ภายในตำหนัก ราชามังกรลู่กว่างสวมใส่ชุดที่วิจิตรงดงาม มองดูราชินีมังกรที่กำลังพาชือหลีที่แต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วออกมา
ชุดสีแดงตลอดร่าง มิใช่สีแดงสด หากแต่เป็นสีแดงทึบราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือด
หางของชือหลีกลายเป็นขาทั้งสองข้าง นางรูปร่างระหงส์ สูงโปร่งแต่ว่าเสื้อผ้าชุดนี้กลับสั้นจนเกินไป เผยให้เห็นเท้าที่ละเอียดเนียนของนาง
เท้าสวมใส่รองเท้าสีแดงคู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ปักลายบุปผาสักดอก
บนศีรษะถักมวยผมรับมงกุฎรัดเกล้าเอาไว้ แต่เป็นเพียงทองชุบที่ไม่มีค่าสักเท่าไร
ชือหลีงดงามอย่างยิ่ง เส้นผมสีแดงนัยตาก็เป็นสีแดง เดิมสมควรจะดูเจิดจ้างดงาม แต่ว่าตอนนี้ดวงหน้าของนางกลับซีดขาวราวแผ่นกระดาษ
ถึงแม้ว่าจะแต่งหน้าจัดอย่างผู้ที่เป็นเจ้าสาว แต่ก็ยังไม่อาจปิดบังความบอบช้ำและอ่อนระโหยของนางไปได้
นางถูกมัดอยู่บนเสาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งยังรับการทรมานอยู่ตลอด หากว่าเป็นคนธรรมดาก็คงจะต้องตายไปตั้งแต่แรกแล้ว
วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับมังกรที่สะบัดหาง คิดถึงตอนนั้นที่นางจับตู๋กูเจวี๋ยขังเอาไว้ที่คุกใต้ดินนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม ช่างน่าประหลาดใจที่เจ้าเด็กน้อยขนอ่อนผู้นั้นกลับยังรอดอยู่ได้
ตอนนี้นางก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตุ๊กตาไม้ ที่ใครจะจับวางอย่างไรก็ได้
นับตั้งแต่ตอนนั้นที่ถูกถอดกระดูกมังกรออกไป นางก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าชาตินี้ทั้งชาติไม่อาจต่อกรกับพวกเขาได้อีก
เมื่อต้องมามีจุดจบเช่นนี้ ที่จริงแล้วก็อยู่ในการคาดคะเนของนางตั้งแต่แรกแล้ว
แต่นางไม่อยากแพ้ ไม่อยากยอมแพ้ต่อครอบครัวของบิดาเสเพลอย่างง่ายๆเช่นนี้!
มารดาของนางตายอย่างอนาถ นางนอกจากจะไม่มีหนทางจะแก้แค้น แล้วยังตกอยู่ในมือของพวกเขาถูกพวกเขาใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยน ‘ผลประโยชน์’
ที่จริงนางตัดสินใจได้แล้ว วันนี้ จะขอยอมตายให้หยกและศิลาล้วนแหลกลาญไปพร้อมๆกับพวกเขา
…………………
“ท่านพี่ วันนี้หลีเอ๋อร์งดงามมากจริงๆ” หลิ่วฮุ่ยยิ้มอ่อนหวาน บนในหน้ามีแต่แววตารักใคร่เอ็นดู “นางพึ่งจะกลับมา ยังไม่ได้ทันอยู่ร่วมกับพวกเราสักเท่าไรก็จะแต่งออกไปเสียแล้ว คิดๆดูแล้วก็อดที่จะเสียดายอยู่บ้างไม่ได้”
ชือหลีสะอิดสะเอียดเหลือเกิน
“ต่อให้น่าดูอย่างไรยังจะงามไปกว่าเวยเอ๋อร์ได้อีกหรือ?” ลู่กว่างยังคงไม่เห็นด้วย
เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของชือหลีชุดนี้ เขาเคยเห็นเวยเอ๋อร์สวมใส่แบบเดียวกันมาก่อน ยังดูงดงามกว่าชือหลีมากมายนัก
ลูกหลานของมังกรต้องโทษ ที่ถูกถอดกระดูกมังกรทิ้งไป จะมาเปรียบเทียบกับเวยเอ๋อร์ที่เกิดมาก็เป็นมังกรทองได้อย่างไร?
ก็แค่มีใบหน้านี้ที่น่าดูกว่าหน่อยเท่านั้น
เช่นนี้ก็ดีแล้ว เมื่อส่งไปยังเผ่ามังกรทมิฬ ผู้อื่นจะได้พอใจ
ไม่แน่ว่าพอพวกเขายินดีขึ้นมา ก็อาจจะมอบของขวัญให้กับพวกตนมากกว่าเดิมก็เป็นได้?
