ในจวนตระกูลหรง ความครึกครื้นหน้าจวนค่อยๆ สงบลง
หรงจิ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในจวน ยังคงมีปุยขาวของต้นหลิวร่วงลงมาบนตัวเขา อาเฉวียนเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ แล้วก้มหน้า
“ไปแล้วรึ” หรงจิ่งถามขึ้นมาอย่างเย็นชา
อาเฉวียนพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายอวี้ได้เข้าวังไปแล้ว”
หรงจิ่งยิ้มอย่างประชดประชัน เขายกมือขึ้น แล้วพลิกฝ่ามือขึ้นมารับปุยขาวของต้นหลิวที่ร่วงลงมา จ้องมองปุยขาวในมือ พูดช้าๆ ว่า “น้องชายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของข้า กลัวว่าจะเหมือนกับปุยขาวของต้นหลิวอันนี้”
พูดจบ ในมือของเขาพลังวิญญาณปรากฏขึ้น ปุยขาวของต้นหลิวที่อยู่ในมือกลายเป็นผุยผง
“ความทะเยอทะยานอันแรงกล้า ไม่เพียงแต่สามารถทำลายคนๆ หนึ่งได้ ยังสามารถทำลายได้ทั้งตระกูล พวกท่านพ่อทำไมถึงไม่เข้าใจ ศึกไม่กี่เดือนก่อน ยังไม่ทำให้พวกเขาได้สติอีกรึ มีบางเรื่องที่ถูกกำหนดมาให้เป็นได้เพียงความฝัน” หรงจิ่งพูดอย่างทอดถอนใจ
“องค์ชาย เช่นนั้นพวกเราทำอย่างไรดี” อาเฉวียนถามอย่างไม่เข้าใจ
คำถามนี้ ทำให้หรงจิ่งยิ้มออกมาอย่างกลุ้มใจ “ปล่อยเขาไปเถอะ”
อาเฉวียนขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจคำว่า ‘เขา’ ที่หรงจิ่งพูดหมายถึงตระกูลหรง หรือว่าคนในวังคนนั้น หรือว่าทั้งสอง
สรุปก็คือเขาแค่รู้สึกว่าหลังจากที่องค์ชายถูกกักบริเวณ ความเย็นชาในตัวเขาก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น เหมือนว่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในสายตาเขาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งความฝัน
…
ในตำหนักหวงจี๋ ความตกตะลึงในความงดงามในสายตาของหรงอวี้เพิ่มขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
เห็นความรู้สึกในแววตาของเขา เจียงหลียิ้มอย่างหยอกเย้าขึ้นมา “งามหรือไม่”
หรงอวี้ได้สติจากการตะลึงในความงาม รีบก้มหัวแสดงความขอโทษ “ฝ่าบาทโปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาท”
“ข้าแค่ถามเจ้าว่างามหรือไม่” เจียงหลีถามต่อ
หรงอวี้ก็แอบเงยหน้ามองนางอีกครั้ง การมองครั้งนี้ ทำให้ใจของเขาเต้นเร็วมากยิ่งขึ้น ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เขารีบก้มหน้า แล้วตอบว่า “งามพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทช่างงดงามจริงๆ!”
