ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 188 ท่านอ๋องอ่อนโยนที่สุดในชีวิต
ที่ผ่านมาหยุนอี่ว์โหรวไม่เคยผลักเขาแบบนี้เลย นอกจากนี้แล้ว เท้าของนางไม่ใช่ว่าเจ็บอยู่หรอกรึ?
หนานหว่านเยียนเห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ แล้วพูดประชดประชันเขาไปอีกหลายประโยคว่า
“นี่คือผู้หญิงอ่อนแอที่เจ้าเฝ้าบอกว่า ‘ไม่มีแม้แต่แรงจะหักคอไก่’ งั้นรึ? เมื่อวินาทีที่แล้ว นางยังร้องห่มร้องไห้ดั่งดอกสาลี่ต้องสายฝน พูดใส่ร้ายข้าปาว ๆ ว่าถูกข้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บที่ขาอยู่เลย มาตอนนี้กลับวิ่งเร็วจี๋อย่างกับเหาะได้ มันดูเหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึ?”
“วิ่งได้เร็วขนาดนั้นก็ถือว่าช่างเถอะ แต่ยังอุตส่าห์มีแรงผลักเจ้าได้อีก กู้โม่หาน นี่สรุปแล้วเจ้าเป็น ‘เทพแห่งสงคราม’ ที่อ่อนแอเกินไป หรือว่าเป็นหยุนอี่ว์โหรวของเจ้าที่แข็งแกร่งเกินไปกันแน่ ?”
เซียงอวี้ชมดูอยู่อีกด้านด้วยอาการตกใจจนกรามแทบร่วงลงมาแล้ว นางมองดูเงาแผ่นหลังของหยุนอี่ว์โหรวที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้ว่าในใจจะสับสนงุนงงอย่างหนัก แต่ก็อดปรบมือร้องชมในใจว่าดีไม่ได้
แต่ในชั่วอึดใจที่นางย้ายสายตากลับมา ก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้โม่หานเปลี่ยนเป็นเย็นเฉียบราวภูเขาน้ำแข็ง ทั้งร่างเปล่งรัศมีความเย็นเยียบอันทรงพลังจากภายในแผ่พุ่งออกมาสู่ภายนอก
แรงกดดันนี้ทำให้นางถึงกับตัวสั่นสะท้าน อดหดหัวเข้าไปในคอเสื้อด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้ ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ คอยเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลง
ใบหน้าขาวกระจ่างดุจดั่งมงกุฎหยกของกู้โม่หานเย็นเฉียบ จ้องมองไปที่หนานหว่านเยียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ถ้าไม่เพราะเจ้าบีบบังคับคนอื่นจนมาถึงจุดนี้ โหรวเอ๋อร์จะพูดจาให้ร้ายเจ้าด้วยคำพูดที่เกินจริงแบบนี้ได้อย่างไร?”
“นางมาอยู่ที่จวนนี้เพียงลำพังไม่มีใครให้พึ่งพิง ตอนนี้ข้ามอบสิทธิ์การดูแลจวนให้นางไป โหรวเอ๋อร์รู้ฐานะของตัวเองดี ถึงได้มาบอกกล่าวให้เจ้ารู้ไว้ก่อน นางมีความผิดอะไรล่ะ?”
แม้จะพูดแบบนี้ แต่ในใจกู้โม่หานก็รู้ดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ อย่างน้อยโหรวเอ๋อร์น่าจะโกหก แต่เมื่อครู่นี้เขากลับปกป้องนางแล้วโต้เถียงกับหนานหว่านเยียนแทน
แถมยังถูกหนานหว่านเยียนด่าว่าตาบอด มาตอนนี้จะให้เขาก้มหน้ายอมรับว่าตัวเองผิด เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
เขาไม่มีทางยอมก้มหัวให้ลูกสาวของศัตรูอย่างเด็ดขาด!
นอกจากนี้ ท่าทางเมื่อครู่นี้ของโหรวเอ๋อร์ ก็เป็นอะไรที่เขาชัดเจนกระจ่างแจ้งดี มั่นใจได้เลยว่ามันต้องเป็นฝีมือของสองหนูน้อยนั่นแน่ ๆ เพราะครั้งก่อนที่เขาตกอยู่ในกำมือของสองหนูน้อย ความทรงจำนั้นยังคงสดใหม่ไม่จางหายไปเลย!
หนานหว่านเยียนมองไปที่กู้โม่หาน ถึงกับพูดไม่ออกขั้นสุด
กู้โม่หาน ผู้ชายที่บอดทั้งตาบอดทั้งใจคนนี้ ยังถึงกับพูดว่าหยุนอี่ว์โหรวถูกนางบังคับจนหมดหนทาง ช่างรู้วิธีปกป้องซะจริง ๆ
“ข้าคร้านจะพูดกับเจ้าแล้ว เจ้าอยากปกป้องนางมากก็ปกป้องไปเถอะ ต้องมีสักวันที่เจ้าจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางชัด ๆ แค่กลัวว่าพอถึงเวลานั้น เจ้าต้องนึกเสียใจในภายหลังขึ้นมาแน่!”
นางก้าวขาออกไปได้ยังไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกกู้โม่หานคว้าข้อมือไว้แน่น “ข้าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า แต่ข้าจะถามเจ้าว่าเด็กน้อยสองคนนั้นอยู่ที่ไหน?”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เซียงอวี้ก็รู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย
ท่านอ๋องสีหน้าจริงจังขนาดนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเดาออกแล้ว ว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของพวกคุณหนูน้อย ? เลยคิดจะไปล้างแค้นให้พระชายารองหยุน?
หนานหว่านเยียนระวังตัวขึ้นมาทันที สะบัดมืออีกฝ่ายอย่างแรง “เจ้าถามหาพวกนางทำไม? เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
ทำไมเรื่องของพวกลูกสาวของเขา จะไม่เกี่ยวกับเขาล่ะ?
กู้โม่หานขมวดคิ้วมุ่น อดไม่ได้ที่จะลากตัวหนานหว่านเยียนเข้าไปในเรือน หนานหว่านเยียนพยายามพลิกฝ่ามือ หมายจะฟันสันมือใส่อีกฝ่าย แต่กลับถูกกู้โม่หานจับเอาไว้ได้
ข้อนิ้วมือที่แข็งแรงมองเห็นโครงกระดูกได้ชัดเจนของชายหนุ่ม ยึดกุมข้อมือของหนานหว่านเยียนเอาไว้อย่างแน่นหนา
วินาทีต่อมา ชายหนุ่มก็ผลักนางเข้าไปในเรือนชั้นใน
“เจ้าทำตัวดี ๆ อยู่ที่นี่ไปซะ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอก เช่นนั้นข้าไปตามหาเอาเองก็ได้!”
เขาลงกลอนประตู หนานหว่านเยียนทั้งเตะทั้งถีบประตูอย่างบ้าคลั่ง พูดด้วยความร้อนรนระคนโกรธเคืองว่า
“กู้โม่หาน! มีอะไรก็เอามาลงที่ข้า เจ้าจะไปแก้แค้นเอากับเด็กตัวเล็ก ๆ สองคน นี่ถือเป็นความสามารถของเจ้างั้นรึ?!”
“ข้าเตือนเจ้าไว้เลยนะ ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องพวกนางแม้แต่เส้นผมสักเส้นล่ะก็ ข้าจะขอแลกชีวิตกับเจ้า ! เซียงอวี้! เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้! เปิดประตู!”
ในสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ แม้ว่าเซียงอวี้จะได้ยินแล้วก็จริง แต่นางก็ไม่กล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
กู้โม่หานแค่ปรายตามองครั้งเดียว ก็ทำให้นางหยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
กู้โม่หานชำเลืองมองไปทางเซียงอวี้อย่างเย็นชา ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวทว่าเย็นเยียบ
“จับตาดูพระชายาให้ดี ถ้าปล่อยให้นางออกมาได้ เจ้าก็จงไปรับโทษซะ!”
หนานหว่านเยียนผู้หญิงหน้าโง่นี่ ถึงกับคิดว่าเขาจะไปตามหาสองหนูน้อยเพื่อคิดบัญชีอย่างนั้นรึ?
