้นอยากจะเข้าไปช่วยน้องชายเขามาก แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้วิชายุทธ์ ทำให้อาจเสี่ยงชีวิตมากเกินไปได้ถ้าทำเช่นนั้น

ดังนั้นจ้านอู่ฉางจึงได้แต่ตื่นตระหนก ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และหันไปมองซ่งเทียนที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับพูดขึ้น “ฝ่าบาท ใช้ลูกน้องของท่านไปช่วยเขาหน่อยเถอะ !”

“หา ?”

ไม่ใช่แค่ซ่งเทียนที่กังวลกับฉากนี้ แต่ทุกคนในกองทัพล้วนอยากจะเข้าไปช่วยใจจะขาดแล้ว แต่ซ่งเทียนที่ได้ยินว่าจะให้ส่งจุยเฟิงเจียนเข้าไปช่วยจ้านอู่ตี้ เขาก็ไม่ยอม “ข้าคิดว่าดูจากนิสัยแล้ว เขาคงไม่อยากจะให้มีคนเข้าไปยุ่งในการต่อสู้ตัวต่อตัวหรอกนะ”

จ้านอู่ฉางที่ได้ยินดังนั้นก็พลันร้องตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันพร้อมดวงตาที่ขู่อาฆาต “เจ้าจะกังวลบ้าอะไรอีก ?! อย่าลืมนะโว้ยว่าถ้าเขาตายไปพวกเรากลับออกไปไม่ได้แน่ !”

ซ่งเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็จึงหันมองไปยังองครักษ์ข้างตัว ก่อนจะพูดขึ้นลอย ๆ ว่า “ข้าคิดว่าท่านจ้านอู่ตี้กำลังแย่ ดังนั้นข้าเองก็กำลังคิดอยู่ว่าจะให้คนที่เก่งกาจ…”

จุยเฟิงเจียนถอนหายใจแล้วชักดาบวิ่งเข้าไปในสนามรบทันที

“เจ้าจะทำอะไรน่ะ ?” ซ่งเทียนตะโกนไล่หลังมา

จุยเฟิงเจียนไม่สนใจเขาแล้วพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสูง

เขาไม่ใช่คนของซ่งเทียนอีกต่อไป จากมุมมองของเขา หากจ้านอู่ตี้ตายไปก็เท่ากับว่าพวกเขาจะต้องติดอยู่ที่นี่และรอความตายเท่านั้น

เฉินปิงที่กำลังกระหน่ำดาบใส่จ้านอู่ตี้อยู่ เมื่อเห็นชายในชุดธรรมดาอย่างจุยเฟิงเจียนวิ่งเข้ามา ในคราแรกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

แต่เมื่อเขาเมินจุยเฟิงเจียนไปสักแปปเดียวเท่านั้น เขาก็ต้องพบว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้มากจนเกือบประชิดตัวแล้ว ทำให้เฉินปิงเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาในทันทีทันใดกับภาพตรงหน้า !!!