บทที่ 345 เลี้ยงข้าวขอบคุณ

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 345 เลี้ยงข้าวขอบคุณ
บทที่ 345 เลี้ยงข้าวขอบคุณ

อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างพึงพอใจหลังจากได้ยินการเสนอแนะเรื่องนี้จากปากของอีกฝ่าย อันที่จริงมีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด

ความเข้าใจของคนนอกอย่างเขาเกี่ยวกับบริษัทอิงเหมานั้นไม่มีทางดีเท่ากับคนที่สร้างบริษัทอิงเหมาขึ้นมากับมืออย่างหลี่อิงไห่แน่นอน

“เอาละ ถ้าไม่มีอะไรอีกแล้ว นายกลับไปก่อน เอาไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมฉันจะให้ผู้จัดการหวังติดต่อไป”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชายหนุ่มจะพึงพอใจในการทำงานของอีกฝ่าย เขาก็ยังไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงอยากให้อีกฝ่ายออกไปให้พ้นหน้าโดยเร็วที่สุด

“ค…คืออันที่จริงผมมีอีกเรื่องอยากจะถาม…”

หลี่อิงไห่รีบพูดเมื่อเห็นว่าตัวกำลังโดนไล่

“พูด!” อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว

“คือเลขาของผม หลังจากที่ผมสูญเสียอำนาจในบริษัทไป เธอก็ถูกไล่ออกเพราะเธอเป็นคนใกล้ชิดของผมในอดีต”

หลี่อิงไห่ค่อย ๆ พูดเรื่องที่คาใจ

“ผมไม่มีบุตร และการที่ผมมักจะพาเด็กสาวคนนั้นไปไหนต่อไหนด้วย ผมก็เลยผูกพันกับเธอจนแทบจะมองเธอเป็นลูกสาว เด็กสาวคนนั้นจำเป็นต้องหารายได้จุนเจือครอบครัวของเธอ แต่ตอนนี้เธอถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว เธอจะสนับสนุนค่ารักษาพยาบาลของแม่ได้อย่างไร?”

“นายหมายถึงผู้หญิงที่เผชิญหน้ากับฉันในวันนั้นใช่ไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าสนใจ

“วันนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจจะโต้แย้งกับคุณ เด็กคนนั้นแค่อารมณ์ร้อนไปหน่อย เธอก็เลยทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด ประธานอวี้โปรดให้อภัยเธอสักครั้งได้ไหม?”

ในเวลานี้ หลี่อิงไห่วิงวอนอย่างถึงที่สุด ท่าทางของเขาอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง

“ได้โปรดช่วยผมเรื่องนี้สักหน่อยได้ไหม อย่างน้อย ๆ ผมก็เป็นคนตระกูลหลี่เช่นกัน”

เมื่อฟังถึงประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชา

“นายจำสิ่งที่นายทำในบ้านตระกูลหลี่ก่อนหน้านี้ได้ไหม?”

“ในตอนนั้น นายทำให้ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนว่านายเป็นคนที่คิดแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น นายไม่ปรานีใครเลยแม้กระทั่งคนตระกูลเดียวกันเองเมื่อพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ เอาล่ะ ทีนี้บอกฉันที ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าคนที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์อย่างนายจะเป็นคนที่มีจิตคิดห่วงใยผู้หญิงที่ไม่ใช่ญาติและไม่มีเหตุผลที่มากพอแบบนี้?”

“ผม…”

หลี่อิงไห่พูดไม่ออก เขาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ที่ผ่านมาตัวเขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ ไม่สิ ของตัวเขาเองมากกว่า…

บรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อความเงียบค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหดหู่ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น

“ก็ได้ หลังจากนี้ฉันจะไปครุ่นคิดดูว่าฉันจะสามารถให้อำนาจการตัดสินใจอะไรนายได้บ้าง เพื่อให้นายสามารถทัดทานการตัดสินใจของพวกผู้บริหารเก่าของนายได้ แต่อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”

เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายที่หดหู่อย่างรุนแรง อวี้ฮ่าวหรานจึงมีความคิดอยากให้โอกาสอีกฝ่ายอีกครั้ง

“หืม? คุณ…คุณตกลงงั้นเหรอ?”

หลี่อิงไห่รู้สึกเหลือเชื่อเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่

“ใช่ นายออกไปได้แล้ว!”

ถึงแม้ว่าจะยอมให้โอกาส แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเหมือนเดิม

“ขอบคุณ! ขอบคุณ! ประธานอวี้!”

หลังจากที่หลี่อิงไห่ได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ ตัวของเขาก็สั่นเทิ้มด้วยความดีใจ เขาขอบคุณอย่างซาบซึ้งและจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ประตูห้องปิดลง อวี้ฮ่าวหรานก็นั่งครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ

เขารู้มานานแล้วว่าหลายคนในโลกนี้หรือไม่ว่าโลกไหนก็ไม่สามารถถูกสรุปได้ว่าเลวโดยสมบูรณ์หรือดีหมดจด

ถ้าเขาไม่เห็นความบริสุทธิ์ในแววตาของเลขาสาวคนนั้นที่พยายามจะช่วยเจ้านายของตัวเอง ป่านนี้หลี่อิงไห่ก็คงเริ่มไปนั่งขอทานตามถนนแล้วในเวลานี้

ตระกูลหลี่ไม่มีวันยอมปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่อย่างสุขสบาย

อันที่จริง หลี่อิงไห่ไม่ควรจะขอบคุณเขา แต่ควรจะไปขอบคุณเลขาหญิงคนนั้นที่ช่วยพูดให้มากกว่า

หลังจากจัดการเรื่องหลี่อิงไห่เรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ของบริษัทต่อไป

“ท่านประธาน มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบท่านครับ”

ก่อนเที่ยง ผู้จัดการหวังเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผู้จัดการหวังจะพูดอะไรมากกว่านี้ หญิงสาวที่เดินตามมาก็เดินแทรกเข้ามาในห้องแล้ว

“ฮ่าวหราน!”

คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น เธอคือเฉิงชิวอวี้ที่เพิ่งพบกันเมื่อวานนี้

“หืม? คุณมาได้ยังไง?”

อวี้ฮ่าวหรานผงะเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายจะมาพบเขาในวันนี้

หลังจากมองขึ้นมองลง วันนี้อีกฝ่ายสวมกระโปรงสั้นสีฟ้าอ่อน ซึ่งทำให้เธอดูเซ็กซี่มากกว่าปกติ

ชุดนี้สามารถทำให้ผู้ชายส่วนใหญ่ตาถลนได้ง่าย ๆ

เมื่อเห็นว่าทั้งสองรู้จักกัน ผู้จัดการหวังจึงเดินออกจากห้องไปและปิดประตูลงอย่างแผ่วเบา

จนกระทั่งประตูปิด เฉิงชิวอวี้ก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะของอวี้ฮ่าวหราน

“จะเรื่องอะไรซะอีกล่ะ? ฉันมาที่นี่เพื่อมาขอบคุณคุณที่ช่วยฉันอีกครั้งเมื่อวานนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พ่อกับฉันคงตายไปแล้ว”

เธอจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าเธออย่างฉงน มองดูเขานั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานและกำลังตรวจสอบเอกสาร มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะจับคู่ฉากสังหารโหดของอีกฝ่ายเมื่อวานนี้กับภาพลักษณ์ช่วงเวลานี้

“ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงพวกมันมาที่นี่เพราะผมตั้งแต่แรก”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างสบาย ๆ เขาไม่ได้คิดว่าเรื่องที่เขาช่วยอีกฝ่ายเมื่อวานเป็นเรื่องใหญ่

“ไม่ ฉันได้ยินมาว่าอสรพิษเงินรู้จักพ่อของฉันมาก่อน อสรพิษเงินจึงพุ่งเป้ามาที่พ่อของฉันโดยตรง และไม่ว่าจะยังไง คราวนี้ที่ฉันรอดมาได้มันเป็นเพราะคุณในท้ายที่สุด!”

เมื่อเฉิงชิวอวี้ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เธอส่ายหัวเบา ๆ และลุกขึ้นยืนเปลี่ยนไปนั่งบนโต๊ะทำงานของอวี้ฮ่าวหรานแทน และโน้มตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน

“ไม่รู้แหละ วันนี้คุณต้องให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณ!”

หลังจากนั้น เธอก็กึ่งนั่งกึ่งนอนราบไปบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสาร และทำหน้าวิงวอน

ในความคิดของเธอตอนนี้ ถ้ามีคนนอกเปิดประตูมาเห็นภาพนี้ คงไม่รู้ว่าเธอจะอธิบายอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด

อวี้ฮ่าวหรานปวดหัวกับเรื่องนี้

“ถ้าเป็นการนัดกินข้าวแค่คุณโทรมาผมก็ตกลงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้ก็ได้นี่นา”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เฉิงชิวอวี้ก็ทำหน้ามุ่ยทันที

“ไม่มีทางแน่นอน! ถ้าฉันแค่โทรหา คุณไม่มีทางตกลงไปกินข้าวกับฉันแน่ ๆ ฉันรู้จักนิสัยของคุณดี!”

ก่อนหน้านี้เธอถูกปฏิเสธมาแล้วสองถึงสามครั้ง!

“วันนี้พ่อของฉันให้ฉันหยุดพิเศษหนึ่งวัน โอกาสที่ฉันจะว่างแบบนี้หาได้ยาก ดังนั้นคุณต้องตอบตกลงอย่างเดียว!”

ดวงตาที่งดงามของเธอจับจ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามราวกับว่าเธออยากจะมองเขาให้มากที่สุดไม่อยากขยับหนีไปไหนเลย

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่นาฬิกาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ และพบว่ามันใกล้เที่ยง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงลอบถอนหายใจก่อนที่จะวางเอกสารในมือลงที่โต๊ะและเอ่ยขึ้น

“อืม นี่ก็เที่ยงแล้วพอดี ถ้างั้นพวกเราไปหาอะไรกินกัน มาดูกันว่าคุณหนูเฉิงจะพาผมไปกินอะไร”

เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อยและตอบรับคำเชิญ

“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะไป!”

เฉิงชิวอวี้ยิ้ม

“แน่นอนสิ นี่ไง ผมกำลังจะไปกับคุณแล้ว ตอนนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? แต่คุณเป็นคนเลือกนะว่าจะกินอะไร”

“ได้เลย พวกเราไปกันเลย!”

จากนั้นทั้งสองก็พากันเดินออกจากห้อง

แต่ระหว่างที่พวกเขาเดินในบริษัท เฉิงชิวอวี้ก็รวบรวมความกล้าและคล้องแขนของอวี้ฮ่าวหรานโดยไม่ถามก่อนเลย

ฉากนี้ทำให้พนักงานในบริษัทกระซิบกระซาบกันอย่างเมามัน