บทที่ 356 จักรพรรดิจอมเพ้อเจ้อ
ลานประลองหน้าตัววังมังกรเพลิงดังกังวานด้วยเสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวด
บรรดาลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงได้แต่เฝ้ามองอาจารย์ของตนเองถูกลงโทษอย่างหนักหน่วง
ผลั่ก!
ฉู่ชวิ๋นต่อยใบหน้าหยานหวูซวง ส่งผลให้อีกฝ่ายร้องจ๊าก ก่อนที่ร่างจะลอยกระเด็นออกไป
เปรี้ยง…!
เหลยเป้าและเหยียนชงก็ถูกฉู่ชวิ๋นทุบตีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“พวกท่านอาจารย์น่าสงสารจังเลย”
“ช่างน่าอนาถเหลือเกิน พวกท่านไปทำอะไรให้ท่านจอมมารไม่พอใจนะ”
“นายท่านเป็นผู้ปกครองวังมังกรเพลิงมีฉายาว่าจอมมาร เวลาจอมมารทุบตีคนต้องการเหตุผลด้วยหรือไง?”
หลายคนได้ยินก็คิดว่ามีเหตุผลและพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อได้ระบายความแค้นแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกกลับมาคึกคักแจ่มใส
พวกของหยานหวูซวงยกมือกุมใบหน้า จมูกบวมโต ริมฝีปากบวมเจ่อ
“ฉันช่วยปรับพื้นฐานให้พวกนายเรียบร้อยแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอบคุณกันหรอกนะ”
“ฉันละอยากจะขอบใจมากจริงๆ” หยานหวูซวงกัดฟันพูดด้วยความแค้น
การปรับพื้นฐานอะไรนี่เป็นแค่เพียงข้ออ้างให้ฉู่ชวิ๋นจะได้ทุบตีพวกเขาเท่านั้นเอง
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาปรับพื้นฐานกันใหม่” รอยยิ้มปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าฉู่ชวิ๋น
พวกของเหยียนชงร้องครางออกมาทันที ยังมีวันพรุ่งนี้อีกเหรอ? แบบนี้กะจะฆ่ากันให้ตายเลยหรือยังไง
หยานหวูซวงเป็นคนที่มีสภาพย่ำแย่ที่สุด รอบดวงตาทั้งสองข้างของเขาเป็นรอยเขียวปัดเหมือนกับหมีแพนด้า นับว่าฉู่ชวิ๋นเอาใจใส่เขาเป็นพิเศษจริงๆ
ฉู่ชวิ๋นหันมาพูดอะไรบางอย่างกับถางโร้ว ก่อนที่จะออกจากวังมังกรเพลิง และมุ่งหน้าไปยังภูเขาหลงจี๋
…
ภูเขาหลงจี๋ ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าสู่ที่พักของจักรพรรดิอ๋าวฮวง
“เจ้าหนู หายไปไหนมาตั้งหลายวัน?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงถามพร้อมกับยิ้มกว้าง
ฉู่ชวิ๋นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับห้องเก็บสมบัติของวิหารดวงตะวันด้วยความภาคภูมิใจ ใครจะนึกเลยว่าปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นตามที่คิด
“เห้อ แกพลาดแล้วเจ้าหนู” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดอย่างสมเพชฉู่ชวิ๋น
“อะไรนะ? ผมเนี่ยนะพลาด?” ฉู่ชวิ๋นถามออกมาอย่างร้อนรน
จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองหน้าฉู่ชวิ๋นอยู่ครึ่งค่อนวันด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนกล่าวว่า “200 ตารางเมตร? และไม่มีการวางกำลังคนเฝ้าสมบัติเลยเนี่ยนะ?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าตอบว่า “พวกยุโรปมันประมาทมากเกินไป”
“แกมันโง่เกินไปต่างหาก เจ้าโง่!” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตวาดลั่น
“หมายความว่าไง?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจที่จักรพรรดิอ๋าวฮวงบอก
“ของที่แกคิดว่าเอามาจากห้องเก็บสมบัติของวิหารดวงตะวันน่ะ มันเป็นแค่ของในห้องเก็บสมบัติส่วนตัวของหลุยส์เท่านั้นเอง” จักรพรรดิอ๋าวฮวง พูดอย่างเบื่อหน่อยความโง่ของฉู่ชวิ๋น
อะไรนะ! ฉู่ชวิ๋นถึงกับตกตะลึง
“ไม่เชื่องั้นหรือ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงมองหน้าชายหนุ่มด้วยความเหนื่อยใจ