ถึงอย่างไรที่ส่งนางออกไป ก็เป็นเพียงแค่ของเล่นของพวกเขาเท่านั้น ขอแค่มีใบหน้าน่าดูก็พอแล้ว
สามารถแลกมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับพวกตนได้ ถือว่าเป็นคุณค่าเดียวที่นังสวะผู้นี้มีแล้ว
ลู่กว่างไม่คิดจะเหลียวแลชือหลีแม้แต่เพียงแวบเดียว
นางมีหน้าตาคล้ายคลึงกับมารดาของนางจนเกินไป ไม่เพียงแค่หน้าเหมือน แม้แต่นิสัยก็ยังเหมือน ทั้งยโสโอหังทั้งน่ารังเกียจ
ทุกครั้งที่ได้เห็นชือหลี เขาก็จะต้องคิดถึงช่วงเวลาอัปยศที่ต้องยอมแต่งเข้าไปเป็นราชบุตรเขย ถ้าไม่ใช่เพื่อตำแหน่งราชามังกรตะวันตกที่หมายตาเอาไว้แล้ว เขาก็คงจะไม่มีทางสู่ขอชือฉางมา
ศักดิ์ศรีที่บุรุษพึงมีล้วนถูกเหยียบย่ำ ทำลายจนหมดสิ้น หากมิใช่เพราะว่าหมายตาในตำแหน่งราชามังกร เขาก็ไม่มีทางสู่ขอสตรีที่อารมณ์ร้ายกาจอย่างชือฉางมาเด็ดขาด!
ไม่อนุญาตให้เขามีอนุ ไม่ยอมให้เขากลับค่ำ นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ หากนังตัวร้ายนั้นไม่ตาย ชาตินี้เขาก็คไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระอีกแล้ว!
ชือหลีสายตามีแต่ความเย็นชา ฟังเสียงเครื่องดนตรีที่บรรเลงไปเรื่อยๆ
เหล่าทหารกุ้งหอยปูปลาต่างก็กำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมการต้อนรับเผ่ามังกรทมิฬที่กำลังจะมาถึง
ไข่มุกราตรีที่อยู่บนเพดาน ส่องแสงสว่างสุกสกาว
“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้เอาแต่ทำหน้าดำเคร่งเครียดเช่นนี้ ต้องยิ้มบ้างรู้หรือไม่?” หลิ่วฮุยยังคงแสดงความเมตตาต่อนางต่อไป นางยื่นมือออกมา คว้ามือของชือหลีเอาไว้ กล่าววาจาราวกับเอ่ยจากน้ำใสใจจริงว่า
“พอแต่งงานออกไปแล้ว ก็ต้องคอยสนับสนุนสามีให้ดี ต้องเชื่อฟัง และรู้จักเก็บอารมณ์ของเจ้าเอาไว้บ้าง บุรุษล้วนชอบสตรีที่นุ่มนวลอ่อนโยน ขอเพียงเจ้ารู้ความอยู่บ้าง เผ่ามังกรทมิฬก็คงไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ”
ชือหลีผลักมือที่ประคองมือของนางออกไป หากมิใช่เพราะว่าตอนนี้บนทรวงอกของนางยังคงมีตะปูตรึงมังกรฝังอยู่ล่ะก็ นางจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดในร่างขัดขืนไปแล้ว
นางจะต้องลงมือต่อสู้กับสตรีที่ช่างเสแสร้งผู้นี้ให้จบสิ้นกันไปข้างหนึ่ง
“ดูเจ้าสิ กลับมีทีท่าเช่นนี้ ฮูหยินปรารถนาดี ที่เกลี้ยกล่อมเจ้า ก็เพื่อตัวเจ้าเอง แต่เจ้ามันไม่รักดี ไม่รู้จักมองว่าผู้อื่นเป็นคนดี!” ลู่กว่างโกรธเคืองอย่างยิ่ง เขายกหัตถ์ขึ้นมาคิดจะตบหน้านางสักฉาด
ชือหลีถลึงตาใส่เขากลับไป
“คนดีงั้นหรือ? คนดีในใต้หล้านี้ล้วนตายไปหมดแล้วใช่หรือไม่? จึงได้ถึงรอบให้ไอ้แก่ที่หยาบช้าเช่นเจ้าพูดหลายคำนั้นออกมาได้?”
ลู่กว่างยกหัตถ์ขึ้นสูง โกรธเกรี้ยวจนต้องกัดฟันเอาไว้
พอคิดว่าอีกประเดี๋ยวเผ่ามังกรทมิฬก็จะมารับตัวคนแล้ว หากพวกเขาได้เห็นว่าใบหน้าของนางปูดปวมก็คงจะไม่ดี
อดทนกล้ำกลืนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ค่อยๆลดหัตถ์ข้างนั้นลงมา
“รอจนเจ้าแต่งออกไป เจ้าก็จะรู้เองว่าคำพูดของฮูหยินมีความหมายมากเพียงไร!” เขากัดฟันตอบออกไป “หากยังไม่รู้จักสำรวมอุปนิสัยเอาไว้บ้าง ก็จะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับมารดาของเจ้า!”