พูดจบ เขาเงยหน้า ในแววตาที่อ่อนโยนมีความเอาใจ เดิมที่ตระกูลส่งเขาเข้าวังเพื่อมาดูแลจักรพรรดินี วางแผนอย่างดี เขายังไม่ค่อยเต็มใจ แต่เพื่อการใหญ่ของตระกูล เขาคิดเสียสละตัวเอง แต่ว่า พอมาวันนี้ได้เห็นโฉมหน้าจริงๆ ของจักรพรรดินี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการประสบเคราะห์ครั้งนี้ช่างคุ้มค่า
คนที่งดงามแบบนี้ ถ้าหากว่านางหลงรักเขาเข้าจริงๆ หลังจากรอให้การใหญ่สำเร็จ เขาไม่รังเกียจที่จะขอคนรักจากท่านลุง ให้นางอยู่จวนของเขา
“ให้เจ้าเข้าวังมารับใช้ ไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใจหรอกใช่ไหม” เจียงหลีถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จะลำบากใจได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” หรงอวี้รีบตอบ “ได้เข้าวังมารับใช้ฝ่าบาท เป็นบุญของกระหม่อม”
“ดี เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ในวังไปก่อน ถ้าข้าต้องการให้เจ้ารับใช้ จะส่งคนไปเรียกเจ้า” เจียงหลีพูดกับเขา
“พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะเชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาททั้งหมด” ท่าทางที่เชื่อฟังของเขา ทำให้ไม่หวาดระแวง
เจียงหลียิ้ม แล้วยกมือขึ้นโบก
อวี้ซูเดินมาข้างหน้า พูดกับหรงอวี้อย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ว่า “คุณชายหรง เชิญตามข้ามา”
หรงอวี้พยักหน้า ตามอวี้ซูไป แต่ว่าในตอนที่จะไป กลับมองเจียงหลีอย่างตัดใจไม่ได้ เหมือนหวังให้นางบอกให้ตนอยู่ต่อ
เสียดาย รอให้เขาเดินออกไปจากตำหนักหวงจี๋ เจียงหลีก็ไม่ได้เปลี่ยนใจ
ห่างจากตำหนักหวงจี๋ไกลขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดหรงอวี้ก็ทนไม่ไหว ถามอวี้ซูอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านขุนนางสตรี วันนี้ข้าเข้าวังเป็นวันแรก ควรที่จะคอยรับใช้อยู่ข้างๆ ฝ่าบาทไม่ใช่รึ?”
อวี้ซูยิ้มตาหยีแล้วมองเขา “คุณชายหรง ท่านเป็นคนแรกที่ได้เข้าวัง รักษาโอกาสให้ดี เพียงแต่ฝ่าบาทยังเด็ก ท่านก็เห็น มีบางเรื่องที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป”
หรงอวี้ยิ้มแห้ง พูดในใจว่า ก็จริง! อายุของจักรพรรดินียังน้อย ไม่ควรทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ นางถือเป็นหญิงงามโดยแท้จริงๆ เพิ่งเจอครั้งแรกก็ทำให้เกินห้ามใจ
แต่ว่า พอนึกถึงความหมายแฝงในคำพูดของอวี้ซูขึ้นมา…
หึ! การใหญ่ของตระกูลข้าใกล้จะสำเร็จแล้ว ท่านยังต้องการผู้ชายคนอื่นเข้าวังมาเพื่อรับใช้อีกรึ หรง อวี้ยิ้มเยาะในใจ แล้วถึงจะยิ้มออกมาอีกครั้ง พูดกับอวี้ซูว่า “พ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ข้าคงรีบร้อนไป ขอบคุณมาก”
เขายิ้มให้อวี้ซูด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ด้วยรูปโฉมของเขา ที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ ผู้หญิงทั่วไปที่ไหนจะต้านทานไหว
น่าเสียดาย คนที่โดนเขาโปรยเสน่ห์คืออวี้ซู อวี้ซูเพียงยิ้มตามมารยาท แล้วก็เดินหน้าต่อ
หรงอวี้หุบยิ้ม แววตาที่อ่อนโยนดูอึมครึมขึ้นมา
…
ตอนกลางคืน ในตำหนักหวงจี๋ เจียงหลีกำลังฝึกฝน
ถึงแม้ว่าตัวจะเป็นจักรพรรดิ แต่นางไม่กล้าที่จะขี้เกียจฝึกฝนเลยสักนิด ยิดัมของลู่เจี้ยปรากฏตัว ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความเร่งรีบของเวลา