“ลองทบทวนดูให้ดี สำนักใหญ่ที่มีอายุยืนยาวหลายพันปีจะมีห้องเก็บสมบัติที่ขนาดความกว้างเพียง 200 ตารางเมตรได้ยังไง แถมไม่มีค่ายกลป้องกันและการวางกำลังพลคนเฝ้าสมบัติไว้เลย ที่ไม่มีค่ายกล ข้าเดาว่ามันเคยมีค่ายกลอยู่ แต่ก็คงจะสลายไปตอนที่หลุยส์ตายนั่นแหละ เพราะฉะนั้น แกก็เลยเข้าไปที่นั่นได้ง่าย ๆ แกนี้มันโง่จริง ๆ”
เมื่อลองคิดดูให้ถี่ถ้วน ฉู่ชวิ๋นก็ไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจอีกแล้ว โดยเฉพาะในกรณีนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปที่ยุโรป จึงไม่รู้เลยว่าวิถีชีวิตของชาวตะวันตกเป็นยังไงบ้าง และจากที่จักรพรรดิอ๋าวฮวงบอกไม่ต้องสงสัยเลยว่าห้องเก็บสมบัติที่แท้จริงคงมีกำลังพลอารักขาอยู่อย่างเข้มงวด วิหารดวงตะวันคงไม่ปล่อยให้ใครเล็ดลอดเข้าไปได้ง่าย ๆ แน่
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเสียใจขึ้นมา ตาแก่อ๋าวฮวงนี่เห็นเขามีความสุขหน่อยไม่ได้จริง ๆ ถึงรู้ว่าทำพลาดก็ไม่น่ามาหักหน้ากันแบบนี้
“เกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพราะของเก่าเก็บในห้องคนอื่น แบบนี้มันน่าภูมิใจตรงไหน?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงยังคงพูดแทงใจดำชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
ฉู่ชวิ๋นได้แต่จ้องมองชายชรา ไม่พูดอะไรอีกต่อไปแล้ว ยิ่งพูดเรื่องนี้ต่อหน้าจิงหง เขายิ่งรู้สึกอับอายมากกว่าเดิม
จิงหงเฝ้ามองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาอ่อนโยน เธอยังคงงดงามและสง่างามเหมือนเช่นเคย
ฉู่ชวิ๋นจดจำได้ดีว่าครั้งแรกที่พบกัน จิงหงมองเขาไม่ดีมาก ๆ กว่าจะเข้าใจกันก็ผ่านเรื่องราวมามาก ตอนนี้แม้เธอจะจำเขาไม่ได้ แต่จิงหงตอนนี้ไม่ได้เกลียดชังเขาก็ดีแล้ว
“ท่านบาดเจ็บหรือไม่?” จิงหงช่วยรักษาหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุยเธอจ้องมองฉู่ชวิ๋นอย่างรอคอยคำตอบ
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ จิงหงกำลังห่วงใยเขา พลัน ความเหนื่อยล้าทั้งมวลก็สลายหายไปในพริบตาเดียว เขาส่ายศีรษะปฏิเสธ
จิงหงพยักหน้า เส้นผมสีม่วงเงินราวคริสตัลสั่นไหว
“ไปหานางเถอะ!” จิงหงกล่าว
ฉู่ชวิ๋นผงกศีรษะและเดินไปที่โลงน้ำแข็ง ตั้งแต่ที่หลอมรวมวิญญาณเรียบร้อย ฮวาชิงหวู่ก็ดูมีชีวิตชีวามาก ราวกับว่าพร้อมที่จะลืมตาขึ้นมาได้ตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโลงน้ำแข็ง บอกเล่าเรื่องราวว่าตนเองไปประสบพบเจออะไรมาบ้าง
“เสี่ยวหวู่ ถ้าผมไปไหนมา ผมจะมาเล่าให้คุณฟังทุกครั้งเลยนะ คุณจะได้ไม่เหงา”
“เสี่ยวหวู่ ตื่นได้แล้ว! คุณรู้หรือเปล่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน ถ้าคุณนอนหลับอยู่แบบนี้คุณจะไปรู้ได้ยังไง”
“…”
ฉู่ชวิ๋นเกาะติดอยู่ข้างโลงศพของฮวาชิงหวู่ตลอดทั้งวัน
เขาเชื่อว่าเธอกำลังรับฟังเรื่องที่เขาเล่าอยู่
…
ณ โต๊ะหินขนาดเล็กหนึ่งตัว ควันสีขาวลอยขึ้นจากถ้วยน้ำชา จักรพรรดิอ๋าวฮวงยังคงรื่นรมย์เหมือนเคย
“ตาเฒ่าอ๋าวฮวง ถ้าคุณไปเผชิญหน้ากับตาแก่คนนั้น คุณคิดว่าตัวเองมีโอกาสชนะบ้างไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม หลังจากเล่าเรื่องราวของชายชราที่เขาพึ่งเจอตอนอยู่ที่วิหารดวงตะวัน
จักรพรรดิอ๋าวฮวงขมวดคิ้วและหันไปมองทางอื่น เหมือนกับว่าอยากจะอัดใครสักคน
