ตอนที่ 97 ละอายแก่ใจ (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

นางเบี่ยงศีรษะหลบตามสัญชาตญาณ แต่ใบหน้ากลับถูกปลายนิ้วเรียวยาวจับไว้ แรงจับมหาศาลราวกับจะบีบคางของนางให้แหลกละเอียด นางมิได้ดิ้นรน เพียงจ้องมองด้วยสายตายะเยียบ “ฝ่าบาท ท่านทำข้าเจ็บ”

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวร่อเบาๆ นัยน์ตาสีดำสนิทฉายแววประหลาดแวบหนึ่ง เขาก้มหน้าลงช้าๆ ริมฝีปากบางเฉียบจรดลงที่หน้าผากของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “อย่าได้ปฏิเสธข้าไปตลอดกาล ได้หรือไม่ เสี่ยวไป๋”

 

 

นางแทบจะรู้สึกหลอน คิดว่าบุรุษที่กำลังโอบกอดตนขณะนี้มีความรักอย่างลึกซึ้งจนผู้คนมิอาจปฏิเสธ

 

 

ทว่า อ้อมกอดของเขากลับทำให้นางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในกองหิมะอันเย็นเยียบ

 

 

นางหลุบตาลงกล่าวเนือยๆ ว่า “ได้ ฝ่าบาท”

 

 

ในเมื่อเขาอยากเล่นบทละครพิศวาส และนางก็มีฝีมือการเล่นละครอยู่แล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เออออเล่นด้วยก็ได้ แม้จะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ยังดีกว่าการสู้รบตบมือ หลังละครฉากนี้แล้ว คนที่ชนะเป็นใครก็ยังไม่แน่

 

 

ไป๋หลี่ชูยิ้มอย่างพึงพอใจ จูงมือชิวเยี่ยไป๋ออกจากตำหนัก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้าด้านข้างของเขาก็แปลกใจ ดูเหมือนนัยน์ตาของไป๋หลี่ชูจะเล็กลงกว่าเมื่อสักครู่นี้ และไม่มีแววประหลาดพิกลนั่น ราวกับว่าเมื่อครู่นางเกิดภาพหลอนไปเอง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ออกจากประตูตำหนัก ก็เห็นองครักษ์หน่วยสือปาซือของค่งเฮ่อเจียนรายล้อมอารักขาอย่างแน่นหนา นึกในใจว่าที่นางตัดสินใจตามใจไป๋หลี่ชูเมื่อครู่นั้นถูกต้องแล้วจริงๆ

 

 

ไม่เช่นนั้น ดูจากแววตาเย็นชาของพวกค่งเฮ่อเจียนแล้ว ต่อให้นางสู้ชนะไป๋หลี่ชู ขอเพียงเขากลับคำ นางก็ใช่ว่าจะออกจากตำหนักได้ คนพวกนี้คงต้องรุมจับนางเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าส่งไปสังเวยเขาโดยตรงแน่

 

 

และดูจากผลลัพธ์การต่อสู้เมื่อครู่ ไป๋หลี่ชูคนนี้ไม่เหมือนคนที่จะรักษาคำพูดด้วยซ้ำ

 

 

ซวงไป๋เห็นหัวไหล่ของไป๋หลี่ชูเลือดโชก แววตาที่ยิ้มแย้มเสมอพลันค้างในพริบตา รีบก้าวเข้าหาสำรวจตรวจสอบ มองแวบเดียวก็เห็นบาดแผลลึกถึงกระดูก หน้าเขาเปลี่ยนสีทันที แววตาเย็นเยียบเหลือบมองชิวเยี่ยไป๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

 

แม้เขาจะไม่ส่งเสียง แต่ชิวเยี่ยไป๋ย่อมอ่านความหมายในสายตาคู่นั้นออก แต่ครั้งนี้นางคร้านจะเออออด้วย กลับเลิกคิ้วมองซวงไป๋อย่างท้าทาย “พี่ซวงไป๋ไยจึงมองข้าเช่นนี้”

 

 

ดวงตาซวงไป๋ฉายแววอำมหิต “เจ้า…”

