บทที่ 159 จ้าววิญญาณบุปผามรกต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 159 จ้าววิญญาณบุปผามรกต

บทที่ 159 จ้าววิญญาณบุปผามรกต

สีหน้าของเป่ยเหิงผันผวนไปมา “หากข้าละความสนใจเพื่อปกป้องเจ้าเด็กคนนี้ ชีวิตชราของข้าก็คงต้องทิ้งไว้ที่นี้ แต่ถ้าข้าไม่สนใจเขา…”

ปัง!

สายฟ้าได้ฟาดลงมาด้วยมวลพลังที่เกรี้ยวกราดจนถึงจุดที่ทำให้กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และเกิดรอยแตกบนพื้นผิวของกระจกจาง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า อีกไม่นานนัก ของกึ่งสมบัติอมตะชิ้นนี้อาจระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ

“แล้วไปเถอะ ในสวรรค์และโลกอันกว้างใหญ่ ตัวนั้นข้าสำคัญที่สุด ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่รอดได้ แล้วผู้ใดจะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น?” ความเด็ดเดี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเป่ยเหิง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่เขามองไปยังเฉินซีที่นั่งสมาธิอยู่บนพื้น “เฉินซี โอ้ เฉินซี อย่าได้โทษข้าที่ไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือเจ้า ข้าจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน… หืม?”

ทันใดนั้นเอง เป่ยเหิงก็สังเกตเห็นว่า กระแสวังวนขนาดมหึมาซึ่งอยู่ใจกลางของก้อนเมฆสายฟ้าสีดำและสีขาวที่หมุนวนเหนือเฉินซี กำลังขยายตัวออกไป พลังงานสีดำและสีขาวผสมผสานกันราวกับการบรรจบของหยินกับหยาง หรือน้ำกับไฟที่ปะทะกัน ทำให้กระแสวังวนที่กลั่นตัวจากพวกมันหมุนเวียนอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่ยากจะอธิบาย

ทันใดนั้น แรงดึงดูดที่มหาศาลจนไม่มีใครเทียบได้ก็พวยพุ่งออกมา!

หึ่ง! หึ่ง! หึ่ง!

จู่ ๆ ก็เกิดเสียงอันแปลกประหลาดราวกับเสียงของฝูงผึ้งที่กระพือปีกอย่างพร้อมเพรียงกัน และกระแสวังวนนั้นดูคล้ายกับปากของสัตว์เทวะโบราณที่ถูกเรียกว่า ‘คุนเผิง’ ได้ปลดปล่อยแรงดึงดูดอันน่าสะพรึงกลัวจนสามารถกลืนกินทั้งสวรรค์และโลกเข้าไปได้

หลังจากนั้น เป่ยเหิงก็เห็นว่าอัสนีดาราพิฆาตที่ผ่าลงมาในระยะร้อยยี่สิบจั้ง ที่อยู่รอบกายของเฉินซี ดูเหมือนจะถูกดึงดูดเข้ามา จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าหากระแสวังวนสีดำและขาวอย่างควบคุมไม่ได้

ปัง!

หลังจากที่มันซึมซับและกลืนกินอัสนีดาราพิฆาตที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด กระแสวังวนสีดำและขาวก็เสมือนกับว่าจะได้รับยาบำรุงชั้นเยี่ยม ทันใดนั้น พวกมันค่อย ๆ ขยายตัวออกไปอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งขนาดของมันได้ครอบคลุมพื้นที่เกือบสองลี้

เมื่อเขามองไปยังกระแสวังวนสีดำและสีขาวในตอนนี้ มันก็เหมือนกับเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้าและโลก สลับเป็นสีดำและขาว หยินและหยางหมุนเวียน กระแสวังวนที่ก่อตัวเป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์นั้น เป็นเหมือนหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่งอยู่ในห้วงลึกของจักรวาล ซึ่งทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องรู้สึกหนาวเย็นโดยไม่มีเหตุผล แม้ว่าจะมองจากระยะไกลก็ตาม

