ตอนที่ 83 ทำให้ซือถูจ้าวโมโหเจียนตายในไม่ช้า / ตอนที่ 84 ทุบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ตาย!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 83 ทำให้ซือถูจ้าวโมโหเจียนตายในไม่ช้า

 

 

ยังจะมีเรื่องดีอันใดได้อีก

 

 

เป่ยเฉินเสียงไม่ลองคิดดูว่าเยี่ยเม่ยไม่ใช่ทั้งมิตรและศัตรู ซ้ำเมื่อก่อนยังเคยมีข้อบาดหมาง อยู่ ๆ จะออกตัวช่วยเหลือเขาอย่างไร้สาเหตุได้อย่างไร

 

 

ครั้นเอ่ยมาถึงยามนี้ ฮ่องเต้พอพระทัยที่เอาชนะเป่ยเฉินอี้ได้ครั้งหนึ่งทรงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ก็สั่งให้คนทั้งหมดกลับไปเพื่อพระองค์จะได้พักผ่อน “เอาล่ะ กลับกันไปได้แล้ว!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

คนทั้งหมดแยกย้ายออกมาทันที

 

 

หลังจากเดินออกมาซือถูจ้าวกลับเรียกเป่ยเฉินอี้เอาไว้ “องค์ชายใหญ่ เกิดเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ พวกเรารีบไปเข้าเฝ้าฮองเฮาด้วยกันเถอะ!”

 

 

ในทางกลับกันเขาคิดเกลี้ยกล่อมอย่างไรเป่ยเฉินเสียงฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย ทำได้แต่ไปหาน้องสาวดูว่านางจะโน้มน้าวให้เป่ยเฉินเสียงยอมเชื่อได้หรือเปล่า

 

 

เป่ยเฉินเสียงมองจงซาน เอ่ยว่า “เช่นนั้นใต้เท้าจง…”

 

 

ในความคิดเขา เมื่อตัวเขาและท่านลุงไปปรึกษากับเสด็จแม่สมควรพาจงซานมาร่วม เพราะว่าต่างก็เป็นขุนนางที่เขาให้ความสำคัญ

 

 

จากนั้น

 

 

ซือถูจ้าวกลับเอ่ยปากด้วยความไม่พอใจ “องค์ชายใหญ่ ข้าอยากสนทนาเรื่องในครอบครัวกับฮองเฮาและท่าน จะเชิญคนนอกมาทำไม”

 

 

หากพูดคุยเรื่องในครอบครัว จงซานก็ถือว่าเป็นคนนอกจริง ๆ

 

 

เป่ยเฉินเสียงพยักหน้า มองจงซาน เห็นอีกฝ่ายสีหน้าเรียบเฉยไม่มีท่าทางสนใจก็พลอยวางใจ จึงรีบเดินติดตามซือถูจ้าวไป

 

 

เมื่อพวกเขาสองคนจากไป

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เยี่ยเม่ยและจงซานเดินออกไปพร้อมกัน

 

 

เยี่ยเม่ยมองตามเงาหลังของซือถูจ้าวและเป่ยเฉินเสียงไป ถามขึ้นว่า “พวกท่านคาดว่าพวกเขาหารือเรื่องอะไรกัน”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก็แค่บอกว่าเยี่ยนไม่น่าเชื่อถือ เจ้าไม่น่าเชื่อถือ และจงซานก็ไม่น่าเชื่อ”

 

 

เยี่ยเม่ยรีบหันกลับไปมองจงซาน “เมื่อครู่ท่านยังไม่ยอมติดตามไปเพื่อเรียกความเชื่อใจกลับมาอีก”

 

 

นางเอ่ยเช่นนั้นด้วยสีคล้ายจะยิ้มแต่ก็มิได้ยิ้มออก

 

 

จงซานเองก็โบกมือ ตอบว่า “ที่ข้าไม่ตามไป ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ ด้วยสติปัญญาของเป่ยเฉินเสียง ซือถูจ้าวเกลี้ยกล่อมเขาได้ก็แปลกแล้ว ส่วนสมองของฮองเฮา…อืม ช่างเถอะ ข้าไม่ชอบวิจารณ์สตรีโง่งม วางใจเถอะ ข้าไม่จำเป็นต้องไปหรอก ไม่ช้าพวกเขาสองแม่ลูกก็จะทำให้ซือถูจ้าวโมโหจนเจียนตายแน่!”

