ตอนที่ 99 ละอายแก่ใจ (4)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองตามเงาหลัง สีหน้าเรียบเฉยแหงนมองดูปุยเมฆบนท้องฟ้านอกหน้าต่าง

 

 

อืม วันนี้อากาศดีจริงๆ

 

 

ไม่นานนักซวงไป๋ก็กลับมา แต่ยังคงสีหน้าเย็นชา “เชิญเถิด ใต้เท้าชิว”

 

 

คราวนี้ชิวเยี่ยไป๋ไม่พูดมากแล้ว ลุกขึ้นตามซวงไป๋ไปทันที

 

 

ตลอดทางทั้งสองต่างเงียบงัน มิได้พูดคุยกันเหมือนครั้งก่อน

 

 

ซวงไป๋นำทางชิวเยี่ยไป๋ถึงประตูวังที่ไป๋หลี่ชูเคยพานางเข้ามาเมื่อสี่วันก่อน มองเห็นรถคันงามหยุดอยู่หน้าประตูแต่ไกล พอเข้าใกล้จึงเห็นร่างสูงโปร่งที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอย่างสบายอารมณ์บนรถ นอกจากสารถีของค่งเฮ่อเจียนแล้ว ยังมีคนรับใช้ประคองถาดขนมนมเนยอยู่ข้างๆ เช่นเคย

 

 

“ฝ่าบาท สบายดีแล้วกระมัง” ชิวเยี่ยไป๋เดินยิ้มน้อยๆ และประสานมือคารวะ แต่ยังก้มลงไม่ทันสุดก็มีมือเรียวยาวเย็นเยียบคู่หนึ่งประคองยั้งไว้

 

 

“เจ้ากับข้ามิต้องมากมารยาทเหมือนเหินห่าง” ไป๋หลี่ชูกล่าวยิ้มๆ สีหน้าดูเหมือนยังคงขาวซีด หว่างคิ้วยังมีแววอ่อนล้าลดทอนความงามลงเล็กน้อย แต่กลับส่งกลิ่นอายสูงส่งดุจเมฆพลิ้ว มิได้ทำลายสิริโฉมที่งดงามเลย

 

 

มือที่ยื่นมายั้งนางไว้ กลับไม่ได้ชักกลับแต่กุมมือนุ่มนิ่มของนางไว้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก็ยิ้มเนือยๆ คิดจะชักมือกลับแต่ไม่เป็นผล นางก็คร้านจะดิ้นรนจึงปล่อยให้เขากุมมือไว้ ถึงอย่างไรก็เป็นที่สาธารณะ ดึงกันไปมาย่อมไม่น่าดู

 

 

“ฝ่าบาทขจัดพิษร้ายแล้วมิใช่หรือ ทำไมร่างกายจึงยังเย็นเยียบ”ชิวเยี่ยไป๋เบนความสนใจไปยังมือที่กุมมือตนอยู่อย่างรวดเร็ว ยังรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนซากศพ จึงออกจะแปลกใจ

 

 

ไป๋หลี่ชูเอนกายบนรถ มือข้างหนึ่งปลิดผลองุ่นเข้าปาก อีกมือบีบมือของชิวเยี่ยไป๋เล่นเป็นพักๆ “พิษร้ายนั้นมิใช่จะขจัดได้ในเวลาอันสั้น วันนั้นจี้ซือสองคนแค่ทดลองดู ประสิทธิภาพไม่เลว แต่พิษร้ายยังขจัดไม่หมด”

 

 

นี่หมายความว่าพิษในร่างกายยังอยู่อย่างนั้นหรือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หลุบตาลงครุ่นคิด อุณหภูมิร่างกายตามที่นางรู้สึก คิดว่าพิษร้ายขจัดไปครึ่งหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว นางยังไม่ลืมฉากที่จี้ซือสองคนเถียงกันเกือบเป็นเกือบตายก่อนช่วยกันผสมยาขจัดพิษ ถ้าตาเฒ่าสองคนนั้นมั่นใจว่าได้ผล ก็ไม่ต้องเถียงกันแล้ว