“ช่างเป็นแรงดึดดูดที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริง !” สีหน้าของเป่ยเหิงผันผวนไปมาอย่างน่าสะพรึงกลัว และตัวเขาก็รู้สึกว่า กระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้าต้องการดิ้นรนให้เป็นอิสระจากการควบคุมของเขา และบินไปยังกระแสวังวนที่อยู่เบื้องหน้า ดังนั้นเขาจึงรีบส่งปราณเซียนออกมาในทันที ก่อนที่จะคว้ากระจกดาราแห่งปฐพีที่ห้าให้กลับมาลอยอยู่เหนือเขา

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ม่านแสงสีทองที่ปกป้องเฉินซีอยู่ ได้หายไปพร้อมกับมัน

แต่ในขณะนี้ เฉินซีไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องจากม่านแสงสีทองอีกต่อไป กระแสวังวนสีดำขาวที่อยู่เหนือเขาได้ครอบคลุมพื้นที่ในระยะสองลี้ เป็นดั่งกำแพงที่ไม่สั่นคลอนขวางกั้นร่างของเขา พลังของมันทรงอานุภาพราวกับว่าสามารถกลืนกินสรรพสิ่งในโลกได้ และมันกำลังกลืนกินอัสนีดาราพิฆาตที่ผ่าลงมาจากท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่ง

ยิ่งมันกลืนกินสายฟ้าเข้าไปมากเท่าไร กระแสวังวนสีดำขาวก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และมันขยายออกไปรอบ ๆ ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากมีผู้ใดมองดูจากบนท้องฟ้า ก็จะสังเกตเห็นว่าอัสนีดาราพิฆาตส่วนหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ของภูเขาดาวตก เป็นดั่งทะเลที่ไหลย้อนกลับ ซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างบ้าคลั่ง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน่านั้นสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะที่เขายืนอยู่เคียงข้างเฉินซี แรงกดดันที่มีต่อเขาก็ได้สลายไปด้วย เพราะได้รับการปกป้องจากกระแสวังวนสีดำและสีขาว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอัสนีดาราพิฆาตที่โหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง ตัวเขาเองก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก

มวลพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้เพียงพอที่จะบดขยี้เขาจนแหลกเป็นผุยผงจนนับครั้งไม่ถ้วน!

“ต่ำช้ายิ่งนัก! พวกมันใช้เคล็ดวิชาสังเวยโลหิตเพื่อกระตุ้นพลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราอย่างเต็มที่ ประมุขนิกายพระราชวังข่ายดาราช่างอำมหิตจริง ๆ” ไป๋เถิงถือไผ่เงาบัวเขียวขจีอยู่ในมือของเขา และยืนอยู่ท่ามกลางโลกที่ก่อตัวขึ้นจากดอกบัวสีเขียวจำนวนมหาศาล สายตาของเขาเฉียบคมราวกับนกอินทรีที่จ้องมองลงมายังสวรรค์ทั้งเก้า จิตใจของเขากว้างใหญ่ราวกับภูเขาและแม่น้ำ ร่างของเขาสง่าผ่าเผยซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังที่สามารถควบคุมดวงดาวบนฟากฟ้า ทำให้เขาเป็นดั่งจักรพรรดิสูงสุดที่ถือคทา

แต่ในขณะนี้ คิ้วสีขาวของเขาได้ขมวดขึ้นเล็กน้อย และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอันเย็นชาออกมา ขณะที่ร่างกายของเขาปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ เห็นได้ชัดว่าการกระทำอันโหดร้ายของพระราชวังข่ายดาราที่ใช้ชีวิตเหล่าศิษย์ไปนับหมื่น เพื่อสังเวยเลือดให้กับมหาค่ายกลทำให้เขาโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อจักรพรรดิเดือดดาล โลหิตจะต้องหลั่งไหลเป็นสายน้ำ