 

 

เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองทะเลดาวพราวฟ้า เอ่ยนิ่งๆ “ถูกต้อง พูดตามตรงชั่วขณะนี้ข้ารู้สึกเสียดายแทนเป่ยเฉินอี้นัก”

 

 

คนโง่เขลาเป็นฮ่องเต้ ส่วนคนฉลาดอย่างเป่ยเฉินอี้เป็นเพียงอ๋องผู้หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าอดีตฮ่องเต้เป่ยเฉินคิดอันใดอยู่

 

 

จงซานสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ถอนใจแล้วเล่าว่า “มารดาเป่ยเฉินอี้มีฐานะต่ำต้อย เขาพ่ายแพ้ที่ชาติกำเนิด! ความจริงอดีตฮ่องเต้เป่ยเฉินเป็นคนฉลาด พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับเป่ยเฉินอี้มาก ทว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมเหล่าขุนนางในราชสำนักได้ อย่างไรก็เป็นองค์ชายที่กำเนิดมาจากอนุต่ำต้อย เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ไม่มีทางยินยอม ดังนั้นเขาจึงมอบราชโองการให้เป่ยเฉินอี้ทำลายล้างสามแคว้นในการสืบทอดราชบัลลังก์ นั่นคือโอกาสเปลี่ยนแปลงชะตาของเป่ยเฉินอี้ เพียงแต่…”

 

 

เพียงแต่โชคชะตายังคงเล่นตลก

 

 

ยามที่เขาสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างชอบธรรม เขาพลาดทุกอย่างไปเพราะความรักที่มีต่อจงเจิ้งซี คนที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาอย่างเป่ยเฉินอี้ สุดท้ายกลับถูกสวรรค์เล่นตลก

 

 

เยี่ยเม่ยหัวเราะเย็นชา “บางทีหากอดีตฮ่องเต้ยกบัลลังก์ให้เขาไปเสียเลย จงเจิ้งก็คงไม่ล่มสลาย ให้เขาเปลี่ยนแปลงชะตาของตัวเองด้วยการใช้ชีวิตที่ผู้อื่นปูทางให้ ช่างโหดเ**้ยมนัก!”

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ จงซานก็ได้แต่หัวเราะออกมา มิได้เอ่ยวาจาใดๆ

 

 

 

 

ตอนที่ 84 ทุบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ตาย!

 

 

ความจริงในสายตาของพวกขุนนางการเมือง ยามที่สามารถสั่งการทั่วหล้าได้ด้วยบทสนทนาเรียบๆ ง่ายๆ นั้น ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของขุนนางแล้ว ชีวิตของผู้อื่นในสายตาของพวกเรานับว่าเป็นอันใดกัน ไม่มีค่าพอสักนิด!

 

 

ครั้นออกจากท้องพระโรง จงซานเหลือบมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคราหนึ่ง

 

 

ส่งสัญญาณทำทีว่าตนต้องการสนทนากับเยี่ยเม่ย หวังว่าอีกฝ่ายจะหลบฉากไป มีหรือที่องค์ชายสี่จะไม่เข้าใจสายตาของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสายตาขรึมลง ดวงตาร้ายกาจกลอกไปมองเยี่ยเม่ย

 

 

อันที่จริงเขาไม่อยากหึงนักหรอก

 

 

แต่ความจริงก็คือว่าระยะนี้เยี่ยเม่ยกับจงซานสนิทกันเหลือเกิน เอะอะก็ให้สามีตัวจริงอย่างเขาหลบฉากไป

 

 

ก่อนหน้าเห็นแก่ที่ความสัมพันธ์ของตนกับนางระหองระแหงกัน จึงไม่กล้าเอาความ และไม่อาจเอาความ

 

 

แต่มาวันนี้เยี่ยเม่ยเอ่ยทุกอย่างชัดเจน อย่างนั้นเขาก็ย่อมคิดเล็กคิดน้อยแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้าให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นเชิงบอกให้เขาออกไปก่อน

 

 

องค์ชายสี่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภรรยาตัวน้อยผู้ถูกรังแก เยี่ยเม่ยช่างไม่ใส่ใจความรู้สึกเขาเสียเลย

 

 

แต่เมื่อมองสีหน้าของเยี่ยเม่ยแล้วนึกถึงว่าทั้งคู่เพิ่งจะปรับความสัมพันธ์กลับมาดีกันได้ ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเล็กๆ เช่นนี้ต้องแตกหักอีก ดังนั้นเขาจึงยอมออกไปแต่โดยดี

 

 

รอจงซานหารือกับเยี่ยเม่ยเรียบร้อย ค่อยเตือนนางเสียหน่อยว่าเขาไม่พอใจ ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไรจงซานก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง!

