หลังจากเข้ามาในตำหนักแล้วก็ไม่มีใครอยู่เลย เฉินอวิ๋นชูกล่าวว่า:“พระชายาเย่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ มีอะไรก็บอกข้ามาเถิด”
“ฮองเอาเพคะ เมื่อครู่หม่อมฉันไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วเพื่อตรวจชีพจรให้พระสนมเอกเซียว แม้ว่าพระสนมเอกเซียวจะทรงแข็งแรงทั้งมารดาและบุตร แต่เป็นเพราะพระสนมเอกเซียวทรงลมปราณหัวใจติดขัด ทำให้พระพักตร์ซีดเซียว พระวรกายอ่อนแรง หากเป็นในระยะนาน เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นบอกตามความจริง นางได้ตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้ให้ฮองเฮาจัดการจะดีกว่า
เฉินอวิ๋นชูสะเทือนใจเล็กน้อย และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างตัวสั่น
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ไปกราบทูลต่อฝ่าบาท แต่แอบมาบอกนางที่นี่
คิดไปคิดมาแล้ว นางก็แผนสูง
ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว
เฉินอวิ๋นชูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง:“เรื่องนี้ควรจะกราบทูลต่อฝ่าบาท”
“หม่อมฉันก็อยากจะกราบทูลต่อฝ่าบาทเพคะ แต่มีคนอยู่มาก หากหม่อมฉันพูดออกไป เกรงว่าจะทำให้คนในวังพูดต่อ ๆ กันออกไปเพคะ
หม่อมฉันจึงมาบอกเรื่องนี้แก่ฮองเฮา เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากเพคะ”
“หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าคนในวังพูดจาซี้ซั้ว เกรงว่าจะมีคนลือว่าข้าเป็นที่โปรดปรานในวัง จนทำให้พระสนมเอกเซียวทรงลมปราณหัวใจติดขัด และจะเป็นการไม่ดีสำหรับฝ่าบาท!”
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นบอกเฉินอวิ๋นชูแล้ว นางก็ออกไปจากตำหนักเฟิ่งอี๋
สวีกงกงรีบมารอฉีเฟยอวิ๋นอยู่ที่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งอี๋ เมื่อพบนางแล้วก็พานางไปที่ตำหนักบำรุงฤทัย
“สวีกงกงบอกข้าว่าพระสนมเอกเซียวลมปราณหัวใจติดขัด มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ดูเคร่งขรึมและไม่ได้ถูกหลอกได้ง่าย ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ทูลฝ่าบาท เป็นเรื่องจริงเพคะ”
“สวีกงกง ออกไปเถอะ” จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้น และสวีกงกงก็ถอยออกไปในทันที
ด้านในตำหนักบำรุงฤทัยเหลือเพียงฉีเฟยอวิ๋นและจักรพรรดิอวี้ตี้เท่านั้น จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกอึดอัดใจ
“คราวก่อนเรื่องของเฉาเหม่ยเหริน เป็นเรื่องจริงหรือ ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างราบเรียบ ฉีเฟยอวิ๋นทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ใจของจักรพรรดิยากที่จะคาดเดา เป็นอย่างที่คิดไว้!
ในเวลานี้กลับไม่ถามถึงเรื่องฮองเฮาและพระสนมเอกเซียว แต่กลับถามถึงเฉาเหม่ยเหริน เรื่องของเฉาเหม่ยเหรินผ่านมานานแล้ว หากจะถามก็ควรจะถามตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมาถามตอนนี้ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ?
“ทูลฝ่าบาท เป็นความจริงเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นตอบตามความจริง
จักรพรรดิอวี้ตี้ครุ่นคิด:“ต่อไปเมื่อเจ้าอยู่กับข้า เจ้าไม่ต้องระแวดระวังเช่นนี้หรอก และไม่ต้องคุกเข่าให้ข้า ปฏิบัติต่อข้าในฐานะสหายก็ได้”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากหาเรื่องตาย รักษาระยะห่างไว้จะดีกว่า
จักรพรรดิอวี้ตี้จ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น สีหน้าของเขาทรุดลงในทันที:“โง่เขลา!”
“เพคะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นอ่อนน้อม และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็หัวเราะเยาะ:“พวกเจ้าพ่อลูกสาวช่างเหมือนกันจริง ๆ!เวลาที่ควรฉลาดก็ฉลาด เวลาที่เลอะเลือนก็น่าโมโหเสียจริง !”
“หม่อมฉันหวาดกลัวเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นรีบตอบกลับ และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องงาน แต่หลับนึกถึงหนานกงเย่
น่าเสียดายที่วันนี้หนานกงเย่ไปดูตู้ฟางจุน และคงจะไม่ได้กลับมาในเร็ว ๆ นี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงต้องรับมือแทน
จักรพรรดิอวี้ตี้ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตรัสถามว่า:“พูดเรื่องของพระสนมเอกเซียวมาเถิด นางลมปราณหัวใจติดขัด จะส่งผลกระทบต่อหรงเอ๋อร์หรือไม่ ?”
“แน่นอนเพคะ เพียงแต่ช่วงนี้จะยังไม่เป็นอันตรายมากนัก หม่อมฉันจะไปเตรียมยาอันไทส่านอวี้เพคะ (ยาป้องกันทารกในครรภ์และแก้อาการกลัดกลุ้ม) และพระอาการก็จะบรรเทาลง
แต่ลมปราณหัวใจติดขัดนั้นเกิดจากอารมณ์ ยาของหม่อมฉันสามารถบรรเทาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในคราวเดียวเพคะ ”
“ข้าเข้าใจ ที่พระสนมเอกเซียวต้องลมปราณหัวใจติดขัดก็เป็นเพราะข้า ข้าละเลยนาง จึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้” จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ทรงหลบเลี่ยงเรื่องนี้
ฉีเฟยอวิ๋นบอกตามความจริง:“หม่อมฉันได้กราบทูลเรื่องนี้แก่ฮองเฮาแล้วเพคะ และขอให้พระองค์ทรงกราบทูลเรื่องนี้ หม่อมฉันมีความผิดที่พูดเรื่องนี้ที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ อาจจะมีคนในตำหนักเฟิ่งอี๋พูดเรื่องนี้ออกไป
หากมีคนรู้น้อยเท่าไร่ก็ยิ่งดี แต่หากมีคนรู้มากเกินไปก็จะยุ่งวุ่นวายเพคะ”
“สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นข้าจะไปพบพระสนมเอกเซียว เจ้าก็กลับไปเถอะ”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบจากไปโดยไม่เงยหน้าขึ้น นางหยิบไข่มุกมรกตแล้วถอยออกไป
จักรพรรดิอวี้ตี้จ้องไปที่ฉีเฟยอวิ๋นที่ถอยออกไปอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกขบขัน
ฉีจือซาน ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางปิดบังข้าอย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้เจ้าจะอธิบายอย่างไร ?
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากวังแล้ว ฮองเฮาก็ทรงขอพระราชโองการ เนื่องจากความรักในครอบครัว นางจึงทานอาหารไม่ลง เพื่อที่จะทำให้ฮองเฮาทรงสบายพระทัย ฝ่าบาทจึงอนุญาตให้ฮองเฮาเสด็จกลับจวนไปเยี่ยมญาติได้เป็นเวลาสามวัน
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงจวน นางก็ได้ยินข่าว แม้แต่ในวังหลวงก็ยากที่จะคาดเดา
ประการแรกแสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานของฝ่าบาทที่มีต่อฮองเฮา ประการที่สองคือพระเมตตาที่มอบให้แก่พระสนมเอกเซียว
จักรพรรดิอี้ตี้มีเพียงสองเฉินอวิ๋นชูที่เป็นฮองเฮาและพระสนมเอกเซียว เมื่อฮองเฮาเสด็จกลับจวนไปเยี่ยมญาติ ฝ่าบาทก็ต้องหาคนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่ต้องให้พระสนมเอกเซียวเสด็จมาหา ฝ่าบาทก็เสด็จไปหาด้วยตนเอง
นี่แหละหนาผู้ชาย!