“ก็แค่เศษขยะคนนึง” ในที่สุด จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เศษขยะ? ฉู่ชวิ๋นเชื่อว่าชายชราคนนั้นมีฝีมือไม่ต่ำไปกว่าขั้นจักรพรรดิ และแข็งแกร่งยิ่งกว่าหลุยส์หรือสมเด็จพระสันตะปาปาเสียอีก
ในการต่อสู้ที่เขตชายแดน ฉู่ชวิ๋นรู้สึกแปลกใจตั้งแต่ที่เห็นจักรพรรดิอ๋าวฮวงสามารถระเบิดร่างของหลุยส์ได้ด้วยการโบกมือแค่ทีเดียวแล้ว มันยังไงกันแน่
“ตาเฒ่าอ๋าวฮวง บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้ ปิดบังอะไรผมอยู่สินะ?” ฉู่ชวิ๋นถามพร้อมกับถลึงตามองจักรพรรดิอ๋าวฮวง
คนถูกถามยกถ้วยชาในมือขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนที่จะหันมามองฉู่ชวิ๋น “เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรละ? ฉันมีความลับอยู่มากมาย เจ้าไม่มีวันรู้ได้หมดหรอกนะ”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกาย “ผมหมายถึงเรื่องระดับพลังของคุณ?”
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงแข็งแกร่งขึ้นมาก
“เจ้าคิดว่าข้าเลื่อนระดับพลังงั้นสินะ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงถามกลับมา
ฉู่ชวิ๋นชะงักไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง”
“ไม่รู้สิ มันอาจไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพูดอย่างเบื่อหน่าย
“แต่ผมรู้สึกเหมือนคุณเลื่อนระดับพลังมา” ฉู่ชวิ๋นบอกข้อสงสัยของตัวเอง
“ท่านผู้อาวุโสอ๋าวฮวง แข็งแกร่งตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก” จิงหงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่ชวิ๋นก็หันขวับไปมองจักรพรรดิอ๋าวฮวงด้วยความตกตะลึง “นี่หลอกผมมาตั้งแต่แรกเลยเหรอ?”
“ข้าไปหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็ตอนแรกคุณไม่ได้มีพลังแบบนี้” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความหงุดหงิด
“นั่นแกพูดเองเออเองต่างหาก” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบ
“แต่คุณก็ไม่ได้ปฏิเสธ” ฉู่ชวิ๋นอยากรู้คำตอบให้ได้
จักรพรรดิอ๋าวฮวงถอนหายใจ “เห้อ แกไม่คิดบ้างหรือไงว่าฉันแข็งแกร่งแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นอ้าปากค้าง “ก็ตอนนั้นที่ผมถามว่า คุณฝึกพลังคืบหน้าแล้วใช่ไหม คุณก็พยักหน้านี่นา”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงส่ายศีรษะและพูดออกมา “เจ้ามันโง่เหลือเกิน ใครพูดอะไรก็เชื่องั้นเหรอ”
ฉู่ชวิ๋นเชิดปลายจมูกขึ้น ตาแแก่นี่เป็นอะไร แข็งแกร่งขนาดนี้แล้วคิดวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่? หรือว่าจะทำตัวไม่สนใจโลกแบบนี้ต่อไป
“แล้วทำไม คุณยังมีหน้ามาขอให้ผมคอยคุ้มครองชาวจีนอยู่อีก?” ฉู่ชวิ๋นเดือดดาลไม่น้อยที่เห็นว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงยังคงเกลียดคร้านอยู่ดั่งเดิม
“คุณแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ทำไมต้องให้ผมช่วยด้วย” ฉู่ชวิ๋นสงสัยเรื่องนี้มาก
“นั่นเป็นเพราะว่าข้ายังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรจะให้ข้าลงมือน่ะสิ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ ก่อนหันหน้ามองไปทางอื่น “แค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“ไม่เข้าใจกับผีน่ะสิ” ฉู่ชวิ๋นอดสบถออกมาไม่ได้ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์แสนกลคนนี้ ร่างกายก็แข็งแรงดี พลังลมปราณก็ร้ายกาจยิ่ง แต่กลับยังทำตัวเรื่อยเปื่อยตกปลาจิบน้ำชาอยู่เช่นเดิม แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาโกรธได้ยังไง?