 

 

รอเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไปแล้ว

 

 

เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองจงซาน ถามเสียงนิ่งว่า “สืบชัดเจนแล้วหรือยัง”

 

 

จงซานพยักหน้า ทั้งยังแอบยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เยี่ยเม่ย ขณะเดียวกันก็กล่าวว่า “บิดาของเซี่ยชูมั่วมีตราคุมทัพอยู่ เพื่อจะใช้งานเขาในวันหน้า ข้าจึงแอบส่งสายลับเข้าไป นางชื่อว่าเหมี่ยวเจินเป็นสาวใช้ประจำตัวเซี่ยชูมั่ว ตอนนี้นางเชื่อใจเหมี่ยวเจินมาก ดังนั้นภายใต้การแนะนำของเหมี่ยวเจิน เซี่ยชูมั่วจึงไปถามมู่หรงเหยาฉือ มู่หรงเหยาฉือบอกว่าคำพูดของนางเป็นความจริง ดังนั้นองค์ชายสี่อาจเป็นพ่อแท้ๆ ของเด็กในท้องนาง!”

 

 

เยี่ยเม่ยฟังมาถึงยามนี้สีหน้าพลันสงบลง

 

 

จงซานชะงักไปเล็กน้อยมองเยี่ยเม่ย ถามว่า “เรื่องนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เศษผ้าชิ้นนั้นเป็นหลักฐาน หากเนื้อผ้าชิ้นนั้นตรงกับเนื้อผ้าขององค์ชายสี่พอดี เช่นนั้น…”

 

 

เยี่ยเม่ยคิดเล็กน้อยก็ก้าวเท้ากว้างๆ ออกมา “เรื่องนี้ขอบคุณท่านมาก ท่านกลับไปก่อนเถอะ”

 

 

จงซานขมวดคิ้ว ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เขาคิดว่าเยี่ยเม่ยไม่มีทางแตกหักกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนง่ายๆ ไม่ว่าเพื่ออะไรก็ไม่ควรอย่างเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงถามอีกคำว่า “ท่านเตรียมจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”

 

 

เยี่ยเม่ยก้าวเท้ามุ่งหน้าออกจากวังตอบว่า “อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องส่วนรวมเลย ตอนนี้ข้าไม่อาจใคร่ครวญถึงสถานการณ์ใหญ่แล้ว ข้าจะไปถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากเขาไม่บอกเรื่องเศษผ้าชิ้นนั้นออกมาให้ชัดเจน ข้าจะทุบเขาให้ตาย!”

 

 

จงซาน “…”

 

 

ก็ได้! ท่านมันล้ำเลิศ!

 

 

เสี้ยวเวลาหนึ่ง จงซานหลงคิดว่าตัวเองแก่ไปแล้ว อย่างน้อยในยุคสมัยที่เขาเติบโตขึ้นมาก็ไม่เคยพบไม่เคยเห็นสตรีที่คลุ้มคลั่งเช่นเยี่ยเม่ยมาก่อน อืม ให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบาย หากเขาอธิบายได้ไม่ละเอียดพอจะทำไมนะ

 

 

อ้อ ใช่แล้ว จะทุบเขาให้ตายไง!

 

 

……

 

 

เยี่ยเม่ยเดินออกจากประตูวังหลวงด้วยสีหน้าเย็นชา

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนรอนางอยู่ที่หน้าประตู รถม้าจอดอยู่ข้างๆ

 

 

ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก องค์ชายสี่แอบคิดอยู่ในใจ หรือว่าจงซานจะนินทาเขาแล้ว หรือว่ายังแอบแทงข้างหลังเขาด้วย หรือว่าจงซานคือศัตรูหัวใจที่ซ่อนอยู่

 

 

เขาคิดอยู่เช่นนี้

 

 

รอจนเยี่ยเม่ยเดินมาหา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เลิกคิ้วอย่างสง่างาม ยิ้มออกน้อยๆ “เป็นอะไรไป ทำไมสีหน้าถึงไม่น่าชมเช่นนี้เล่า”

 

 

เยี่ยเม่ยมองไปรอบๆ ที่มืดมิดเพราะยามราตรี ถึงไม่มีคน แต่หากคุยกันที่นี่ก็ยากไม่ให้คนได้ยิน

 

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงขึ้นรถม้า ซ้ำยังกระชากแขนเสื้อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนลากเขาขึ้นรถไปด้วยอย่างไม่เกรงใจ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กลับเบิกบานเป็นการใหญ่

 

 

หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว สายตาคู่ร้ายก็มองไปที่นาง ดึงเยี่ยเม่ยเข้ามากอดพลางถาม “เป็นอะไรไป ฮูหยินทนรอไม่ไหวแล้วหรือ ระลึกถึงเวลาตอนบ่ายที่พวกเราออกจากจวนหรือ”

 

 

“หุบปาก!” เยี่ยเม่ยตวาดเสียงแข็ง

 

 

