ตอนที่ 87 ตายเรียบทั้งตระกูล

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเสียงเรียบว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่านเคยได้ยินชื่อเทพสายฟ้าไหม”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น ไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับที่เขาเคยได้ยินชื่อเทพสายฟ้าหรือไม่ ทว่าชายหนุ่มยังตอบกลับไป “ย่อมเคยได้ยิน จากตำนานถึงจะไม่มีใครเคยพบเทพสายฟ้า แต่เยี่ยนก็เคยได้ยินมาบ้าง”

 

 

“อืม!” เยี่ยเม่ยคลี่ยิ้มพลางพยักหน้า สีหน้าเย็นชาตามปกติของนางในเวลานี้ชวนให้คนที่เข้าใกล้หวาดกลัว ไม่ช้านางก็เลียนแบบน้ำเสียงท่าทางสง่างามของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า “เทพสายฟ้าน่ะ มีค้อนอยู่อันหนึ่ง!”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เยี่ยเม่ยก็ไม่กล่าวอะไรต่อ นางเชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องเข้าใจความหมายของนางแน่

 

 

เป็นอย่างที่นางคาดคิดไว้

 

 

หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนิ่งไปสักพัก ก็หัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น คิดไม่ถึงเลยว่ายเยี่ยเม่ยจะตอบคำถามเช่นนี้

 

 

เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ ของเยี่ยเม่ย รู้ได้ทันทีว่าควรหยุดหัวเราะ เขาจึงเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้มว่า “ต่อให้ฮูหยินพบเทพสายฟ้าปรากฏตัว แล้วยืมค้อนเขามาได้ ก็เกรงว่าคงไม่ได้ใช้หรอก เพราะว่าสามีเป็นผู้บริสุทธิ์!”

 

 

“ทางที่ดีท่านจงเป็นผู้บริสุทธิ์เถอะ ข้าไม่อยากสังหารเด็กในท้องมู่หรงเหยาฉือ!” เยี่ยเม่ยพ่นคำพูดออกมาพร้อมแววตาเย็นเยียบ นางเห็นด้วยว่าเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยเม่ยไม่ใช่คนมีเมตตา มู่หรงเหยาฉือรู้ทั้งรู้ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคือสามีของนาง แต่ยังกล้าตั้งครรภ์ลูกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

มีคำกล่าวว่ายามผู้ชายมีชู้ไม่ต้องไปตามล่าชู้รัก ปัญหาอยู่ที่ตัวผู้ชายเอง

 

 

เยี่ยเม่ยคิดว่าแค่ตบหน้าฉาดเดียวยังไม่สาแก่ใจเลย คนที่กล้าสวมหมวกเขียวให้นางทั้งคู่อย่าคิดมีชีวิตรอดไปได้ ต่อให้มีบุคคลที่สามไม่ว่าจะอยู่ในท้องหรือว่าคลอดออกมาแล้วก็ตกตายไปด้วยกันซะเถอะ!

 

 

นางปรายตาใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนราวกับกังวลว่าเขาจะเห็นนางเ**้ยมโหด จึงเสริมขึ้นว่า “แต่งกับข้าอย่าคิดจะทรยศกันง่ายๆ ไม่มีคำว่าเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอเพียงเป็นคนทรยศก็ต้องตาย! ดังนั้นทางที่ดี มู่หรงเหยาฉือไปสวดมนต์ไหว้พระขอพรให้ลูกของนางไม่ใช่ผลผลิตจากการคบชู้ของพวกท่าน มิเช่นนี้พวกท่านสามคน ข้าจะฆ่าทิ้งให้ตายเรียบทั้งครอบครัว!”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยน “…”

 

 

ให้ตายเถอะ ท่าทางเขาจะไปบ้าแล้วถึงได้จงใจหยอกนางด้วยการถามคำถามออกไป

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตระหนักได้แล้ว หากหลังจากแต่งงานเป็นอย่างที่นางเคยพูดว่านางตั้งครรภ์ลูกของกูเยว่อู๋เหิน เขาก็ยินยอมรักถนอมนาง แต่เมื่อเขามีลูกกับคนอื่น นางกลับจะทำให้พวกเขาตกตายไปตามกัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าเขารักนางมากกว่าจนตัวเองรู้สึกอึดอัดคับข้อง

 

 

ในทางกลับกัน…เขาดีใจเหลือเกินที่นางหึงเช่นนี้

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไตร่ตรองคำพูดเยี่ยเม่ยครู่หนึ่ง พลันยิ้มออกมา “ชายารัก เจ้ากลับเตือนเยี่ยนแล้วว่าหากต้องการทำให้เรื่องนี้กระจ่างแจ้งก็มิใช่ยากเลย มีคนหลงคิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเราแล้วมิใช่หรือ”

 

 

เยี่ยเม่ยตะลึงไปเล็กน้อย ค่อยคิดขึ้นมาได้ว่า เมื่อครู่ตอนอยู่ในวัง ฮ่องเต้และเป่ยเฉินเสียงคล้ายกับเชื่อว่านางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจงรักภักดี

 

 

อีกทั้งตอนฮ่องเต้คิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันเป่ยเฉินเสียงก็มีท่าทางเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ดังนั้นเรื่องนี้หากคิดให้เป่ยเฉินเสียงเอ่ยความจริงก็หาใช่เรื่องยาก!

 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ทั้งสองก็สบตากัน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกล่าว “เสด็จพี่ใหญ่ถูกท่านเสนาบดีลากไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่แล้ว ดูท่ายังไม่กลับออกมาแน่ พวกเรารอเขาอยู่หน้าประตูวังก็ได้!”