“ฉู่ชวิ๋น ให้เวลาท่านผู้อาวุโสอ๋าวฮวงสักหน่อยเถอะ” จิงหงว่า
“ยังต้องให้เวลาอะไรอีก แค่เขาออกไปแสดงตัวพูดไม่กี่คำ ใครหน้าไหนมันจะกล้าก่อเรื่อง?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความไม่พอใจ แถมจิงหงเป็นเมียของเขาทำไมต้องไปช่วยพูดให้จักรพรรดิอ๋าวฮวงด้วย ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาชอบกล
“ท่านผู้อาวุโสอ๋าวฮวงถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้าจำกัดพลังเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ เพราะงั้นถึงแม้ว่าท่านผู้อาวุโสจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่ยิ่งใช้พลังก็จะถูกพันธนาการแห่งท้องฟ้าดูดกลืนพลังไปจนหมดสิ้น”
“เธอก็รู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ เรียกได้ว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงเล่าความลับให้จิงหงฟังทุกอย่างจริงๆ
ฉู่ชวิ๋นพยายามเก็บอาการหึงหวง ในขณะที่จ้องมองจักรพรรดิอ๋าวฮวงด้วยสายตาเย้ยหยัน “คุณเก็บความลับไม่อยู่เลยนะ”
“ข้าไม่เห็นต้องปิดบังอะไรลูกศิษย์ข้าสักหน่อย” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตอบ
“ลูกศิษย์?” ฉู่ชวิ๋นหันขวับไปมองจิงหงแล้วจึงหันกลับมามองจักรพรรดิอ๋าวฮวง พูดด้วยความตื่นตัว “คุณรับจิงหงเป็นลูกศิษย์แล้วเหรอ?”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงพยักหน้า จิงหงก็พยักหน้า
ฉู่ชวิ๋นลุกพรวดขึ้นยืนโผงผาง พูดด้วยความไม่พอใจ “พอกันที ทำไมฉันต้องทนให้เมียของฉัน ไปกราบไหว้คนอื่นเป็นอาจารย์กัน?”
จิงหงพูดอะไรไม่ออก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ชวิ๋นถึงต้องเดือดดาลขนาดนี้ด้วย?
จักรพรรดิอ๋าวฮวง นั่งอยู่ที่เดิม ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังเดิม “ฝีมืออย่างจิงหง สามารถบรรลุเป็นจักรพรรดิเซียนได้ไม่ยาก”
ฉู่ชวิ๋นแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธ “แล้วไง ไม่ช้าก็เร็ว ผมก็ต้องได้กลับไปเป็นจักรพรรดิเซียนอยู่แล้ว”
“รอให้แกกลับไปเป็นจักรพรรดิเซียนได้ก่อนแล้วค่อยมาโม้ดีกว่า” จักรพรรดิอ๋าวฮวงกล่าวอย่างรำคาญ
ฉู่ชวิ๋นขึงตา เส้นผมปลิวไสว ลมปราณพวยพุ่งออกมาจากร่างกายเป็นลักษณะที่บอกว่าชายหนุ่มไม่อยากพูดคุยด้วยอีกแล้ว
จิงหงตื่นกลัว เธอยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าฉู่ชวิ๋นเดือดดาลด้วยเหตุอันใด “ฉู่ชวิ๋น อย่าเพิ่งโกรธไปเลยนะ ท่านผู้อาวุโสอ๋าวฮวงมีเจตนาดี”
“เจตนาดีอะไรกัน เธอเป็นภรรยาฉันนะ จะไปกราบไหว้เขาเป็นอาจารย์ได้ยังไง เธออยากจะให้ฉันกราบไหว้เขาอีกคนด้วยงั้นเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นระงับความเดือดดาลเอาไว้ไม่อยู่ หันขวับกลับไปหาจักรพรรดิอ๋าวฮวงแล้วพูดขึ้น “ยกเลิกการเป็นศิษย์เป็นอาจารย์เดี๋ยวนี้เลยนะ”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม สถานการณ์ทำให้จิงหงเริ่มไม่สบายใจ
“ขอบอกเลยนะ ถ้าคุณไม่ยกเลิกการเป็นลูกศิษย์เป็นอาจารย์ครั้งนี้ ผมจะไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีก ผมไม่สนใจชีวิตของชาวจีนหลายพันล้านคนนั่นด้วย” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงแข็งกระด้าง