สีหน้านางหม่นลง ดูแล้วไม่น่ามองเลยสักน้อย กระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่อ่านสีหน้าคนไม่เก่ง ยามนี้ตระหนักได้ว่าเยี่ยเม่ยโมโหแล้วจริงๆ ทั้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่งด้วย

 

 

เขาเอ่ยเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรไป ใครยั่วโมโหเจ้าแล้ว”

 

 

เยี่ยเม่ยหันไปมองเขา ตอบว่า “เมื่อครู่ข้าไม่คุยกับท่านข้างนอก เพราะกลัวคนที่ผ่านไปมาจะได้ยิน รู้ว่าท่านสวมหมวกเขียวให้ข้า ทำให้ข้าเสียหน้า! ข้าเยี่ยเม่ยไม่อาจเสียหน้าเช่นนี้!”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…” นี่มันอะไรกัน

 

 

เขาสวมหมวกเขียวให้นางตั้งแต่เมื่อไร

 

 

มุมปากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกระตุกเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองถูกใส่ร้ายเป็นทวีคูณ น้ำเสียงที่น่าฟังอยู่แต่เดิมของเขาไม่อาจแฝงความสบายได้อีก เพราะเขาเข้าใจว่าหากเยี่ยเม่ยเข้าใจเรื่องที่ไม่เป็นจริงนี้ผิดไปแล้ว ต่อให้มีความรักลึกซึ้งเพียงใด พวกเขาก็ต้องจบกันอยู่ดี

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถาม “ดังนั้น เจ้าอยากบอกอะไรกันแน่”

 

 

“ข้าจะบอกอะไร ท่านมิใช่รู้อยู่แก่ใจหรือไง” เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างเย็นชา

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…?” เขาไม่รู้อะไรจริงๆ

 

 

ในสมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครุ่นคิดสักพัก ก็ฉุกนึกถึงวันนี้ที่มู่หรงเหยาฉือเอาแต่รบเร้าพัวพันบอกว่านางท้องลูกของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว สีหน้าขรึมลงมาแล้ว มองใบหน้าเย็นชาของเยี่ยเม่ย “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่าเป็นเรื่องของมู่หรงเหยาฉือหรอกกระมัง”

 

 

“ไม่เช่นนั้นเล่า” เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงดังขึ้น

 

 

เขายังรู้ว่านางพูดถึงเรื่องมู่หรงเหยาฉือ ดังนั้นบ่งบอกว่าอะไร บอกว่าในใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีพิรุธ

 

 

คราวนี้

 

 

นางเห็นแววตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าเขาโมโหแล้วเช่นนั้น หรืออาจบอกว่า นอกจากวันแต่งงานที่นางจงใจยั่วโมโหเขา เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนโมโหแล้ว วันนี้ก็นับว่าเป็นอีกครั้งที่เยี่ยเม่ยเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอารมณ์ไม่ดี

 

 

แล้วก็เป็นดังคาด

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเสียงเย็นหลายคำ จ้องตาเยี่ยเม่ย ถามว่า “ดังนั้นเจ้าเชื่อคำพูดเชื่อเยี่ยน”

 

 

มู่หรงเหยาฉือสาดโคลนใส่เขา เขาสามารถอธิบายได้ ทว่านางยอมเชื่อมู่หรงเหยาฉือ กลับไม่เชื่อเขา

 

 

เยี่ยเม่ยเห็นเขาทำท่าคล้ายโมโหแล้ว ก็เริ่มไม่มั่นใจ แต่พอนางคิดถึงข่าวที่จงซานได้รับมา ก็เอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้ากลับอยากเชื่อท่านนัก แต่ก็ไม่ยอมรับเรื่องน่าอายอย่างถูกสวมหมวกเขียวที่เกิดขึ้นกับข้า แล้ว…ท่านจะอธิบายเรื่องที่ท่านไม่อยู่ในจวนสามวันหลังจากวันแต่งงานอย่างไร สามวันนั้นท่านไปอยู่ที่ไหนมา อีกอย่างทำไมมู่หรงเหยาฉือถึงมีเศษผ้าที่ขาดมาจากอาภรณ์ของท่านได้ ตอนท่านกลับมาข้าก็เห็นว่าชุดท่านขาดไปมุมหนึ่ง!”

 

 

หากไม่มีเศษผ้าชิ้นนี้ นางก็เชื่อเขา แต่ว่าผู้อื่นควักหลักฐานออกมาแล้ว เวลาก็ตรงกัน ยังมีคนไปถามมู่หรงเหยาฉือมาอีก นางจะไม่ระแวงได้หรือ

 

 

เศษผ้า?

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชะงักเล็กน้อย “เศษผ้าอะไร”