นางเดาได้ว่าเขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ถึงได้เวียนว่ายตายเกิดไม่หยุด
ถ้าหากนางอ่อนแอเกินไป ก็ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรเขาได้ กลับทำให้เขาเดือดร้อนด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท” อวี้ซูมาถึงข้างๆ ประตู เรียกเบาๆ
เจียงหลีออกจากการฝึกฝน ค่อยๆ ลืมตา มองนางด้วยความสงสัย เวลานี้ พวกอวี้ซูต้องไปพักผ่อนแล้วถึงจะถูก
อวี้ซูพูดเบาๆ ว่า “คุณชายหรงมาขอเข้าเฝ้าอยู่นอกตำหนัก บอกว่าอยากจะรับใช้ท่านตอนพักผ่อนเพคะ”
เจียงหลียิ้มอย่างหยอกเย้าขึ้นมา เอนหลังพิงเขากับที่เท้าแขนของเตียง ขาที่นั่งสมาธิก็เหยียดออก แล้วชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง เพื่อนางจะได้วางแขนได้อย่างสะดวก “ใจร้อนอะไรเช่นนี้ เพิ่งจะเข้าวังวันแรก ก็คิดจะขึ้นเตียงข้าแล้วรึ”
อวี้ซูถูกคำพูดที่ธรรมดาของนางทำให้หัวเราะออกมา พูดหยอกล้อมาประโยคหนึ่ง “ใครใช้ให้ฝ่าบาทงดงามจนคนประทับใจ ยากที่จะห้ามใจไหวล่ะเพคะ”
“นี่ อวี้ซู เจ้ากลายเป็นคนพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อนตั้งแต่เมื่อไหร่” เจียงหลีพูดอย่างขี้เกียจ
อวี้ซูพยายามกลั้นขำ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “นายเป็นเช่นไร บ่าวก็เป็นเช่นนั้น”
“ดี! รอข้าอยู่ตรงนี้นะ” เจียงหลีถลึงตาทั้งสองข้าง แกล้งทำเป็นโกรธแล้วพูด
อวี้ซูไม่กลัวเลยสักนิด ถอนสายบัว “ฝ่าบาท เช่นนั้นข้าจะหาข้ออ้างดีๆ ทำให้เขากลับไปเองนะเพคะ?”
“อืม ก็บอกไปว่าข้านอนแล้ว” เจียงหลีโบกมือ ลงมาจากเตียง แล้วบิดขี้เกียจ
“เพคะ” อวี้ซูรับคำสั่งแล้วออกไป
ในตอนที่นางออกไป ปิดประตูตำหนัก ไม่ให้ใครมารบกวนเจียงหลี ส่วนหรงอวี้…เขาเข้าวังแล้วจะก่อเรื่องอะไรได้
เจียงหลีหันตัว เดินไปที่เตียงมังกร ยืนถอดเข็มขัดที่เอวออกอยู่ตรงข้างๆ เตียง
แต่ทว่า เพิ่งจะถอดเข็มขัด นางก็รู้สึกได้ว่าข้างหลังมีพลังที่ดุดันโจมตีมายังนาง พัดม่านนอกเตียงเปิดออก และพัดผมนางยุ่งไปหมด
นางรีบหันมาทันที แล้วก็เห็นคนๆ หนึ่งยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเย็นชา
พอเห็นชัดเจนแล้ว ความเย็นชาในแววตาของนางก็สลายไป เผยรอยยิ้มต้อนรับเขา “ท่านมาตอนไหนกัน”
แววตาของจักรพรรดิกลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น พูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้ชายนอกตำหนักคือใคร”
ฮะ!
เจียงหลีอยากจะควงแขนเขา แต่จู่ๆ ก็หยุดไป เริ่มใจฝ่อขึ้นมา ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ทำอะไร แต่ว่าก็ส่งเกี้ยวใหญ่ที่มีคนหามแปดคนไปรับผู้ชายเข้าวังมาจริงๆ
“เจ้าลืมคำที่ฆ่าพูดไปแล้วรึ” เขาเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ด้วยท่าทางข่มขู่นาง เขาเคยพูดไว้ว่าถ้าหากนางกล้าเข้าใกล้ผู้ชายอื่น เขาจะฝังอาณาจักรของนางไปพร้อมๆ กับนาง
เจียงหลีถูกแรงกดดันนั้นล้อมไว้ ราวกับตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง แต่กลับไม่กลัวเลย นางกลับยิ้มออกมาแทน แล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว เข้าใกล้ผู้ชายที่อันตรายคนนี้ ดวงตาที่สดใสจ้องมองตาทั้งสองข้างของเขา ไม่กลัวเลยสักนิด “ท่านหึงอยู่รึ”