“ฉู่ชวิ๋น ใจเย็น ๆ ก่อนสิ ท่านผู้อาวุโสอ๋าวฮวงมีความรอบรู้และฝึกตนมาอย่างยาวนาน ต่อให้เป็นในดินแดนเซียนก็หาคนที่มีฝีมือทัดเทียมกับเขาไม่ได้หรอกนะ เมื่อมีผู้อาวุโสคอยชี้แนะ ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน” จิงหงเข้ามากระซิบข้างหูฉู่ชวิ๋นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ฉันเองก็ความรู้มากมายเหมือนกัน ฉันเป็นจักรพรรดิเซียนมาก่อนเลยนะ ฉันไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาหรอก” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างถือตัว
“เจ้าหนู แกว่าตัวเองเคยเป็นจักรพรรดิเซียนมาก่อนใช่ไหม ตอนนั้นแกมีฉายาว่าอะไรล่ะ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงถามอย่างสงสัย
ฉู่ชวิ๋นเชิดหน้าขึ้น สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปในขณะที่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “จักรพรรดิเซียนฉู่ชวิ๋น หรือเป็นที่รู้จักกันในฉายาว่า จักรพรรดิผู้บ้าเลือด”
“โอ้โห…” จักรพรรดิอ๋าวฮวงอุทานด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ไม่มีใครเรียกแกว่าจักรพรรดิจอมเพ้อเจ้อบ้างเลยหรือไง?”
ฉู่ชวิ๋นถลึงตาจ้องมอง “หมายความว่าไง?”
“ไหนแกว่าเคยเป็นจักรพรรดิเซียน? คำพูดง่าย ๆ แค่นี้แกยังไม่เข้าใจอีกหรือไง?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงตั้งใจยั่วยวนกวนโทสะ
“ท่านอาจารย์คะ อย่าเพิ่งโมโหเลย เดี๋ยวผู้น้อยจะเกลี้ยกล่อมเขาเอง” จิงหงเข้าใจว่าจักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังโกรธ
“ตาเฒ่า อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้วฉันจะกลัว!” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นกลายเป็นสีแดงก่ำ
“ไม่กลัวจริงเหรอ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงหัวเราะด้วยความตลกขบขัน หลังจากนั้นจึงยกมือขึ้นแล้วดีดนิ้วใส่ฉู่ชวิ๋น
ตู้ม!
ฉู่ชวิ๋นลอยกระเด็นไปไกลร่างกระแทกเข้ากับภูเขาลูกหนึ่งอย่างรุนแรง
จิงหงตกตะลึงสุดขีด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จักรพรรดิอ๋าวฮวงกำลังมีโทสะจริง ๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ทำแบบนี้
ฉู่ชวิ๋นรีบมุดออกมาจากกองเศษหิน ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเทาด้วยฝุ่นผง ก่อนพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ตาเฒ่า กล้าดีมายังไงชิงลงมือก่อน?”
ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอับอาย จักรพรรดิอ๋าวฮวงชูนิ้วชี้ไปที่ฉู่ชวิ๋นแล้วพูดอย่างเบื่อหน่อย “นี่เขาเรียกว่ามือหรือไง? นี่เขาเรียกว่านิ้ว โดนแค่นี้ก็กระเด็นไปไกลเสียแล้ว เนี่ยเหรอจักรพรรดิเซียน”
“วันนี้ฉันจะสั่งสอนแกเอง” ฉู่ชวิ๋นสะกดกลั้นโทสะไม่ไหวอีกต่อไป เขาคือจอมมารฉู่ชวิ๋นผู้น่าหวั่นเกรง แต่กลับต้องลอยกระเด็นไปไกลเพียงเพราะถูกดีดนิ้วใส่ รู้ถึงไหนคงอายไปถึงนั่น ชายหนุ่มคำรามออกมาสุดเสียง
“มาสู้กัน!”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยิ้มเยาะ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกสะบัดเบา ๆ
วูบ!
ลำแสงสีทองซัดใส่ฉู่ชวิ๋น ความสว่างไสวของมันแผ่สยายปกคลุมทั่วผืนฟ้า