ใต้หล้านี้จะมีบุรุษใดที่สามารถทนต่อสตรีที่มีนิสัยร้ายกาจได้บ้างกัน?
เฮอะ!
ชือหลีคร้านที่จะสนใจเขา หากยังคงพูดกับไอ้แก่ชั่วช้านี้ต่อไป นางก็รู้สึกเหมือนมารดาถูกดูถูก
แล้วกันไปเถอะ…..รอให้คนของเผ่ามังกรทมิฬมาถึง นางก็จะลากคนทั้งหมดไปลงนรกพร้อมกัน!
“ท่านพี่อย่าได้มีโทสะเลย ไว้นานวันเข้า หลีเอ๋อร์ก็จะเข้าใจเอง พวกเราล้วนแต่ปรารถนาดีกับนาง ในเมื่อนางได้แต่งไปยังเผ่ามังกรทมิฬ นี่ก็ต้องถือว่าเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของนางแล้ว” หลิ่วฮุ่ยคอยปลอบประโลมอยู่ด้านข้าง
ว่าแล้ว นางก็มองออกไปนอกตำหนัก “วันนี้ช่างแปลกจริงๆ เวยเอ๋อร์ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก?”
“นางเคยบอกเอาไว้แล้วว่าอยากจะหาสินเดิมให้กับตัวเลวร้ายนี้สักหน่อย จึงได้ออกไปข้างนอกเป็นพิเศษ อีกประเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้วกระมั้ง” ลู่กว่างว่าต่อไป พลางหันมาถลึงตาใส่ชือหลีอีกครั้ง “ดูสิว่าพี่สาวของเจ้าดีกับเจ้าเพียงไร! นางเป็นถึงองค์หญิงทะเลตะวันตก แต่กลับยินดีช่วยตระเตรียมสินเดิมให้เจ้าด้วยตนเอง ทั้งยังมอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้กับเจ้าอีกไม่น้อย!”
สายตาของลู่กว่างมองไปยัง**บห่อที่เรียงรายอยู่มากมายรอบหนึ่ง ค่อยหันกลับมาถลึงตาใส่ชือหลีพลางกล่าวว่า นังตัวร้ายอย่างเจ้าไม่เพียงแต่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ แล้วยังจะมาเกลียดชังพวกเรา ไม่รู้จริงๆว่ามารดาของเจ้าให้กำเนิดสิ่งที่เหมือนกับเจ้าเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร!”
ชือหลีอยากจะเย็บปากของไอ้แก่ชั่วช้าผู้นี้เสียจริงๆ!
หากถกกันเรื่องพลิกดำเป็นขาว นางรู้สึกว่าตู๋กูเจวี๋ยช่างเทียบกับลู่กว่างผู้นี้ไม่ได้เลย ยังห่างชั้นอีกมาก
“ผั๊วะ!” ขณะที่ลู่กว่างกำลังด่าทอชือหลี ก็ได้เสียงโครมครามดังมาจากทางประตูใหญ่
จากนั้นประตูทั้งบานก็ถูกกระแทกจนเปิดออก
มีเงาของคนที่โชกเลือดทั่วตัวผู้หนึ่งเหาะเข้ามา
คนผู้นั้นถูกเตะส่งเข้ามาด้วยพละกำลังมหาศาล แรงเตะส่งมาถึงตัวลู่กว่าง
ลู่กว่างพลิกร่างหลบไปในทันที จึงได้เห็นเงาร่างของคนผู้นั้นพุ่งเข้าชนกับบัลลังก์มังกร
กระแทกจนยอดหัวมังกรประดับอัญมณีตรงที่วางแขนหักกลิ้งลงมา
คนทั่วทั้งวังมังกรต่างพากันตกตะลึง หันไปจับจ้องอยู่ที่คนผู้นั้น
เห็นแต่ศีรษะที่แตกและเส้นผมที่กระจุยกระจาย แถมยังมือขาดข้างหนึ่ง เลือดท่วมตัวจนไม่รู้ว่าเป็นใครหรือตัวอะไร
หลิ่วฮุ่ยกลับเป็นคนแรกที่สังเกตออก หัวใจของนางกระตุกวาบ รีบเดินเข้าไปอย่างไม่กล้ามั่นใจ พลางคุกเข่าลงที่ข้างกายของคนผู้นั้น
พอได้เห็นใบหน้าที่ปูดบวมและเลอะเลือนไปด้วยเลือด ก็ตกใจจนขวัญหาย
“เวยเอ๋อร์!” นางตระหนกจนกรีดร้องออกมา สองมือสั่นสะท้าน “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ผู้ใดกันช่างไม่รักชีวิต กล้าทำกับเจ้าได้ถึงเพียงนี้?”
น้ำเสียงพึ่งจะขาดหาย ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าประตูใหญ่ ขณะที่ส่งเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งออกมาว่า “ข้าเอง ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหยียน ตู๋กูซิงหลัน!”
………………………………………..
ตอนต่อไป “พี่สะใภ้ ข้ามารับท่านแล้ว”
← ตอนก่อน