บทที่ 46.4 เล่นไม่ซื่อ แย่งผู้ชาย! (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

หลัวอวี่ก่วนกำขวดในมือเอาไว้ ในขณะที่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนผลักประตูเข้ามา

 

คนคนนั้นทำท่าทำทางเสียงดังใหญ่โต ไม่สนใจใครคนอื่นเลยทั้งนั้น

 

หลัวอวี่ก่วนตกใจมือสั่น ทำขวดนั้นกลิ้งหล่นไปบนพื้นจนขวดกลิ้งไปหยุดลงที่เท้าของคนที่เพิ่งเข้ามาพอดี

 

นางรีบเข้าไปแย่งคืน แต่ฝาปิดขวดนั้นหลุดออกมาก่อน จึงทำให้ผงสีเขียวอ่อนด้านในกระจายออกมาเล็กน้อย

 

หลัวอวี่ก่วนเองก็เพิ่งจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ เห็นดังนั้นก็ตกใจจนหน้าขาวซีด

 

ส่วนหลัวเสียงที่ก้มลงไปเก็บขวดนั้นขึ้นมา ได้กลิ่นแรงออกมาจากขวดนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าทันควัน เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนขึ้น จ้องมองไปที่นางเขม็งด้วยแววตาดุดันโมโห

 

หลัวอวี่ก่วนตกใจจนเข่าอ่อนพยายามเดินถอยหลังหนี

 

แววตาของหลัวเสียงน่ากลัวราวกับต้องการจะกลืนกินคนเข้าไปก็ไม่ปาน เขาเดินเข้ามา แต่ก็ฉุกคิดได้ว่ายังไม่ได้ปิดประตู จึงหันกลับไปปิดประตูลง แล้วหันกลับไปยังไม่ทันได้เดินเข้าไปหา ก็ตวาดขึ้นมาเสียงดังว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร? เวลานี้ยังจะเก็บของแบบนี้เอาไว้ทำอะไรอีก?”

 

ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับใคร แต่เขาก็เคยร่วมหลับนอนกับผู้อื่นมามากพอสมควร เวลาปกติเองก็ไปเดินเล่นที่ถนนหลิ่วหลินกับเพื่อนฝูงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นยาในขวดนั้นแค่ปราดเดียว ก็รู้แล้วว่ามันคือยาปลุกอารมณ์ทางเพศ

 

ตอนนี้หลัวอวี่ก่วนท้องอยู่แท้ๆ ทำไมในมือถึงมีของแบบนี้ซ่อนอยู่ได้?

 

หลัวเสียงโมโหอย่างที่สุด

 

หลัวอวี่ก่วนเองก็กำลังตกใจอยู่ ตอนนี้เมื่อรวบรวมสติได้แล้ว จู่ๆ ก็กัดฟันรีบเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าผู้เป็นพี่ นางกัดริมฝีปาก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ้อนวอน “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าจะนั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้หรอก ข้าทำไปก็เพราะช่วยไม่ได้ ข้าคิดวิธีที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว ท่านพี่…ช่วยข้าด้วยเถิดนะเจ้าคะ!”

 

นางพูดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แถมยังแฝงไปด้วยพลังอันแรงกล้า แววตาเต็มไปด้วยไฟร้อนแห่งความบ้าคลั่ง

 

หลัวเสียงเองก็เพิ่งเคยเห็นนางเป็นแบบนี้ครั้งแรก เดิมทีเขาเองก็ถูกท่าทีของนางทำให้ตกใจจนหยุดชะงักไป แต่หลังจากนั้นก็ดึงสติกลับมาแล้วตะคอกใส่หน้านางว่า “เจ้าพูดอะไรซี้ซั้วอีกแล้ว? สภาพของเจ้าตอนนี้ แค่จะแอบซ่อนปิดบังมันเอาไว้ยังไม่ทันเลย เจ้ามัน…”

 

“ท่านพี่!” หลัวอวี่ก่วนรีบพูดแทรกตัดหน้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ นางยังคงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตากดดันแล้วพูดว่า “ข้าคิดเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะทำแท้งเด็กในท้องคนนี้ไปก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ต่อคนภายนอกได้หรอก แต่เทียบกับการที่รอให้พวกเขาพบเจอแล้ว เราสู้คิดหาวิธีอื่นจะดีกว่า นอกจากท่านก็ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแท้ๆ ของเด็กคือใคร…”