 

 

แต่คำพูดที่ยังไม่ได้ออกจากปากกลับต้องกลืนลงไปเพราะสายตาเย็นชาของไป๋หลี่ชู ซวงไป๋เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับไป๋หลี่ชูอย่างนบนอบ “ฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยเชิญหมอหลวงมารักษาบาดแผลของท่านเถิด”

 

 

แม้สภาพร่างกายของฝ่าบาทจะพิเศษ แต่มิได้หมายความว่าบาดแผลเช่นนี้จะไม่เป็นอันตราย

 

 

คราวนี้ไป๋หลี่ชูพยักหน้าน้อยๆ อนุญาต สายตาของเขาเหลือบไปที่รอยแผลรอยหนึ่งที่ลำคอของชิวเยี่ยไป๋ บริเวณด้านขวาของลูกกระเดือก ผิวหนังส่วนหนึ่งม้วนขึ้น มีเลือดแห้งกรังเกาะอยู่ ดูแล้วน่ากลัวอยู่บ้างแต่ดูเหมือนชิวเยี่ยไป๋จะไม่รู้สึก

 

 

ปลายนิ้วของไป๋หลี่ชูสัมผัสกับลำคอด้านข้างของชิวเยี่ยไป๋ จ้องดูรอยแผลราวกับสงสาร “เดี๋ยวให้พวกหมอหลวงรักษาเขาด้วย เสี่ยวไป๋หน้าตาดีเช่นนี้ ถ้าเป็นแผลเป็นจะไม่ดี”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋โดนสัมผัสก็งงงัน และเบี่ยงศีรษะหลบตามสัญชาตญาณพร้อมกับยกมือกุมลูกกระเดือก

 

 

นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่นี้ตอนหลบหลีกการจู่โจมของเขา เคยรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่ลำคอ คิดว่าคงถูกคมมีดสั้นกรีดใส่ แต่เนื่องจากไม่รุนแรงนางจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่เนื่องจากลูกกระเดือกปลอมที่ติดไว้ถูกกรีดขาดไปส่วนหนึ่ง ผิวหนังปลอมม้วนขึ้นจึงดูแล้วเหมือนบาดแผลฉกรรจ์

 

 

“ไม่ต้องหรอก แค่ผิวถลอกเล็กน้อย เมื่อครู่ซ้อมมือกัน ฝ่าบาทบาดเจ็บมากกว่าข้า ยังคงให้หมอหลวงรักษาท่านจะดีกว่า” ชิวเยี่ยไป๋ยืนกรานปฏิเสธ

 

 

แต่เพิ่งพูดจบก็พบว่า ไป๋หลี่ชูกำลังมองดูตนด้วยสายตายะเยียบ

 

 

“เสี่ยวไป๋ เจ้ากำลังปฏิเสธข้าหรือ”

 

 

น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นเยือกทั้งนุ่มนวล ซ้ำยังเจือด้วยความน้อยใจ กลับทำให้ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกเหมือนพลังเย็นเยียบสายหนึ่งบีบตนจนอึดอัด นางลอบด่าในใจว่าไอ้วิตถาร แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อยสร้อยเหมือนจนใจว่า “ไยฝ่าบาทจึงกล่าวเช่นนี้ แม้จะว่าเป็นการฝึกซ้อมฝีมือ แต่ฝ่าบาทก็บาดเจ็บเพราะข้า เทียบกับข้าที่แค่ผิวถลอกแล้ว อาการของฝ่าบาทยังทำให้ข้าปวดใจนะ”

 

 

คำพูดนี้นางเองยังรู้สึกคลื่นเ**ยนตัวเอง แต่ไป๋หลี่ชูกับซวงไป๋ต่างเงียบลง

 

 

ครู่หนึ่ง ไป๋หลี่ชูจึงกุมมือนางอย่างอ่อนโยน ยิ้มพลางกล่าวว่า “เจตนาของเสี่ยวไป๋ข้าย่อมรู้ดี แม้จะเสแสร้งจนชวนอาเจียน แต่ข้ายังคงดีใจ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หางตากระตุก ไอ้หมอนี่ไม่ใช้วาจาที่แสนอ่อนหวานมาฉีกหน้ากันจะได้ไหมเนี่ย