ไป๋เถิงไม่ใช่จักรพรรดิ แต่เขาได้รับความเคารพมากกว่าจักรพรรดิในโลกมนุษย์ เขาเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หกที่ไม่มีใครเทียบได้ อีกทั้งยังมีสมบัติอมตะอยู่ในมือ และเพียงแค่เขานึกคิด ก็สามารถทำลายสวรรค์และโลกหรือบิดเบือนมิติได้อย่างง่ายดาย!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะโจมตีไปที่ค่ายกลอย่างสุดกำลัง เพื่อระบายเปลวไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวที่อยู่ในใจของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และทันใดนั้น เขาก็จ้องมองไปยังที่ที่ห่างไกล หลังจากนั้น เขาก็เห็นกระแสวังวนสีดำขาวขนาดมหึมาที่กำลังหมุนวนอย่างรุนแรง พร้อมกับสายฟ้าฟาดและพลังดาราจักรที่ส่งเสียงคำรามอยู่ภายในนั้น กระแสวังวนนั้นเสมือนหนึ่งหยินและหนึ่งหยาง ก่อให้เกิดปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ที่ดูเหมือนเกิดขึ้นตามวิถีแห่งธรรมชาติ และแรงดึงดูดอันไร้ขอบเขตของมันได้ดึงดูดสายฟ้าส่วนหนึ่งมาจากมหาค่ายกลนั้น

“ดวงดาว หยิน หยาง สายฟ้า สายลม และยังมีพลังของธาตุทั้งห้าอยู่ราง ๆ สิ่งเหล่านั้นคือ มหาเต๋าสูงสุดทั้งสิบประเภท!” ไป๋เถิงตกตะลึง และกระแสเย็นฉ่ำที่ดูเหมือนน้ำตกก็ระเบิดออกมาจากแววตาของเขา ด้วยการบ่มเพาะของเขา เขาก็ต้องตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกัน

“ผู้อาวุโสไป๋เถิง ท่านดูไม่ผิดใช่ไหมขอรับ? นั่นคือมหาเต๋าสูงสุดทั้งสิบประเภทจริง ๆ หรือ?” ไป๋กังที่ยืนตัวแข็งอยู่ใกล้เคียงข้างกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จนกระทั่งตอนนี้ แม้แต่ข้าก็ยังรวบรวมเต๋ารองได้แค่สิบแปดประเภท และมหาเต๋าอีกหนึ่งประเภทเท่านั้น หรือว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า?”

“ไป๋กัง ในที่สุดเจ้าก็ได้รู้แล้วสินะว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่ออยู่ในตระกูล เจ้าเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนผู้นั้น เจ้ากลับด้อยกว่าเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าควรละทิ้งนิสัยที่เย่อหยิ่งและเอาแต่ใจของเจ้าเสีย จากนั้นจงตั้งใจบ่มเพาะอย่างขยันหมั่นเพียร” ไป๋เถิงตำหนิไป๋กังที่อยู่ใกล้เคียงอย่างไร้ความปรานี

“ฮึ่ม! ข้าเพิ่งบ่มเพาะได้เพียงสิบเก้าปีเท่านั้น หากให้ข้าเวลาสักอีกหน่อย การบ่มเพาะของข้าจะต้องทิ้งห่างเจ้าเด็กนั่นอย่างไม่เห็นฝุ่นเป็นแน่แท้”ไป๋กังรู้สึกไม่เชื่อในคำพูดของไป๋เถิง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋เถิงจึงทำได้เพียงแค่ส่ายศีรษะ และสายตาของเขาก็เหลือบมองไป๋หว่านฉิงที่อยู่ใกล้เคียงโดยไม่ตั้งใจ นางกำลังจ้องมองกระแสวังวนสีดำและสีขาวอย่างเงียบ ๆ ด้วยสีหน้าที่ดูแปลกประหลาด ราวกับไม่อยากเชื่อ และดูซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง

“คุณหนู ท่านรู้จักเจ้าเด็กคนนั้นหรือ?” ไป๋เถิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“บางที… ข้าอาจจำคนผิด” ไป๋หว่านฉิงส่ายศีรษะของนาง แต่ภาพของชายหนุ่มที่มีสีหน้านิ่งขรึมและรูปลักษณ์ที่หล่อเหลากลับปรากฏขึ้นในใจของนาง จากนั้นนางก็คิดกับตัวเองว่า ‘เวลาผ่านไปเพียงสองปี เจ้าเด็กน้อยผู้นั้นจะบ่มเพาะจนถึงระดับที่น่าเกรงขามได้อย่างไร? ข้าต้องเข้าใจผิดแน่ ๆ’