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงพูดถึงเรื่องนี้
เดิมทีตอนที่หนานกงเย่ยังไม่มีนาง เขาก็มีความฮึกเหิมประดุจมังกรและเสือที่ผาดโผนเช่นกัน แต่ในทุกวันนี้เพียงแค่ห่างไกลจากนาง เขาก็กินอะไรไม่ลง อารมณ์หงุดหงิด และไม่มีกะจิตกะใจจะทำงาน
หลายวันมานี้ฉีเฟยอวิ๋นกำลังศึกษาเรื่องกระบอกฉีดยา และในทันทีที่นางกลับมาถึงจวน นางก็ไปที่ห้องยา ในตอนนี้การสร้างห้องยาได้เสร็จลงแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นได้จัดเตรียมทุกอย่างในห้องยาตามที่นางต้องการ สมุนไพรก็จัดตามที่นางต้องการด้วยเช่นกัน และทุกอย่างในห้องยาได้ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว
ด้านข้างภายในห้องยามีประตูบานเลื่อน ด้านนอกและด้านในแม่กุญแจสองอัน และมีเพียงฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้นที่มีลูกกุญแจ แม้แต่หนานกงเย่ก็ไม่มี
ฉีเฟยอวิ๋นเก็บพิษบางอย่างไว้ด้านใน นางจึงกลัวว่าหนานกงเย่จะเข้ามาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วได้รับบาดเจ็บ
ฉีเฟยอวิ๋นต้องเตรียมกระบอกฉีดยา นางศึกษามาสักระยะหนึ่งแล้ว สิ่งสำคัญคือกระบอกฉีดยา ส่วนอย่างอื่นสามารถทำจากไม้ไผ่ได้ เหลือเพียงสายน้ำเกลือและหัวเข็มกระบอกฉีดยาเท่านั้นที่ฉีเฟยอวิ๋นยังคงศึกษาอยู่ และในตอนนี้นางก็มีแผนที่จะทำหัวเข็มกระบอกฉีดยาแล้ว ดังนั้นนางจึงวิ่งมาที่นี่ในทันทีที่นางเข้ามาในจวน
หลังจากที่นางเข้ามาแล้วก็มีคนมาที่ด้านออกห้องยา
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงระฆังของห้องทดลองดังขึ้น นางก็เดินออกมา นางล็อกประตูและมองไปที่ประตู:“เกิดอะไรขึ้น ?”
ทังเหอรายงานอยู่ที่หน้าประตู:“มีคนจากในวังมาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ”
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ นางเพิ่งจะกลับมาก็มีพระราชโองการแล้วหรือ ?
หลังจากที่ออกมาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบไปมอง และสวีกงกงก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นกำลังจะยกกระโปรงขึ้นเพื่อรับพระราชโองการ แต่สวีกงกงก็รีบเข้ามาช่วยพยุงไว้
“พระชายาลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยวาจา”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น และสวีกงกงก็กล่าวว่า:“ฮองเฮาทรงเสด็จกลับจวนเพื่อไปเยี่ยมญาติ ฝ่าบาททรงไม่สะดวกที่จะไปด้วย แต่ทรงกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฮองเฮาและลูก จึงให้บ่าวมาเชิญเสด็จพระชายาไปเยี่ยมที่จวนท่านเสนาบดี และถือโอกาสอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮาสักสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงมองไข่มุกมรกตที่นางนำมา เป็นหนี้บุญคุณ ทำอะไรก็ต้องเกรงใจ และรางวัลที่ได้มาก็ไม่ได้มาอย่างเปล่า ๆ และมันก็มาหาแล้ว !
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองสวีกงกง:“กงกง ท่านกลับไปกราบทูลฝ่าบาทว่าข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อปกป้องฮองเฮา”
“เช่นนั้นบ่าวกลับก่อน พระชายาเย่ก็จะรีบเสด็จไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สวีกงกงหันหลังจากไป และทังเหอก็เดินตามไปส่งสวีกงกง
เมื่อทังเหอกลับมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า:“ข้าไปเพียงลำพังคงจะไม่ดี ต้องรบกวนคุณชายทังแล้ว”
“พระชายาทรงเกรงใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผู้น้ายจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ และจะให้อาอวี่ตามพวกเราไป หากมีความจำเป็นจะได้กลับจวนมาเตรียมได้ในทันที”
“คุณชายทังกล่าวได้ถูกต้อง”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปเตรียมการ และสั่งบางอย่างกับพ่อบ้านอาวุโส จากนั้นฉีเฟยอวิ๋น ทังเหอและอาอวี่ก็ไปที่จวนเสนาบดี
จวนเสนาบดีได้รับข่าวว่าให้มารับรอฉีเฟยอวิ๋นที่หน้าประตู และคนที่รออยู่ก็คือฮูหยินของเสนาบดีและเฉินอวิ๋นเอ๋อร์
ในจวนเสนาบดีมีสมาชิกในตระกูลที่เป็นผู้หญิงไม่มากนัก ฉีเฟยอวิ๋นมีตำแหน่งเป็นพระชายาเย่ ฮูหยินของเสนาบดีออกมาต้อนรับด้วยตนเองก็เหมาะสมแล้ว และที่ขาดไม่ได้เลยคือเฉินอวิ๋นเอ๋อร์
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขบขันที่ได้พบฉีเฟยอวิ๋น แม้ว่าจะเป็นพระชายาเย่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา นางก็เป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าการมาที่จวนเสนาบดีนั้น ไม่ใช่เรื่องดี