 

 

เล่นละครแล้วไม่ยอมให้อีกฝ่ายสมบทบาท ไม่ให้หน้ากันเลยนี่นา

 

 

นางไม่สนใจสีหน้าพิกลของซวงไป๋ และคร้านจะเล่นละครต่อจึงแสยะยิ้มใส่ไป๋หลี่ชูตรงๆ “อย่างนั้นหรือ เหอะๆ…”

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นนางทำท่านี้ดูเหมือนนึกสนุกจึงเผยรอยยิ้มแสนเอ็นดูรักใคร่ “เดี๋ยวเจ้าไปพักผ่อนก่อนนะ โรมรันกันมาค่อนคืน เจ้าคงเหนื่อยแล้ว ร่างกายคงไม่ไหว”

 

 

แม้ชิวเยี่ยไป๋จะยินดีที่เขาไม่ดึงดันจะจับนางแก้ผ้าอีก แต่ที่เขาพูดออกมาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้ง่าย นางเหลือบเห็นสีหน้าที่ยิ่งพิกลของซวงไป๋ก็อดลอบถอนใจมิได้ และตัดสินใจจะเล่นละครให้ครบฉาก “ขอรับ เย่ไป๋รับด้วยเกล้า แล้วฝ่าบาทเล่า ยังคงให้หมอหลวงรักษาก่อนเถิด”

 

 

ไป๋หลี่ชูลังเล “ข้า…” เขาหยุดลง ยิ้มอย่างนุ่มนวล “มิต้องกังวลข้าหรอก ข้าเป็นลมก่อนสักพักก็ดีขึ้นเอง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋งงงัน “เอ๋…”

 

 

อะไรที่เรียกว่าเป็นลมก่อนสักพัก

 

 

รวดเร็วอย่างยิ่ง ไป๋หลี่ชูก็แสดงให้เห็นว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นลมก่อนสักพัก เพราะหลังจากเอ่ยจบเขาก็ปิดตาแล้วล้มลงไปในทันที ซวงไป๋พลันหน้าพลันเปลี่ยนสียกใหญ่ ตวาดลั่น “ซื่อไป๋ อู่ไป๋!”

 

 

องครักษ์ค่งเฮ่อเจียนสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋หลี่ชู รีบรับร่างของไป๋หลี่ชูไว้อย่างทันท่วงที

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตกใจแทบกระโดด จากนั้นก็เฝ้าสังเกตดูเงียบๆ คิดว่าเขาคงแค่เล่นละคร บุรุษผู้แข็งแกร่งปราดเปรียวที่เมื่อครู่เกือบเอาชีวิตของนาง บัดนี้จะเป็นลมยังอุตส่าห์บอกล่วงหน้าด้วย ช่างน่าหัวร่อเสียจริง

 

 

จนกระทั่งเห็นใบหน้าที่ซีดขาวเหมือนกระดาษ หลังจากซวงไป๋ตรวจดูอาการแล้ว ก็หันมาหานางซึ่งสีหน้าสับสนกล่าวว่า “ฝ่าบาทเพิ่งขจัดพิษเช้านี้ หมอหลวงกำชับไว้ว่าอย่าได้หักโหมใช้กำลังมากเกินไป ให้พักผ่อนมากๆ แต่เมื่อครู่…ฝึกซ้อม…กับใต้เท้า คราวนี้ทนไม่ไหวแล้ว ข้าน้อยต้องนำฝ่าบาทไปให้หมอหลวงรักษาก่อน ใต้เท้าโปรดกลับตำหนักหลังไปพักผ่อนเถิด ถ้าต้องการสิ่งใดให้ใครไปแจ้งกับลิ่วไป๋ก็พอ”

 

 

พูดจบก็หันมององครักษ์น้อยร่างสูงที่ข้างประตู แล้วให้คนอุ้มไป๋หลี่ชูจากไปอย่างรีบร้อน