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนนั้นดูเหมือนไม่มีเจตนาร้ายต่อเรา และตอนนี้พวกเขากำลังลดทอนความแข็งแกร่งของค่ายกลไปถึงหนึ่งในสี่แล้ว อันที่จริง เราต้องขอบคุณพวกเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้ไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป ข้าจะฉวยโอกาสนี้ทำลายค่ายกลและเข่นฆ่าผู้คนของพระราชวังข่ายดาราซะ!” ไป๋เถิงกล่าวอย่างช้า ๆ ทันใดนั้นเอง ไผ่เงาบัวเขียวขจีก็ลอยออกจากมือของเขา

เมื่อปราณเซียนกวาดออกไป แสงอันใสกระจ่างก็สาดส่องออกมาอย่างงดงาม และโลกที่ก่อตัวขึ้นจากดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน ได้กลายเป็นยักษ์ที่สูงตระหง่านถึงหนึ่งจั้งในทันที ยักษ์ตนนี้สวมหมวกนักปราชญ์และชุดคลุมโบราณ ทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยดอกบัวสีเขียวที่บานสะพรั่ง เคราสีเขียวของยักษ์ที่ยาวถึงร้อยยี่สิบจั้งปลิวไสวไปตามสายลม และมีใบหน้าที่เรียบเฉย เสมือนเทพเจ้าที่ถือกำเนิดจากดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน

ช่างแข็งแกร่ง!

ความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถอธิบายได้กำลังพลั่งพรูออกมาจากร่างที่สง่าผ่าเผย ทันทีที่ร่างนั้นปรากฏตัวขึ้น มิติภายในรัศมีสองลี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ กระแสอากาศถูกแผดเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่า และอัสนีดาราพิฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผ่าลงมาจากท้องฟ้า กลับแตกสลายเป็นผุยผงด้วยมือที่ไร้รูปร่าง และถูกลบหายไปจากท้องฟ้า!

“สิ่งนี้คือดวงจิตของไผ่เงาบัวเขียวขจี จ้าววิญญาณบุปผามรกตหรือ? สมบัติอมตะก็ยังคงเป็นสมบัติอมตะอยู่วันยังค่ำ พลังของมันช่างน่าเกรงขามอย่างที่คาดไว้ ด้วยการบ่มเพาะของผู้อาวุโสไป๋เถิง เขากลับแสดงพลังได้เพียงสี่ส่วนเท่านั้น ถ้าเขาสามารถสำแดงพลังได้เต็มที่ มันจะไม่น่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่านี้หรอกหรือ?” ไป๋กังมองไปที่ร่างสูงตระหง่าน และความตกตะลึงในใจของเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด

ปัง!

จ้าววิญญาณบุปผามรกตกางฝ่ามืออันมหึมาของเขาเพื่อคว้าไปยังพื้นที่อยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเอง ดอกบัวสีเขียวมากมายที่คมดั่งใบมีดก็ระเบิดออกไป พลังที่ปล่อยออกมาจากดอกบัวสีเขียวทุกดอกนั้น เทียบได้กับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพี!

ตู้ม!

พื้นที่และชั้นบรรยากาศโดยรอบถูกบดขยี้จนเป็นผุยผงภายใต้พลังของจ้าววิญญาณบุปผามรกต และเกิดรูขนาดมหึมาขึ้นบนท้องฟ้า!

‘หากข้าได้ครอบครองสมบัติอมตะทั้งสองชิ้น เมื่อข้าบ่มเพาะจนถึงขอบเขตเซียนปฐพี การรวบรวมสมบัติวิเศษเพื่อที่จะพิชิตทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ฮ่า ๆๆ! ช่างเป็นโชคที่สวรรค์ประทานมาให้เสียจริง ๆ!’

ไฉ่เส้ามองไปที่อัสนีดาราพิฆาตซึ่งแฝงไปด้วยพลังจากการสังเวยด้วยเลือดและกำลังปกคลุมทั่วทั้งภูเขาดาวตก ดูเหมือนว่าเขาจะได้เห็นสมบัติอมตะทั้งสองชิ้นโบกมือมาที่เขาและมันอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม

‘เมื่อพวกมันทั้งหมดถูกฆ่าตาย ข้าต้องคิดหาวิธีแบ่งปันสมบัติอมตะจากท่านอาจารย์ไฉ่เส้า มิฉะนั้น ถ้าเขาผูกขาดทั้งสองอย่าง แล้วการที่ข้าจะเป็นประมุขต่อไปจะมีความหมายอะไรกัน?’ เถี่ยอวิ๋นจื่อที่จ้องมองไปยังที่ห่างไกล เริ่มวางแผนอยู่ในใจอย่างลับ ๆ