 

 

“ข้าดีใจนะที่เจ้าเป็นห่วงข้า เสี่ยวไป๋” ไป๋หลี่ชูยิ้มให้ ขณะชิวเยี่ยไป๋เตรียมลำดับคำพูดตามมารยาทเพื่อแสดงความห่วงใย เขาก็เสริมอีกประโยคว่า “คราวหน้าเวลาเจ้าเสแสร้งทำเป็นห่วงใย จำไว้ว่าต้องซ่อนแววตาอย่าให้หลุกหลิกด้วย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชะงักกึก “…ไม่ ข้าน้อยเพียงแค่ห่วงใยว่าเมื่อไหร่ฝ่าบาทจะตายเพราะพิษร้ายกำเริบต่างหาก”

 

 

จะว่าไปแล้วเคยเล่นละครร่วมกันมาก่อน ไอ้หมอนี่ชักติดใจหรือไร

 

 

ซวงไป๋แค่นเสียงถลึงตาวาวโรจน์ “บังอาจ!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองเขาแวบหนึ่ง เลิกคิ้วช้าๆ แต่ไม่พูด ซวงไป๋ยังคงเขม้นมองอย่างเย็นชา

 

 

ไป๋หลี่ชูเห็นท่าทางของพวกเขาก็หัวร่อเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “เสี่ยวไป๋เก่งจริงนะ ยั่วจนซวงไป๋ที่แสนสุภาพนุ่มนวลของเราถึงกับเสียกริยาได้”

 

 

ซวงไป๋ได้ยินเข้าก็สะดุ้ง รีบหลุบตาลงกลับสู่สภาพปกติ “ฝ่าบาทโปรดให้อภัย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ร้องเหอะในใจ แสนสุภาพนุ่มนวล เจ้าซวงไป๋นี่มันเสือหน้ายิ้มชัดๆ แต่ปากก็เออออว่า “หลายวันนี้ได้รับการดูแลจากใต้เท้าซวงไป๋ หากมีสิ่งใดล่วงเกินโปรดให้อภัยด้วย”

 

 

ซวงไป๋เลิกทำหน้าเย็นชา ได้แต่ประสานมือคารวะ “ใต้เท้ากล่าวเกินไปแล้ว”

 

 

ไป๋หลี่ชูลูบคลำมือของชิวเยี่ยไป๋ แล้วกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ทางพระพันปีด้านนั้น เสี่ยวไป๋ไม่ต้องไปแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร ในเมื่อข้ากล้ารั้งเจ้ากลางทางย่อมรับมือพระพันปีได้เอง จะไม่ให้ตู้ซื่อแคลงใจเจ้าแต่ประการใด”

 

 

เดิมทีจู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็เสนอว่าจะไปเฝ้าพระพันปี ก็เพราะต้องการประโยคนี้จากไป๋หลี่ชูนี่แหละ ในเมื่อไป๋หลี่ชูเหิมเกริมขนาดดักรั้งตัวนางกลางทางย่อมเพราะมีบารมีใหญ่โต ส่วนพระพันปีก็คงไม่กล้าทำอะไรไป๋หลี่ชูอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถ้าจะเอาเรื่องนางก็ยังคงได้อยู่

 

 

และบัดนี้นางไม่มีทางไปบอกอะไรพระพันปีได้แล้ว ไป๋หลี่ชูจงใจขีดเส้นอ้อมเป็นวงกว้างเพื่อฉุดนางเข้าวงเป็นพวกของตน นางย่อมไม่หวังว่าซือหลี่เจียนซึ่งเป็นที่อยู่ยากอยู่แล้ว ยังต้องพะวงกับพระพันปีอีกจะเหมือนพรมน้ำค้างกลางหิมะ

 

 

