Ch.148 – สับสน

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.148 – สับสน

 

“เรื่องนี้หลินเซิงจะต้องสร้างปัญหาให้แก่เธอแน่นอน แต่ขณะเดียวกัน เรื่องที่เฉินหมิงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลินเซิงด้วย เบื้องหลังอันโสมมนี่มันอะไรกัน? ว่าแต่เธอต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปจริงๆน่ะหรอ มันอาจสร้างปัญหาอีกมากมายตามมานะ” เติ้งเหนียนกล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงพยักหน้าหนักแน่น

 

“ยังไงผมก็จะตรวจสอบมันต่อไป”

 

ความมุ่งมั่นนี้ไม่ใช่เพราะแค่เหตุการณ์ที่องค์กรมืดลอบโจมตีเพื่อนๆของเขา แต่ยังเพราะในชีวิตก่อนหน้า องค์กรร้ายได้พลิกผันชะตากรรมของคนๆหนึ่ง ซึ่งเดิมสมควรได้กลายเป็นอัจฉริยะ จนต้องมาตกระกำลำบาก เศร้าเสียใจจวบจนสิ้นชีวิต … ความแค้นนี้ใครเล่าจะเข้าใจ?

 

แม้ตอนนี้ชีวิตของฉินเฟิงยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ความเกลียดชังในองค์กร Z ก็ยังไม่เสื่อมคลาย

 

เขาจะผลักดันตนเองให้พัฒนาขึ้น แกร่งขึ้นจนเพียงพอ และเมื่อไม่มีใครสามารถสร้างปัญหาให้เขาได้ ถึงเวลานั้นเขาสาบานว่าจะล้างบางองค์กร Z ให้หายไปจากโลกใบนี้!

 

เขาจะไม่อนุญาติให้องค์กรของพวกมันดำรงอยู่ได้อีกต่อไป!

 

เป้าหมายข้างต้น คือแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า

 

“ในเมื่อเธอมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ทำมันเถอะ ส่วนเรื่องหลินเซิงฉันจะช่วยเธอเอง” เติ้งเหนียนกล่าว

 

ฉินเฟิงพยักหน้า เขาไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของเติ้งเหนียน

 

“ผมจะอยู่ในเมืองเฉิงหยางต่ออีกสัก 2 – 3 วัน ยังไม่กลับไปพร้อมกับทุกคนทันทีนะครับ”

 

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

 

แต่แน่นอน ว่าฉินเฟิงยังไม่แยกตัวจากไปทันที เขายังคงเดินขึ้นไปในรถกับทีมของตัวเองก่อน

 

“ฉินเฟิง พวกเราได้รับผลประโยชน์มหาศาลเลยในวันนี้ นายคิดว่าควรจะแบ่งกันยังไงดี?” โจวฮ่าวถาม

 

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงต้องตัดสินใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผลงานหลักย่อมเป็นของฉินเฟิง เลยเป็นธรรมดาที่โจวฮ่าวเอ่ยปากถาม

 

“คิดอะไรมาก ก็แบ่งเท่าๆกันนั่นแหละ!” ฉินเฟิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ไม่ได้นะ แบบนั้นไม่ได้!” จ้าวหยูแทรกทันควัน “ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะนาย พวกเราคงไม่ได้รับผลประโยชน์มากถึงขนาดนี้ ไหนจะเรื่องรางวัลจากการจัดอันดับอีก”

 

จางเทียนยังถึงขั้นเอ่ยปาก “งั้นให้ฉินเฟิง 40% ส่วนคนอื่นๆคนละ 20% ก็แล้วกัน ”

 

“ก็ดีนะ ฉันเห็นด้วย” โจวฮ่าวพยักหน้า

 

ฉินเฟิงยิ้ม แม้ไม่ตอบรับแต่ก็มิได้ปฏิเสธ ยอมเออออไปกับข้อเสนอนี้

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากแบ่งรางวัลกัน ฉินเฟิงก็ได้ส่งบางอย่างเพิ่มเติมให้กับโจวฮ่าวผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “นี่สำหรับนาย! ผลไม้สมาธิ!”

 

โจวฮ่าวจ้องค้างไปทางฉินเฟิง พิมพ์ข้อความผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “แต่นายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้นะ นายต่างหากที่สมควรได้รับมัน เอากลับไปเถอะ ถ้าไม่ใช้ก็เอาให้จ้าวหยูจะดีมากๆ ส่วนฉันขอแค่สมุนไพรวิญญาณเล็กๆน้อยๆก็พอแล้ว เจ้าผลไม้นี่ไม่จำเป็นเลย!”

 

“ไม่ได้หรอก ผู้ใช้วรยุทธโบราณเองก็ต้องการพลังสมาธิเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่มันอาจช่วยชีวิตในเวลาสำคัญได้ ยิ่งไปกว่านั้น นายคิดว่าต้นไม้สมาธิมันออกผลแค่ 3 ลูกจริงๆน่ะหรอ?”