 

ก่อนหน้านี้หลัวเสียงก็เคยคิดแบบนี้ แต่เมื่อทำใจให้สงบแล้วคิดอีกครั้งก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้

 

“ถึงตอนนี้เจ้ายังทำมาเป็นกตัญญู…” หลัวเสียงเอ่ยปากพูดออกมา

 

“แล้วอย่างไรเล่า? ขอเพียงแค่ทำให้เรื่องนี้มันคลุมเครือเอาไว้ แต่เราก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องแต่งงานออกเรือนในทันที อย่างน้อย…พวกเราก็ลบล้างความเกี่ยวข้องที่มีต่อซูหลินไปได้แล้วนะเจ้าคะ” หลัวอวี่ก่วนกล่าว

 

หลัวเสียงเองก็เริ่มเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายแล้ว…

 

นางไม่ได้คิดอยากแต่งงานกับคนอื่นอย่างเป็นทางการเพื่อปิดบังเรื่องนี้ แต่นางคิดอยากทำให้เรื่องมันวุ่นวายใหญ่โต แล้วเอาเด็กในท้องของตนให้คนอื่นรับผิดชอบต่างหากเล่า

 

หลัวเสียงมองหลัวอวี่ก่วน จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าตนควรจะใช้สีหน้าท่าทางอารมณ์แบบไหนเผชิญหน้ากับนางดี ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นคนที่เขาไม่รู้จักไปแล้ว

 

“เจ้าอยากจะ…” ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดหวังอะไรมากเท่าไร หลัวเสียงจึงเอ่ยถามอย่างขอไปที

 

เพราะเด็กในท้องของหลัวอวี่ก่วนเองก็อายุสามเดือนกว่าแล้ว หากต้องการหาคนมารับเคราะห์แทน อีกฝ่ายก็คงไม่มีทางยอมรับแบบโง่ๆ แบบนั้นหรอก

 

“ท่านพี่ ข้าเลือกคนเอาไว้แล้ว อีกฝ่ายไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาแล้วด้วยเจ้าค่ะ” หลัวอวี่ก่วนพูด เวลานี้นางไม่สนใจหน้าตาท่าทางอันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอะไรพวกนั้นแล้ว นางเงยหน้ามองหลัวเสียง เม้มปากแล้วพูดว่า “คุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นเจ้าค่ะ ซูอี้!”

 

“อะไรนะ?” เดิมทีหลัวเสียงคิดว่าตัวเองหูฝาดไป จนร้องเสียงแหลมขึ้นมา

 

“เขาเป็นคนของสกุลซูเช่นเดียวกัน!” หลัวอวี่ก่วนพูด ในแววตาอันเย็นชานั้นเผยให้เห็นประกายไฟที่ส่องสว่างโชติช่วงอยู่ “คนอื่นไม่กล้ายอมรับ แต่เขาไม่ทำไม่ได้! ตอนนี้เศษเดนของจวนอ๋องฉางซุ่นยังมีชีวิตอยู่ สถานภาพของเขาตอนนี้ก็กระอักกระอ่วน หากเขารู้เรื่องนี้…เขาเองก็จำเป็นต้องช่วยข้าปิดบังอย่างช่วยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วล่ะก็…หากมันกลายเป็นเรื่องใหญ่เข้าจนถึงหูฮ่องเต้แล้วล่ะก็…เขาเองก็ยากที่จะหลุดพ้นจากเรื่องนี้เช่นเดียวกัน!”

 

การโยนความผิดให้คนอื่นเป็นชู้เยี่ยงนี้ หากคิดจะโยนมันให้ใคร คนผู้นั้นก็ใช่ว่าจะยอมรับง่ายๆ เดิมทีหลัวอวี่ก่วนก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อวันก่อนที่จู่ๆ นางได้ยินเซียงเฉ่าพูดถึงซูอี้ขึ้น ก็เลยคิดแผนการนี้ออก

 

ซูอี้เองก็เป็นคนของสกุลซู เป็นน้องชายฝั่งแม่ของซูหลิน!

 

อีกอย่างเรื่องก็เกิดขึ้นในเวลาประจวบเหมาะเจาะ ขอเพียงแค่นางคิดแผนลากซูอี้ให้มาเกี่ยวข้องให้ได้ แบบนั้นซูอี้ก็ต้องเชื่อฟังนางแน่!