“หม่อมฉันคารวะพระชายาเย่เพคะ” เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น ฮูหยินของเสนาบดีก็รีบก้าวไปข้างหน้า
“ฮูหยินไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ฉีเฟยอวิ๋นช่วยพยุงฮูหยินของเสนาบดี แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้ม
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าและถอนสายบัว:“คารวะพระชายาเย่เพคะ”
“คุณหนูเฉินไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
“……” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ลุกขึ้นและเดินถอยหลังไปสองก้าว ถ้าในเวลาปกติ ตามกฎแล้ว เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จะต้องกล่าวขอบคุณ แต่วันนี้นางกลับไม่ขอบคุณ
ครั้งนี้ที่นางมาจวนเสนาบดี นางไม่ได้มาทำให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ขุ่นเคือง ดังนั้นจึงไม่ควรก่อเรื่องโดยไม่จำเป็น ฮูหยินของเสนาบดีมองไปที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่พอใจ และกล่าวว่า:“บังอาจ แม้แต่มารยาทก็ลืมไปแล้วหรือ ใครก็ได้ คุณหนูสามไม่รู้จักมารยาท ทำให้จวนเสนาบดีต้องขายหน้า พานางไปสำนึกผิดที่ศาลบรรพชน สามวันให้หลังจากที่ฮองเฮาทรงเสด็จกลับวังแล้ว
“ท่านแม่” เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นชื่นชมฮูหยินของเสนาบดี ที่แท้นางก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์สามารถนั่งในตำแหน่งฮองเฮาได้อย่างมั่นคง มีแม่ที่เจ้าเล่ห์เช่นนี้ แน่นอนว่าลูกสาวก็จะต้องไม่ธรรมดา
“หยุดเรียกข้าได้แล้ว เจ้าทำให้จวนเสนาบดีต้องขายหน้า ไม่ต้องมาเรียกข้า” ฮูหยินของเสนาบดีพูดด้วยสีหน้าเย็นชา และคนใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ทั้งสองคนก็พาเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ออกไป
“ทำให้พระชายาต้องรู้สึกขบขันแล้ว เชิญเสด็จเพคะพระชายา” ฮูหยินของเสนาบดีเชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปด้วยตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าและเดินตามไป
จวนเสนาบดีได้เตรียมการไว้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นถูกนำตัวไปพบฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู และเมื่อได้พบกับเฉินอวิ๋นชู ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมที่จะถวายบังคม แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นหยุดไว้
“ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่จำเป็นต้องเป็นทำเช่นนั้น ยกเว้นไปเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นใจคอห่อเหี่ยว สถานการณ์ในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วหรือ ?
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันจะตรวจดูพระอาการให้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่นางต้องทำ
เฉินอวิ๋นชูนั่งลงและวางข้อมือให้เข้าที่ ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและตรวจจับชีพจร นางขมวดคิ้วและกล่าวว่า:“ฮองเฮาเพคะ ถุงหอมที่ฝ่าบาททรงประทานให้พระองค์ก่อนหน้านี้ล่ะเพคะ ?”
เฉินอวิ๋นชูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางเอามือไปคลำหาและสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป:“หายไปแล้ว ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเอามือออกและมองไปรอบ ๆ ตัวนาง เฉินอวิ๋นชูก็มองหาด้วยเช่นกัน
ในห้องนี้มีคนเพียงไม่กี่คน นางจากฮูหยินของเสนาบดีแล้วก็มีกงกงและสาวใช้ที่อยู่ใกล้ชิด และมีองครักษ์ที่คอยติดตาม
แววตาของเฉินอวิ๋นชูดูไม่พอใจ:“ทุกคคนออกไปเถอะ”
ฮูหยินของเสนาบดีนำพาคนถอยออกไปในทันที และไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและกล่าวว่า:“หม่อมฉันจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เพคะ ฮองเฮาได้โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ
“ทุกอย่างคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
เฉินอวิ๋นชูคลำหาตามร่างกาย และแน่ใจว่าถุงหอมได้หายไปแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้อาอวี่กลับไปที่จวนอ๋องเย่และอาอวี่ก็รีบกลับไป ก่อนที่จะมืดเขาก็นำสิ่งที่ ฉีเฟยอวิ๋นต้องการมาให้ ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในห้องของเฉินอวิ๋นชู และเตรียมที่จะทำถุงหอมให้เฉินอวิ๋นชู