เขาทำหน้าบูดบึ้ง สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินเชิดหน้าออกไป
หนานหว่านเยียนเตะประตูอย่างร้อนรนกังวลใจ เห็นเงาร่างของกู้โม่หานหายเข้าไปในเรือนหน้า เคร่งเครียดจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ความรู้สึกของนางที่อยากปกป้องลูกสาวในเวลานี้ ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจได้เลย
“เซียงอวี้! เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
………………………
กู้โม่หานเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงเรือนหลัง จนพบเข้ากับสองศรีพี่น้องที่กำลังให้รางวัลล่ากับปู๋ล่าอยู่กับอวี๋เฟิง
ซาลาเปาน้อยมัดผมเป็นทรงมวยคู่ ใบหน้าน้อย ๆ อันอ่อนเยาว์ขาวกระจ่างดูมีเลือดฝาด เกี๊ยวน้อยมัดผมทรงหางม้าที่ดูคล่องแคล่วปราดเปรียวรวบไปไว้ด้านหลัง ดวงตาดำขลับเป็นประกายสดใส เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
กู้โม่หานมองดูจากที่ไกล ๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาพวกนาง
ซาลาเปาน้อยเพิ่งบังเอิญเห็นเงาร่างของกู้โม่หานที่กระทบกับแสงสาดส่องมา ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมกว๊านสีเงิน ดูสง่างามและโดดเด่นอย่างยิ่ง
นางหยุดการเคลื่อนไหวที่มือไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็รีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเกี๊ยวน้อยด้วยท่าทางหวาดกลัว ก่อนจะยื่นนิ้วมือขึ้นมา แล้วชี้ไปที่กู้โม่หาน “พี่สาว…..”
เมื่อเกี๊ยวน้อยเห็นดังนั้น คิ้วที่โก่งดั่งพระจันทร์เสี้ยวก็ขมวดเป็นปม รีบเหยียดแขนออกไปบังหน้าซาลาเปาน้อย ดวงตาเป็นประกายวาววับ พูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้แบบเด็ก ๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
“เจ้าคนชั่ว ข้ารู้นะว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ใครทำอะไรไว้คนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ ผู้หญิงคนนั้นถูกข้าทำจนเป็นแบบนั้นเอง แต่ก็สมน้ำหน้านางแล้วนี่ มีอะไรก็มาลงที่ข้า อย่าได้คิดจะรังแกซาลาเปาน้อย!”
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความตั้งใจที่เกิดจากความคิดชั่วแล่นของนาง เป็นนางคนเดียวที่ชี้นำ สุนัขสองตัวนั้นไม่มีความผิด ส่วนซาลาเปาน้อยก็ยิ่งไม่ใช่ตัวการหลัก
เมื่ออวี๋เฟิงเห็นเขา ก็รีบเข้ามาโค้งคำนับด้วยท่าทางขลาดกลัวทันที “ท่านอ๋อง”
เมื่อครู่นี้ตอนที่พระชายารองเกิดเรื่อง ไปจนถึงตอนที่วิ่งเตลิดเปิดเปิงหนีไป เขากับคุณหนูน้อยทั้งสองต่างก็เห็นชัดเจนกับตา รอจนคุณหนูทั้งสองพอใจแล้วถึงยอมกลับมาที่เรือนหลังกับเขา มาตอนนี้….. ตอนนี้คงไม่ใช่ว่าท่านอ๋องคิดจะแก้แค้นให้พระชายารอง เลยจะมาคิดบัญชีเอากับคุณหนูทั้งสองหรอกนะ?
แต่กู้โม่หานกลับไม่สนใจอวี๋เฟิง สายตาของเขาจับจ้องไปที่เกี๊ยวน้อย
แม่หนูน้อยคนนี้ยืดแผ่นหลังเหยียดตรง ท่าทางไม่เกรงกลัวอำนาจใด ๆ ตั้งท่าพร้อมสู้ตายเพื่อปกป้องน้องสาวนั่น ทำให้เขารู้สึกชื่นชมนางอย่างมาก
ในห้วงความทรงจำ เขาหวนนึกถึงความห้าวหาญ ยืนหยัดเพื่อปกป้องเหล่าทหารของเขาในสนามรบขึ้นมา เขาอายุยังน้อยมุทะลุดุดัน แต่ความกระหายเลือดก็พลุ่งพล่านพร้อมชนไม่มีถอย
เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในชีวิต
“โอ้? สมน้ำหน้าอะไรรึ?”