 

 

ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังเอ่ยเสียงอ่อนว่า “เมื่อก่อนเยี่ยนหลงคิดว่าเสด็จพี่ของเยี่ยนไม่มีประโยชน์เลยสักน้อยนิด วันนี้ค่อยรู้ว่า เวลานี้เขากลายเป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่พิสูจน์ว่าเยี่ยนไม่ใช่คนในครอบครัวมู่หรงเหยาฉือ!”

 

 

กล่าวไปแล้วเขายังรู้สึกเหนื่อยใจนัก

 

 

เยี่ยเม่ยรับรู้ว่าเจ้าคนตรงหน้ากำลังสะใจยิ่งนัก เขาดีใจเป็นพิเศษที่เห็นนางหึงหวง ดังนั้นจึงกล่าวออกมาเช่นนี้

 

 

ครั้นเห็นเขาให้ความร่วมมือช่วยสืบ ไม่ตอบว่า ‘ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่มีอันใดจะพูดแล้ว’ นางก็ฝืนพอใจได้

 

 

หากสลับตำแหน่งกัน วันนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นฝ่ายมาถามนางว่ามีความสัมพันธ์กับชายอื่นหรือเปล่า นางอธิบายแล้วเขาไม่ยอมรับ นางต้องโกรธจนไล่เขาไป ไม่มีทางร่วมมือแน่

 

 

ดังนั้นเห็นแก่ที่เขาให้ความร่วมมือ นางก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่เขาทำท่าทางสะใจนัก

 

 

เยี่ยเม่ยไม่พูดอะไรอีกก็ก้าวเท้ามุ่งหน้ากลับไปทิศทางวังหลวง นางกำลังตรึกตรองอยู่ในใจ คำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนยันชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว หรือว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้ทำจริง

 

 

ในขณะใช้ความคิด

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินตามฝีเท้านางมา จับมือนางเอาไว้

 

 

น้ำเสียงน่าฟังของเขาค่อยๆ ดังขึ้นข้างกายนางอย่างรวดเร็ว “ชายารัก บนเส้นทางสายนี้เยี่ยนขอย้ำกับเจ้าไว้เรื่องหนึ่ง เยี่ยนเป็นครอบครัวเดียวกับเจ้าเท่านั้น ส่วนคนอื่นล้วนไม่ใช่!”

 

 

ที่ว่าจะทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน มู่หรงเหยาฉือและเด็กในท้องนางตายเรียบยกครอบครัวนั้น องค์ชายสี่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ชอบฟัง เขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสองคนนั้น

 

 

เยี่ยเม่ยไม่เอ่ยวาจา ทั้งไม่ดึงมือออก

 

 

……

 

 

ตำหนักฮองเฮา วังหลวง

 

 

ซือถูจ้าวสีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ เอ่ยปากว่า “องค์ชายใหญ่ เรื่องนี้กระหม่อมรู้สึกว่าหาได้เรียบง่ายอย่างที่แสดงออกมา หากไม่ใช่จงซาน แม่ทัพทั้งสองก็ไม่มีทางต่อยตีกัน ยิ่งไม่ก่อเรื่องจนย่ำแย่ถึงขั้นนี้ กระหม่อมคิดว่า ท่านสมควรระวังจงซานเอาไว้!”

 

 

เป่ยเฉินเสียงมองซือถูจ้าวอย่างรำคาญ เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ระวังจงซาน ระวังจงซานไว้ ท่านลุง คำพูดนี้ข้าฟังจนหูข้าแทบจะมีรากงอกออกมาได้แล้ว ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบจงซานเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่า…สำหรับข้าแล้วจงซานเป็นขุนนางที่มีความสำคัญมาก ท่านไม่อาจเห็นแก่ที่ท่านเป็นลุงข้า ยอมปล่อยวางเรื่องแย่งชิงอำนาจกันชั่วคราว ช่วยเขาสนับสนุนข้าหรอกหรือ”

 

 

ซือถูจ้าวฟังคำพูดนี้แล้วโมโหเสียจนเกือบหายใจไม่ออก

 

 

เขาชี้จมูกตัวเองอย่างคาดไม่ถึง ถามเป่ยเฉินเสียงว่า “เจ้าพูดอะไรนะ ที่ข้าบอกให้เจ้าระวังจงซานไว้เพราะเรื่องการแย่งชิงอำนาจอย่างงั้นหรือ”

 

 

เห็นได้ชัดว่าจงซานต่างหากที่มีพิรุธอย่างชัดเจนได้หรือเปล่า

 

 

เป่ยเฉินเสียงเอ่ยปากว่า “หรือว่าไม่ใช่กัน ท่านลุงไม่ใช่ว่าท่านกลัวข้าให้ความสำคัญจงซาน วันหน้าท่านจะไม่มีที่ยืนอีกหรือ ท่านลุงไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอย่างไรท่านก็เป็นญาติของข้า ข้าย่อมให้ความสำคัญท่านเหนือกว่าจงซาน ท่านไม่จำเป็นต้องเอาแต่ขัดเขาแล้ว!”

 

 

หลังจากซือถูจ้าวได้ฟังคำ ‘ปลอบ’ ของ เป่ยเฉินเสียง เวลานี้ก็ยิ่งโมโหโทโสขึ้นยกใหญ่

 

 

เขาคิดว่าเขาไม่ถูกจงซานยั่วโมโหตาย ก็ต้องมีสักวันที่ถูกเจ้าหลานชายหน้าโง่ยั่วโมโหตายแน่! บอกได้ว่าถึงซือถูเฉียงจะตายอย่างน่าเวทนานัก แต่ว่านางก็ยังมีสายตาที่ดี หลงชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ชอบคนโง่อย่างเป่ยเฉินเสียง

 

 

แต่นี่ก็น่าแปลกเหลือเกิน พวกเขามีพ่อแม่คนเดียวกัน ไฉนองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ถึงได้มีสติปัญญาต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้