ดังนั้นในเมื่อไป๋หลี่ชูพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าเขาจัดการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ทำให้พระพันปีแคลงใจความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเขา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนฝ่าบาทแล้ว ข้าน้อยขอทูลลา” ชิวเยี่ยไป๋บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ย่อมคร้านจะอยู่ตำหนักกวงหมิงต่อ จึงอำลาเสียเลย

 

 

แต่ไป๋หลี่ชูมิได้ปล่อยมือนาง กลับฉุดนางคราหนึ่ง เป็นเชิงให้นางเข้าใกล้ เดิมทีชิวเยี่ยไป๋รำคาญ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแววตารักใคร่อย่างลึกซึ้ง ปราศจากแววเย็นเยียบพิกลเช่นกาลก่อน นางจึงกลั้นใจและเข้าใกล้ตัวรถก้าวหนึ่ง “ฝ่าบาทยังมีรับสั่งอะไรหรือ”

 

 

คำตอบของไป๋หลี่ชูคือจุมพิตที่เย็นเยียบบนริมฝีปากนาง เห็นท่าทางนางเหมือนถูกฟ้าผ่า เขากลับยินดีอย่างมาก หันหน้าไปแนบปากกับติ่งหูนางแล้วดูดแรงๆ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “เสี่ยวไป๋ รอข้าไปทับเจ้านะ หืม?”

 

 

“…” ชิวเยี่ยไป๋ตะลึงงัน

 

 

ท่ามกลางสายตาผู้คนในที่สาธารณะ ไอ้บ้านี่มียางอายหรือไม่

 

 

นางลืมไปว่า คนจิตวิปริตย่อมปราศจากความละอายแก่ใจอยู่แล้ว

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “พระวรกายฝ่าบาทล้ำค่า ยังคงอยู่ข้างล่างจะเหมาะกว่า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ออกจากวัง เห็นอาทิตย์แผดแสงกล้าแต่ไกล ถนนยาวสิบลี้ที่ไกลออกไปนอกประตูจูเชี่ยกำลังคึกคัก เสียงผู้คนจอแจ ทำให้นางรู้สึกหลอนเหมือนกลับสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง

 

 

ม่านที่ตัวรถของรถม้าคันหนึ่งตรงหน้าวังพลันเปิดออก หญิงรับใช้ในชุดสีเขียวสดคนหนึ่งกระโดดลงมา โบกมือให้ชิวเยี่ยไป๋ “นายน้อยสี่ อยู่ทางนี้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นหน้าหนิงชุนที่ไร้ความรู้สึก ลันอดขันมิได้ รีบเข้าไปร้องเรียก “ชุนเอ๋อร์”

 

 

วันนี้เป็นเป๋าเป่าเป็นคนขับรถมาเอง วันนี้เขามิได้แปลงโฉมเป็นเจี่ยงเฟยโจว ดังนั้นพอเห็นชิวเยี่ยไป๋เขาจึงถลาเข้าหาทันที แก้มนุ่มนิ่มถูไปมากับรักแร้ชิวเยี่ยไป๋ “ฮือ…นายน้อยสี่ ข้าคิดว่าท่านมัวแต่มีความสุขในวังจนลืมเป๋าเป่าแล้ว!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เกาคางเขา หัวร่อกล่าวว่า “ข้าจะตัดใจได้อย่างไร”

 

 

เป๋าเป่าใบหน้าน่ารักมาแต่กำเนิด ดูแล้วเหมือนเด็กอายุสิบสามสิบสี่ การกระทำออดอ้อนเช่นนี้ดูแล้วไม่ขัดตาแม้แต่น้อย ส่วนชิวเยี่ยไป๋สูงเพรียวใบหน้าคมคาย งามสง่าสูงส่ง กอดเป๋าเป่าไว้เหมือนพี่น้องที่รักใคร่กัน ทำให้ผู้พบเห็นต้องอมยิ้ม แอบนึกในใจว่าพี่น้องคู่นี้สนิทสนมกันดี