 

เมื่อแชทกันถึงจุดนี้ ใบหน้าของโจวฮ่าวเริ่มปรากฏร่องรอยของความสับสน

 

ฉินเฟิงไม่ตอบ เขาเพียงยกมือขึ้นลูบหัวเสี่ยวไป๋ที่นอนม้วนอยู่บนไหล่ด้วยความรัก

 

ทันใดนั้นโจวฮ่าวคล้ายตระหนักถึงบางสิ่ง

 

เขาย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเหมืองทองแดงฉิงซาน

 

ที่แท้ … วันแรกที่เสี่ยวไป๋หายไป เพราะมันไปขโมยผลไม้สมาธิมานั่นเอง!

 

ย้อนนึกไปถึงช่วงเช้าที่เห็นบนต้นไม้สมาธิแทบจะเปลือยเปล่า โจวฮ่าวพลันรู้สึกว่าเมืองเฉิงหยางในฐานะประธานจัดงานสวนล่า ช่างโชคร้ายอะไรอย่างนี้!

 

ทั้งสองมิได้เอ่ยคำใด แต่ก็เข้าใจกันโดยปริยาย กระทั่งบันทึกข้อความสื่อสารยังถูกลบทิ้ง

 

รอจนรถโรงเรียนขับออกจากฐานทัพทหาร ฉินเฟิงค่อยลงจากรถ ก้าวสู่ถนนที่พลุกพล่าไปด้วยผู้คน

 

นักเรียนหลายคนมองมาทางฉินเฟิงด้วยความอิจฉา เพราะยังไงซะ ทุกคนล้วนเพิ่งเคยมาเหยียบเมืองเฉิงหยางเป็นครั้งแรก และการได้ลงไปเดินเล่นในเมืองนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นการเปิดวิสัยทัศน์ สามารถได้พบ ได้เห็นมุมมองต่างๆของโลกได้กว้างขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม พวกนักเรียนไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะน่ากลัวว่าพวกเขาจะไม่มีเงินมากพอให้มาเที่ยวเล่นที่นี่ ไหนจะไม่ใช่ถิ่นของตนไร้ซึ่งคนดูแลปกป้องอีก ที่สำคัญที่สุดเลย ลงไปแล้วจะกลับเมืองเฉิงเป่ยยังไง?

 

แต่เรื่องที่ว่ามาไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉินเฟิง

 

ฉินเฟิงยังมีธุระอีกหลายอย่างต้องทำที่นี่ อย่างเช่นวัตถุดิบจากเมืองหานอีกมากที่ยังไม่ได้นำไปแปรรูป ไหนจะเรื่อง …..

 

ฉินเฟิงสอดส่ายสายตามองหามุมมืดที่ไร้ผู้คน และใช้โอบกอดทมิฬปกคลุมรอบตัว ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็น

 

เสี่ยวไป๋กระโดดลงจากไหล่เขา เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ เริ่มใส่เสื้อผ้า สวมหมวกและแว่นกันแดด

 

“อา … มันน่าเบื่อจริงๆ!”

 

ปัจจุบันไป๋หลีไม่ชอบที่จะอยู่ในรูปลักษณ์ของสัตว์ เพราะเธอไม่สามารถเล่นเกมบนอุปกรณ์สื่อสารได้ เสื้อผ้าสวยๆเองก็ใส่ไม่ได้เช่นกัน

 

ฉินเฟิงดีดจมูกของอีกฝ่ายเบาๆและกล่าว “เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาพักผ่อนของฉันแล้ว ดังนั้นฉันจะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้า”

 

“ที่รักน่ารักที่สุดเลย!”

 

ไป๋หลีโผเข้ากอด แลบลิ้นเลียแก้มของเขา

 

โดยไม่สนใจว่าฉินเฟิงไม่ได้ล้างหน้าแบบสะอาดๆมาหลายวันแล้ว นับแต่เข้าสู่สวนล่า ฉินเฟิงพอถูกเลียก็นึกขึ้นได้เช่นกัน เขามองหาโรงแรม และเลือกมาที่หนึ่ง เข้าห้องพักก็เริ่มอาบน้ำให้สบายตัว และเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลอง

 

แม้ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน เพียงสวมเครื่องแต่งกายสบายๆ แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏของฉินเฟิงกลับยังดูสูง คมเข้ม กล้ามเนื้อแม้ไม่ปูดเป็นมัดๆแต่ก็ดูแข็งแกร่ง ยามเดินบนท้องถนน คงไม่มีใครเชื่อหรอก ว่าเขายังเป็นนักเรียนอยู่

 

ฉินเฟิงโบกแท๊กซี่ เขาพาไป๋หลีไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ปล่อยให้อีกฝ่ายช็อปตามต้องการ ระหว่างรอ ฉินเฟิงก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารของเฉินหมิงขึ้นมา แต่พบว่ามันมีรหัสผ่าน

 

ทว่าโชคยังดีที่ฉินเฟิงรู้จักเฉินหมิงพอสมควร ดังนั้นทดลองสุ่มใส่รหัสเพียง 2 – 3 ครั้ง ก็สามารถเข้าสู่ระบบได้

 

“นี่ไงเหลียงกัน!”