 

ถึงตอนนี้นางไม่ได้คิดว่าตนจะได้แต่งงานกับผู้อื่นแล้วใช้ชีวิตอย่างเลิศหรูมีความสุขแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการรักษาชีวิตเอาไว้ได้

 

เพราะฉะนั้นวันนี้ที่นางไปวังบูรพา นางก็พกยาขวดนี้ไปแล้ว แต่แค่ว่าตอนนั้นนางลังเล อีกอย่างก็ยังหาจังหวะที่เหมาะสมลงมือไม่ได้

 

เมื่อตอนนี้กลับมาคิดดู…

 

จะปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากแล้ว!

 

หลัวเสียงเงียบไปนานไม่ยอมเอ่ยคำพูดใดออกมา ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คล้อยตามแผนของนางแล้วเช่นกัน

 

“ข้าหมดหนทางแล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ปิดบังไว้ไม่ได้นานหรอก หากพวกเขามาสอบสวนว่าเด็กคนนี้เป็นใครมาจากไหน ตอนนั้นมันก็ไม่ทันการณ์แล้วเจ้าค่ะ” หลัวอวี่ก่วนเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมแสดงความคิดเห็นใดออกมาสักที ตนก็เริ่มร้อนใจ นางคุกเข่าลงแล้วจับชายเสื้อของอีกฝ่าย “ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ลองคิดดูสิ ตอนนี้ซูอี้มีอนาคตที่ดี เขาจะยอมทอดทิ้งอนาคตของตนเองไปได้เยี่ยงไร? ขอเพียงแค่เราวางแผนได้อย่างแยบยล ถึงแม้เขาจะโดนเอาเปรียบมากแค่ไหนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับมัน อีกอย่าง…”

 

นางพูดไปพลางก็ตั้งใจหยุดพูดลง จากนั้นเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา “หากพวกเราขึ้นเรือลำนี้ได้สำเร็จ เขาเองก็ต้องพาท่านไปด้วยอยู่แล้วจริงไหมเจ้าคะ?”

 

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประโยคนี้ต่างหากที่เป็นพูดตรงใจเขามากที่สุด เพราะพูดถึงประเด็นเข้าพอดี

 

แววตาของหลัวเสียงส่องประกายขึ้นมา ออกแรงเม้มปากแน่น

 

หลัวอวี่ก่วนเห็นสีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไป ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา จากนั้นจึงพูดเสริมขึ้นไปอีกว่า “เรื่องนี้จะรอช้าไม่ได้ เราไม่มีเวลามานั่งลังเลแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้ทั้งท่านพี่และตัวข้าเองจะทำอะไรสักอย่างก็ลำบากนัก เรามาฮึดสู้ไปด้วยกันแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าช่วงนี้ซูอี้ได้รับบำเหน็จบำนาญมากโขเลยทีเดียว มีงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์ไม่เว้นแต่ละวัน เป็นโอกาสอันดีงามที่เราจะลงมือ!”

 

“เรื่องนี้…” หลัวเสียงเองก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกัน ใบหน้าลังเลขึ้นมาเล็กน้อยจากนั้นค่อยๆ พูดออกมาช้าๆ ว่า “หากเจ้าพูดถึงงานเลี้ยง เมื่อกี้ข้าเพิ่งได้ยินมาจากเรือนใหญ่ว่าอีกสองวันให้หลังวังบูรพาจะจัดพิธีกลับบ้านเยี่ยมญาติให้ท่านหญิงฉู่เยว่หนิง หากเป็นงานเลี้ยงที่อื่นเราอาจจะไม่ได้เจอตัวซูอี้ แต่หากเป็นงานเลี้ยงที่วังบูรพาอย่างไรเขาก็ต้องไป!”

 

ถึงแม้จะแค่โผล่หน้ามา แต่เท่านั้นมันก็เพียงพอแล้ว

 

แววตาของหลัวอวี่ก่วนส่องประกาย รีบร้อนรอคอยให้วันนั้นมาถึง

 

หลัวเสียงหันไปมองนางหนึ่งที เขากัดฟันตัดสินใจพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ งั้นเดี๋ยวสองวันนี้เราต้องมาวางแผนกันสักหน่อย!”

 

——————————————————