ถึงแม้ความคิดของทั้งคู่จะแตกต่างกัน แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของไป๋หว่านฉิง หรือเฉินซีกับเป่ยเหิง พวกมันทั้งหมดจะต้องตายอย่างน่าอนาถภายใต้พลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารา

ทันใดนั้นเอง ดวงตาของพวกเขากลับหรี่ลง พวกเขาเห็นกระแสวังวนสีดำและสีขาวขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในระยะไกล มันเหมือนกับหลุมดำของจักรวาลขณะที่กำลังกลืนกินหนึ่งในสี่ของอัสนีดาราพิฆาตที่อยู่ในภูเขาดาวตกอย่างบ้าคลั่ง

บัดซบ!

สิ่งนั่นคืออะไร?

ทว่า ก่อนที่ทั้งสองจะทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็เห็นร่างสูงตระหง่านผุดขึ้นบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น และทั่วทั้งร่างของมันก็เต็มไปด้วยดอกบัวสีเขียวที่ผลิบาน เคราสีเขียวของมันพลิ้วไสวไปตามสายลม ราวกับเป็นเทพอสูร หรือวิญญาณยักษ์จากยุคบรรพกาล แม้ว่าพวกเขาจะถูกค่ายกลใหญ่ขวางกั้น แต่พลังกดดันที่น่าสะพรึงกลัว ก็ทำให้เถี่ยอวิ๋นจื่อและไฉ่เส้าหายใจแทบไม่ออก

ปัง!

ร่างที่สูงตระหง่านคว้ามือออกไป ทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสลายในทันที ข้อจำกัดที่ก่อขึ้นในค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดาราถูกทำลายไปเกือบครึ่ง

สมบัติอมตะ!

ดวงจิตของสมบัติอมตะ!

ในขณะนี้ สีหน้าของเถี่ยอวิ๋นจื่อและไฉ่เส้าผันผวนอย่างต่อเนื่อง เพราะพวกเขาไม่กล้าเชื่อในสายตาของตัวเอง เป็นไปได้อย่างไร? ข้าได้ใช้ทรัพยากรของพระราชวังข่ายดาราที่เก็บรวบรวมมาเป็นเวลาหลายพันปี ยิ่งไปกว่านั้น ยังเสียสละเลือดเนื้อและวิญญาณของศิษย์หลายหมื่นคน พลังของค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้นเพียงพอที่จะทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีได้อย่างง่ายดาย แต่มันกลับไม่สามารถทำร้ายคนผู้นี้เลยแม้แต่น้อยได้อย่างไร?

ปัง! ปัง! ปัง!

ร่างที่สูงตระหง่านก้าวออกไปในท้องฟ้า ด้วยกลิ่นอายที่อหังการและมีอำนาจที่เหนือกว่า ขณะที่มือของมันคว้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และข้อจำกัดชั้นแล้วชั้นเล่าก็ถูกทำลายและสลายไปในพริบตา

บนท้องฟ้า ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่สลัวและพร่ามัวกำลังค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา ก่อนที่ค่ายกลใหญ่ซึ่งเชื่อมโยงกับดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ทำให้ราตรีค่อย ๆ เลือนหาย จากนั้นจึงเผยให้เห็นถึงวันที่สดใสอีกครั้ง

สถานการณ์ในตอนนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเถี่ยอวิ๋นจื่อกับไฉ่เส้า และมันกลับพลิกสู่สถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านอาจารย์ลุง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” หัวใจของเถี่ยอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยที่เลือดหลั่งไหล ในขณะที่เขาคำรามอย่างดุร้าย ความหวาดกลัวที่ไร้ขอบเขตและความไม่เต็มใจได้พรั่งพรูไปทั่วร่างของเขาทำให้เขาดูเหมือนคนเสียสติที่คลุ้มคลั่ง

“เจ้าคิดว่าข้าเต็มใจอย่างนั้นหรือ? เรา…” สีหน้าของไฉ่เส้าซีดเซียว ดวงตาของเขากลวงโบ๋ และเขากล่าวอย่างขมขื่นว่า “เราประเมินพลังของผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีต่ำไป!”