 

ไม่นานเกินรอ ฉินเฟิงก็ค้นพบชื่อที่ต้องการ

 

ยังไงก็ตาม เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ฉินเฟิงยังไม่โทรหาหมายเลขของอีกฝ่ายในทันที เขาเพียงบันทึกมันเอาไว้

 

จากนั้นฉินเฟิงก็เปิดอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง ทำการเชื่อมต่อเครือข่ายนักสู้มองหาเว็บไซต์ ‘ประตูลับ’

 

“เจอแล้ว!”

 

ประตูลับ คือชื่อขององค์กรข่าวกรองพิเศษ ตราบใดที่คุณสามารถจ่าย ไม่ว่าข้อมูลใดก็สามารถซื้อได้ และมันยังถูกปกปิดเป็นความลับ

 

ฉินเฟิงระบุเพียงชื่อและหมายเลขสื่อสารของเหลียงกัน แม้ต้องการแค่ข้อมูลง่ายๆของอีกฝ่าย แต่เขาก็ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนถึง 1 ล้าน

 

เงิน 1 ล้านสำหรับซื้อข้อมูลแค่นี้ ถือว่าแพงมาก ทว่าตราบใดที่เหลียงกันอยู่ในเมืองเฉิงหยาง …

 

ฉินเฟิงจึงตัดสินใจยอมเฉือนเนื้อตัวเองเล็กน้อยเพื่อทำการตรวจสอบ อันที่จริงเงินที่เสียไปมันก็ไม่ได้มากอะไร แต่เขาไม่ต้องการจะทำอะไรยุ่งยาก และไม่อยากจะเสียเวลาก็เท่านั้นเอง

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ข้อมูลของเหลียงกันก็ถูกส่งเข้ามา

 

“เหลียงกัน อายุ 28 ปี เป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล E ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายพลของหน่อยลาดตระเวนชั้นนอก ประจำสถานชุมชนเฉิงหยาง”

 

“นี่คือรูปถ่ายของเหลียงกัน”

 

“เหลียงกันเข้าร่วมกับสถานชุมชนเฉิงหยางเมื่อสามปีก่อน … ”

 

มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกยาวอยู่ด้านล่าง แต่สายตาของฉินเฟิงกลับหยุดลงถึงแค่รูปถ่ายของเหลียงกัน

 

ในภาพ มันคือฉากฝึกซ้อมทหารในสภาพอากาศร้อน แม้จะเป็นภาพถ่ายในมุมข้างของเหลียงกัน แต่ก็ยังพอเห็นรอยสักที่เด่นเป็นพิเศษตรงคอของเขา

 

ฉินเฟิงเพ่งมองรอยสักนี้เป็นเวลานาน นานมากๆ

 

“ทำไมมันถึงดูคุ้นๆจัง เหมือนว่าฉันเคยเห็นมันมาก่อนที่ไหนสักแห่ง”

 

ฉินเฟิงหลับตาลง พลังสมาธิเร่งเร้า ภาพความทรงจำย้อนกลับเข้ามาในหัว ฉายเป็นฉาก เป็นฉาก สับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

 

สุดท้าย ภาพฉากหนึ่งก็หยุดนิ่งในใจของเขา

 

มันคือภาพก่อนที่ฉินเฟิงจะเกิดใหม่ เป็นเรื่องราวตอนเขาอายุได้ 18 ปี ช่วงเวลานั้นตนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล F5 กำลังเดินทางอยู่แถวๆเมืองฟูเฉิง และบังเอิญได้พบกับกลุ่มจงอางดำที่แสนฉาวโฉ่

 

แต่แน่นอน ว่าที่เจอเป็นเพียงสาขาเล็กๆของกลุ่มจงอางดำเท่านั้น พวกมันมีกันแค่หลักร้อย ไม่ใช่ผู้ใช้พลัง แต่เป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์

 

พวกมันมักชอบออกปล้นกองคาราวาน ปล้นกลุ่มขนส่งขนาดใหญ่ ในเวลานั้นฉินเฟิงเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันของกลุ่มธุรกิจพอดี และหลังเกิดการปะทะ ฉินเฟิงสามารถสังหารหนึ่งในนั้นได้ และมันคือคนที่มีรอยสักแบบเดียวกับในรูป

 

แน่นอน ว่าคนๆนั้นไม่ใช่เหลียงกัน

 

“อย่าบอกนะว่า ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกัน?”

 

ในความรู้สึกของฉินเฟิง สเกลของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเริ่มใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็นำพามาซึ่งความสับสนยิ่งขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ….